ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 436 ปะทะไป๋ปิง (2)
ตอนที่436 ปะทะไป๋ปิง (2)
ตอนที่436 ปะทะไป๋ปิง (2)
กระบี่ทัณฑ์ฟ้าปรากฏขึ้นมือเซียถง สาดแสงเย็นเปล่งจรัสเตรียมพร้อมสัประยุทธ์สุดตัว ปลดปล่อยกระแสลมปราณสีม่วงจัดจ้านห่อหุ้มทั่วร่างกาย เดิมทีคิดว่า ผู้หญิงนางนี้ยังพอคุยภาษาคนรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่ใครจะไปคิด นางกลับคลุ้มคลั่งเป็นบ้าเป็นหลังทันทีที่ได้ยินคำพูดไม่ถูกหู
ทั้งสองยืนประจันหน้าเข้าหากันพร้อมกระบี่ในมือคนละเล่ม กระแสลมปราณของทั้งคู่พัดตลบจากร่าง พัดพาสมุนไพรทั้งหลายรอบห้องปลิวว่อนกระจัดกระจาย
“ท่านอาจารย์! เซียถง! อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย! มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา!”
เห็นเซียงถงกำลังยกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเตรียมลงมือ ชิงเยวี่ยรีบกระโดดเข้ามาคั่นขวางกางแขนทั้งสองข้างยืดเหยียด เพื่อขัดจังหวะมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชิงลงไม้ลงมือก่อน
หนึ่งคนพลังอ่อนด้อย เข้าคั่นกลางระหว่างยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงทั้งสองที่กำลังประชันเดชกัน คิดว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือเยี่ยงไร?
เป็นที่แน่นอน ผ่านไปชั่วอึดใจเท่านั้น ชิงเยวี่ยโดนรัศมีแรงกดดันของทั้งคู่เข้ากดขี่อย่างรุนแรง ถึงขั้นกระอักเลือดสดออกมาคำโต เสื้อผ้าเกิดรอยขาดรุ่ยมากมายเนื่องด้วยคลื่นพลังลมปราณที่โคจรปะทะชนโดยรอบ
ทั้งไป๋ปิงและเซียถงรีบถอนพลังลมปราณเก็บกลับคืนแทบไม่ทัน
“หากเจ้าอยากตายนักก็ไปตายที่อื่น อย่ามาตายต่อหน้าข้าเช่นนี้!”
ไป๋ปิงตะคอกใส่ด้วยความโมโห
“ท่านอาจารย์ โปรดระงับโทสะ แล้วท่านเองก็เคยกล่าวไว้มิใช่รึว่า มีเพียงเพลิงพิภพเก้าดุษณีเท่านั้นที่สามารถทำให้หลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพได้สำเร็จ ตอนนี้เซียถงเองก็ได้ครอบครองเพลิงพิภพเก้าดุษณีโดยสมบูรณ์มาแล้ว หากสังหารนางทิ้งไป แล้วใครจะให้ท่านยืมใช้มันล่ะ?”
ชิงเยวี่ยปาดเช็ดธารเลือดที่ไหลซิบตามมุมปาก รีบกล่าวอธิบายหวังจะให้ไป๋ปิงหยุดมือ
ไป๋ปิงพ่นลมหายใจเย็นใส่เฮือกใหญ่อย่างเหลืออด จิตสังหารฉายแววสว่างวาบผ่านดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง นางกล่าวว่า
“ก็แค่ฆ่านางทิ้งเสีย เพลิงพิภพเก้าดุษณีก็จะตกเป็นของข้าแล้ว!”
“ท่านปรมาจารย์ไป๋ ท่านประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว ทั้งท่านและข้าต่างมีพลังอยู่ในขอบเขตราชันย์ม่วงทั้งคู่ จะห่างก็แค่ระดับขั้นพลังย่อย แต่อย่างไร ท่านก็เป็นเพียงนักหลอมโอสถ แตกต่างจากข้าที่มีประสบการณ์ต่อสู้เจนจัด ดังนั้น ใครฆ่าใครกลับไม่แน่!”
เซียถงกล่าวถากถาง พลางหัวเราะเย้ยเยาะอย่างเย็นชา
“ก็ดี เช่นนั้นมาดูกันเสียหน่อย ว่าใครกันแน่ที่ฆ่าใคร!”
ไป๋ปิงยิ่งเดือดดาลโกรธจัด หลายปีที่ผ่านมา เพราะสถานะที่นางเป็นถึงเซียนโอสถ ทั้งยังมีพลังอยู่ในขอบเขตราชันย์ม่วง ผู้คนรอบตัวทั้งหลายต่างล้วนแต่เข้าประจบสรรเสริญนางราวกับเทพเซียน มีหรือที่ใครจะกล้าพูดจาหยาบคายเฉกเช่นนี้กับนาง?
แม้แต่องค์จักรพรรดิซีฉินยังต้องไว้หน้าแก่นางอยู่สามส่วน!
อย่างไรเสีย สาวน้อยนามว่าเซียถงคนนี้ กลับทำตัวหยิ่งยโสไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำใดๆ เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้นางโกรธได้เยี่ยงไร? ขณะที่ไป๋ปิงกำลังระดมลมปราณระลอกใหญ่เตรียมเปิดศึกโจมตี ทันใดนั้น ชิงเยวี่ยก็หันไปกล่าวกับเซียถงว่า
“เซียถง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
ไป๋ปิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเดือดจัด ยกเท้าขึ้นเตะชิงเยวี่ยจนปลิวกระเด็นออกไปข้างกำแพง ตวาดเสียงดุขึ้นว่า
“เกลือเป็นหนอนโดยแท้! เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ดูสิ อบรมสั่งสอนเจ้ามาตั้งนมนาน ทว่ากลับเพื่ออิสตรีคนเดียว ถึงกับยอมเปลี่ยนฝ่าย คิดเข้าข้างนางมากกว่าข้า!”
เห็นร่างชิงเยวี่ยปลิวละลิ่วกำลังชนเข้ากับกำแพงกระท่อมไม้ เซียถงรีบปราดพุ่งเข้าติดตามช่วยเหลือ รับอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันท่วงที
“ชิงเยวี่ย คนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ของเจ้าด้วยซ้ำ”
เซียถงพยุงร่างให้ชิงเยวี่ยทรงตัวขึ้นยืน กล่าวเสียดสีออกไปคำหนึ่ง พร้อมหางตาที่เหลือบแลไปทางไป๋ปิง
ชิงเยวี่ยกระอักเลือดสดพ่นออกมาเต็มปากเต็มคำ เมื่อเห็นไป๋ปิงกำลังจ้องเขม็งมาทางนี้ด้วยความโกรธจัด เขาจึงผละตัวเองออกจากมือเซียถง เดินโซซัดโซเซขึ้นหน้า ทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อแทบเท้าไป๋ปิงเสียงกระแทกดัง‘ตุบ’ จากนั้นก็แหงนศีรษะขึ้นกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ เคยมีสักครั้งหรือไม่ที่ศิษย์คนนี้ทำผิดต่อท่าน?”
เห็นเลือดสดทะลักล้นออกจากปากของอีกฝ่ายคำโต ไป๋ปิงพลันรู้สึกผิดอยู่ในใจหลายส่วน แต่ด้วยความดื้อรั้นหัวแข็งของนาง จึงกล่าวตอบห่วนๆเพียงว่า
“ก็เจ้ากำลังทำผิดคิดช่วยเหลือนาง นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าต้องเตะเจ้าสั่งสอน!”
ชิงเยวี่ยโค้งศีรษะต่อแทบเท้าของนางอย่างทุลักทุเล และกล่าวขึ้นอีกว่า
“ศิษย์ขออภัยที่ดูหมิ่นท่านอาจารย์ โปรดลงโทษศิษย์คนนี้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะหนักหนาปานใดก็ไม่ขอแก้ตัว แต่อย่างไร ได้โปรดท่านอาจารย์อย่าทำร้ายเซียถงเลย”
“หากนางไม่ให้ยืมเพลิงพิภพเก้าดุษณี ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือกับนาง”
ไป๋ปิงเหลือบสายตามองไปทางเซียถง น้ำเสียงฟังดูกำกวมหาได้แข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้าแล้ว อันที่จริง นางมิได้ต้องการเพลิงพิภพเก้าดุษณีอะไรนั่นเลย เรื่องที่ว่าฆ่าคนเพื่อชิงสิ่งของ หาใช่หนทางในแบบของนางเลย แต่ที่ทำไปทั้งหมด เพราะกลัวว่า เซียถงจะใช้เพลิงพิภพเก้าดุษณีในมือ เพื่อให้ความช่วยเหลือหยุนสำหรับหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าขึ้นมา
“หึ เพราะเห็นแก่หน้าชิงเยวี่ยสหายของข้า หาใช่ว่าเป็นไปไม่ได้สักทีเดียว ที่ข้าจะยอมให้หยิบยืมเพลิงพิภพเก้าดุษณี แต่นี่ย่อมมีเงื่อนไข”
เซียถงกล่าวเสมอไปคำหนึ่ง เพราะนางเองก็ไม่ต้องการจะเปิดฉากสัประยุทธ์กับไป๋ปิงเท่าไหร่นัก อาจจะใช่ที่นางเป็นนักหลอมโอสถ ไม่สันทัดเรื่องทักษะการต่อสู้ แต่อย่างไร ระดับพลังลมปราณของนางก็อยู่เหนือกว่า หากต้องสู้กันจริง เกรงว่าอาจต้องเกิดการสูญเสียขึ้น ซึ่งอีกวันเศษก็จะถึงงานชุมนุมโอสถแล้ว ดังนั้น นางจะต้องเตรียมพร้อมห้ามมิให้ร่างกายบาดเจ็บเป็นอันขาด
“แต่เจ้าลืมเรื่องยอดบัวสมุทรไปได้เลย ข้าทดลองหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าจนเหลือมันแค่ชิ้นเดียวแล้ว ย่อมไม่สามารถมอบให้ได้จริงๆ”
ไป๋ปิงกล่าวน้ำเสียงเย็นชืด
“ข้าไม่เอายอดบัวสมุทรแล้วก็ได้ แต่มีอะไรที่น่าสนใจมาเสนอข้าบ้างล่ะ?”
เซียถงยิงคำถามสวนกลับไป
ชิงเยวี่ยลุกขึ้นยืนจากพื้น ตบฝุ่นสองสามทีและเอ่ยกับนางขึ้นว่า
“เซียถง แล้วมีสิ่งใดอีกหรือไม่ที่เจ้าต้องการ?”
ทางด้านไป๋ปิงไม่ตอบ แค่เค้นเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง
“ข้ายังคิดไม่ออกเลย นึกได้เมื่อใดเดี๋ยวจะมาบอก แต่คงอีกนานนับหลายสิบปี หวังว่าท่านอาจารย์ของเจ้ายังไม่แก่ตายไปก่อน”
เซียถงสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวจากออกไปทันที ในเมื่อไป๋ปิงยังเอาแต่ถือทิฐิไม่ยอมเป็นฝ่ายลงจากหลังเสือก่อน นางเองไม่มีความจำเป็นจะต้องเสวนาอันใดอีกต่อไปแล้ว จึงเดินถือกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเตรียมก้าวพ้นประตูจากไปโดยไม่มีแลเหลียว
“หยุดก่อน! เจ้าต้องการอะไรล่ะ? อยากได้อะไรก็บอกมา!”
ไป๋ปิงไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปทั้งแบบนี้ได้ คู่เท้าไสววูบปราดพุ่งออกไปเป็นประกายแสงสายหนึ่ง ยืนพิงประตูขวางเซียถงอยู่เบื้องหน้า และยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามออกมาเอง
เซียถงต้องการจะเสนอผลบัวศักดิ์สิทธิ์เป็นข้อแลกเปลี่ยนอย่างมาก แต่ในเวลานี้ยังไม่สามารถพูดออกไปได้ จุดประสงค์หลักที่มาสถานที่แห่งนี้ก็คือ การถ่วงเวลาไป๋ปิงให้นานที่สุด ในเมื่อแผนที่จะเอ่ยขอดีๆมันไม่ได้ผล ก็เหลือแค่แผนของหยุนซีแล้วเท่านั้น เห็นอีกฝ่ายยืนพิงกำแพงกอดอกขวางทางอยู่ต่อหน้า นางก็ชะลอฝีเท้าหยุดลง จ้องหน้าไป๋ปิงอย่างไม่แยแส เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านปรมาจารย์ไป๋ คิดขวางทางกันรึ?”
“ท่านอาจารย์ เซียถง อย่าเพิ่งมีเรื่องกันเลย พวกเรามานั่งคุยกันดีๆก่อนเถอะ”
ชิงเยวี่ยวิตกอย่างยิ่งว่า ทั้งสองคนนี้จะทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือกันให้ตายจริงๆ จึงเป็นอีกครั้งที่เขารีบแทรกเข้าคั่นกลางระหว่างทั้งสอง หวังทำหน้าที่เป็นทูตสงบศึก
“ก็ได้ เช่นนั้นก็ไปหาภัตตาคารดีๆสักแห่ง นั่งคุยกันให้ดูเป็นผู้เป็นคนหน่อยเถอะ แต่ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ของเจ้าจะยอมออกไปหรือไม่ เห็นวันๆอยู่ติดแต่กับบ้าน เกรงว่าคงเป็นโรคกลัวการพบเจอผู้คน? หาใช่ก็เข้าสังคมไม่เป็น?”
“หึ ปากดีไม่ต่างจากอาจารย์ของมัน ไยข้าจะไม่กล้าออกไป?”
ปลายคิ้วไป๋ปิงกระตุกขึ้นอย่างแรงแทบตั้งตรง โดยไม่รีรอคำตอบใดๆจากเซียถง นางย่างเท้าก้าวข้ามประตู เดินออกจากกระท่อมไม้ของตนไปทันที พร้อมเสียงกระแทกฝีเท้าลงน้ำหนักดังตุบด้วยความหงุดหงิด
“ได้ เช่นนั้นไปที่โรงเตี๋ยมฟู่หรง ฟังว่าอาหารของที่นั่นอร่อย!”
เซียถงตะโกนไล่หลังไป๋ปิง จงใจเลือกร้านที่อยู่ห่างจากตรงนี้มากที่สุด
กล่าวจบ เซียถงก็ย่างเท้าเดินติดตามออกไปพร้อมกับมุมปากกระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย
ชิงเยวี่ยอยู่รั้งท้าย ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังเดินห่างออกไป ปั้นหน้าฉงนสงสัยอยู่หลายส่วน ไฉนนางถึงไม่บอกไปเลยว่า ต้องการผลบัวศักดิ์สิทธิ์? หรือยังมีสิ่งอื่นที่ต้องการอยู่อีก? ยืนครุ่นคิดไม่ไปไหนอยู่เช่นนั้นสักครู่ แลเห็นว่า นางทั้งสองคนนั้นมุ่งหน้าเริ่มไกลลับเส้นสายตา ก็เลยรีบยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก และรีบวิ่งไล่ตามพวกนางไปโดยไว
ณ โรงเตี้ยมฟู่หรง
เซียถงชำเลืองมองไป๋ปิงที่ยามนี้เริ่มพูดไม่ชัด พลางรินสุราให้อีกจอกและกล่าวประจบประแจงขึ้นว่า
“ท่านปรมาจารย์ไป๋ ดื่มอีกสักจอก เวลาผู้คนมีความเครียด ก็มีแต่สุรานี่แหละที่เข้าใจตัวเรามากที่สุด!”