ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 437 ความขมขื่นของไป๋ปิง (1)
ตอนที่437 ความขมขื่นของไป๋ปิง (1)
ตอนที่437 ความขมขื่นของไป๋ปิง (1)
ไป๋ปิงยื่นจอกในมือรับสุราที่เซียถงรินให้ และยกขึ้นกระดกจนหมดในรวดเดียว จู่ๆก็สองมือกระตุกแขนเสื้อของอีกฝ่าย เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นว่า
“เจ้าน่ะ คิดว่าจือหยวนมันโดนยาเสน่ห์อะไรไปหรือไม่? ไฉนถึงหลงใหลในอีตัวนั่นนักหนา? ข้าเทียบกับมันไม่ได้เชียวรึ? เจ้าลองดูสิ! ลองดูหน้าข้าให้ชัดๆ! หากแต่งหน้าทำผมเสียหน่อย ก็สวยไม่แพ้มัน!”
เซียถงจ้องหน้าไป๋ปิงที่ยื่นเข้ามาใกล้สักครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง กล่าวตอบไปว่า
“ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า…รูปร่างหน้าตาของท่านคล้ายกับอาจารย์หยุนซีมาก? แต่เหมือนนางจะสวยกว่าหนึ่งส่วน”
หากให้กล่าวกันตามตรง ไป๋ปิงเป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบแต่งตัว กระทั่งเรื่องความสวยความงามก็เช่นกัน ดังนั้น หากให้ยืนเทียบกันตัวต่อตัว ย่อมเป็นรองหยุนซีอยู่ขั้นหนึ่ง
ทันทีที่สิ้นเสียงจางหาย พลันปรากฏเงาไสวสีขาวพุ่งเข้าใส่ต่อหน้านาง เป็นจอกสุราในมือที่ไป๋ปิงเขวี้ยงใส่
เซียถงเบี่ยงศีรษะเลี่ยงหลบเล็กน้อย จอกสุราใบนั้นแตกเป็นเสี่ยงอัดกับฝาผนัง และร่วงกราวลงมาบนพื้น
ไป๋ปิงเขวี้ยงจอกสุราเช่นนี้ไปมากกว่าโหลหนึ่งเห็นจะได้แล้ว ทันทีที่ได้ยินชื่อของคนที่ไม่ชอบ นางจะเริ่มขว้างปาสิ่งใดออกไปทันที ชิงเยวี่ยซึ่งนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างบานหนึ่ง กำลังชมทิวทัศน์อยู่ข้างนอก พลางหันหน้ามองย้อนกลับหาไป๋ปิง ก่อนจะเหลียวกลับออกไปเชยชมทิวทัศน์ผ่านบานหน้าต่างดังเดิมอย่างสงบ เสมือนว่าปรงกับการกระทำเฉกเช่นนี้ของท่านอาจารย์นานแล้ว
“นังหยุนซีมันหน้าตาดีกว่าข้างั้นรึ? เจ้าพูดไร้สาระแล้ว! ข้าเป็นถึงเซียนโอสถที่ผู้คนต่างกล่าวขานร่ำลือ กับแค่ปราชญ์พิษอย่างมัน จะนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?”
ไป๋ปิงกล่าวสวนขึ้นมาด้วยความโกรธจัด กวาดสองมือคลำไปทั่วโต๊ะเพื่อจะหาจอกสุราใบใหม่มาใช้ แต่จะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอสักที จึงเอื้อมไปคว้าเหยือกสุราขึ้นมากระดกเฮือกใหญ่แทน
ซดสุราในเหยือกจนหนำใจเสร็จ นางก็ตบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง ระเบิดหัวเราะกล่าวขึ้นว่า
“ตระกูลไป๋มีบุตรธิดาซึ่งเป็นทายาทอยู่สองนาง ทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งเป็นเซียนโอสถ ส่วนอีกคนเป็นปราชญ์พิษ และพวกนางก็ดันตกหลุมรักชายคนเดียวกันอีก! น่าขันสิ้นดี! หรือสวรรค์กลั่นแกล้งกระมัง!”
สิ้นเสียง ไป๋ปิงก็ยกเหยือกสุราขึ้นกระดกอีกชุดใหญ่ จำนวนหนึ่งไหลกระฉอกราดใส่ใบหน้าของนาง ผ่านไปสักครู่ ดวงตาคู่สวยก็เริ่มแดงก่ำ และมีขอวเหลวสีใสบริสุทธิ์ไหลรินออกมาตาม ไม่ใครได้เห็นกลับมิอาจแยกแยะ สิ่งใดน้ำตาหรือสิ่งใดสุรา
เซียถงเฝ้ามองทุกการกระทำของไป๋ปิง และอดขมวดคิ้วถักย่นมิได้ สุราเหยือกนั้นนับเป็นของดี แต่อีกฝ่ายดันดื่มซะดูแย่ไปเลย
เดิมที เซียถงตั้งใจจะพามาโรงเตี๊ยมฟู่หรงเพื่อถ่วงเวลารอให้หยุนซีเข้าไปขโมยยอดบัวสมุทรมาเท่าไหร่ แค่จิบสักจอกสองจอก แล้วเสร็จค่อยเดินทางกลับ แต่ที่ไหนได้ ทันทีที่ก้นติดเก้าอี้ ไป๋ปิงก็รีบสั่งสุราซัดโฮกราวกับชีวิตนี้ไม่เคยกิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกินกว่าจะยั้งหยุดได้ทันแล้ว หลังจากดื่มไปได้สักพักใหญ่ จู่ๆนางก็ร้องไห้ปล่อยโฮออกมา พรรณนาบอกเล่าถึงความคับข้องใจตลอดที่ผ่านมาในอดีตระหว่างนางกับหยุนซีให้ฟังจนหมดเปลือก
ที่ฟังจากคำบอกเล่าของไป๋ปิง ในที่สุดเซียถงก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด แท้ที่จริงแล้ว นามเดิมของหยุนซีมีชื่อว่า ไป๋เสวี่ย นางกับไป๋ปิงเป็นพี่น้องกันแท้ๆ และตระกูลไป๋ก็เป็นตระกูลที่มีความโดดเด่นอย่างมากในเส้นทางแห่งโอสถ ในอดีตกาล ทุกรุ่นทุกสมัยในยุคนั้น ล้วนแต่ให้ผลิตนักหลอมโอสถผู้เก่งกาจมากมาย ถึงหลายสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลไป๋จะตกต่ำลงไปมากเหมือนกับอีกสามตระกูลใหญ่ที่ซ่อนเร้น แต่รุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ยังพอมีนักหลอมโอสถถือกำเนิดขึ้นมาอยู่บ้างสักคนสองคน และในรุ่นของไป๋เสวี่ยและไป๋ปิง ก็เป็นไป๋ปิงที่จะกลายมาเป็นนักหลอมโอสถ แต่หยุนซีกลับไร้ซึ่งพรสวรรค์ ได้เป็นแค่นักพิษเท่านั้น
จือหยวนและสองสาวตระกูลไป๋ต่างสนิทกันตั้งแต่ยังเด็ก กล่าวได้ว่าทั้งสามโตมาด้วยกันเลยก็ไม่ผิด ในเวลานั้น พวกเขาทั้งสามคนถือได้ว่ามีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไป๋ปิงแอบชอบจือหยวนมาโดยตลอด ในขณะที่จือหยวนกลับหลงใหลในตัวไป๋เสวี่ยซึ่งตอนนั้น นางเป็นเด็กสาวที่ชอบเอาแต่ใจมาก และตามคำกล่าวของไป๋ปิง นางเองก็ทราบดีว่า จือหยวนแอบชอบไป๋เสวี่ยมาโดยตลอด แต่ในเมื่อเห็นเขามีความสุข ตัวนางเองก็ยอมเต็มใจเก็บซ่อนความรักที่มีไว้ในใจตลอดมา และไม่คิดจะเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ แต่ปัญหาก็คือ ไป๋เสวี่ยกลับไม่รู้ใจตัวเองเลยว่า ตนรักหรือเกลียดจือหยวน นับวันนางก็ยิ่งกลั่นแกล้งจือหยวนแรงขึ้นและแรงขึ้น ตรงกันข้ามกับนางที่ต้องคอยมานั่งปลอบและให้กำลังใจเขา
แล้ววันหนึ่ง ความอดทนของไป๋ปิงก็ถึงขีดสุด นางกับไป๋เสวี่ยทะเลาะกันอย่างหนัก จนทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเริ่มร้าวฉาน
และสิ่งที่ไป๋ปิงไม่รับได้มากที่สุดก็คือ ตอนที่ไป๋เสวี่ยบังคับให้จือหยวนดื่มยาพิษ หวังจะฆ่าเขาให้ตาย และนี่จุดแตกหักของเรื่องทั้งหมด
จือหยวนอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคู่นี้ก็กลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่สามารถอยู่ร่วมปฐพีเดียวกันได้
“ไอ้นังสารเลวหยุนซี! หากเจ้าไม่ชอบจือหยวน แล้วไยไม่ปล่อยให้เขามารักกับข้า! ทำไมต้องวางยาพิษเขาด้วย!! จะมาแก้ตัวว่า หลังจากที่เขาดื่มยาพิษไป มันได้ทำให้เจ้าได้รู้ใจตัวเอง? บัดซบ! รู้ใจตัวเองแล้วเยี่ยงไร? มันทำให้เขาฟื้นคืนกลับมาได้งั้นรึ?!”
ไป๋ปิงเขย่าเหยือกสุราในมือกวัดแกว่งไปมา ทำท่าทีเดือดดาลไม่พอใจ
“ปรมาจารย์ไป๋ อาจารย์หยุนซีเองก็รักจือหยวนอย่างสุดหัวใจเช่นกัน หลังจากที่จือหยวนกินยาพิษไป นางก็ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจ พยายามสุดความสามารถเพื่อเสาะหาหนทางช่วยชีวิตอีกฝ่าย ท่านไม่รู้หรอกว่า เพื่อที่จะเก็บรักษาร่างของจือหยวนไม่ให้เน่าเปื่อย อาจารย์หยุนซีต้องหาเงินเป็นบ้าเป็นหลังขนาดไหน”
ในฐานะคนนอก เซียถงไม่สามารถพูดอะไรได้มาก จึงกล่าวออกไปในมุมมองที่เคยเห็น
“รักษาร่างของจือหยวนเอาไว้ได้แล้วมีประโยชน์อันใด? เขาในตอนนี้คนเป็นก็ไม่ใช่คนตายก็ไม่เชิง!”
ไป๋ปิงยกฝ่ามือตบโต๊ะเสียงดังสนั่น ตะคอกขึ้นคำหนึ่งด้วยความโกรธเกรี้ยว
“นางพยายามเสาะหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยจือหยวน พวกเราเองก็เช่นกันมิใช่รึ? ดังนั้นแล้ว เป้าหมายในตอนนี้ของเราก็คือโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้า!”
เซียถงรีบตัดเข้าเรื่องและพยายามชักชวนให้ไป๋ปิงเข้ามาร่วมมือด้วยกัน เพื่อหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าให้สำเร็จ แต่อีกใจหนึ่ง นางเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ไป๋ปิงก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า หยุนซีเองก็มีจุดหมายเดียวกัน แต่ไฉนถึงไม่ร่วมมือกัน ไม่เพียงแค่นั้น นางยังไม่ต้องการให้หยุนซีเสาะหาคนอื่น มาช่วยเหลือกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าอีก?
ถึงจะบอกว่าตอนนี้เป็นศัตรูกันก็เถอะ แต่เพื่อให้จือหยวนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง จะไม่ยอมกันขนาดนั้นเชียว?
“คนที่จะสามารถหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าได้ ต้องมีแค่ข้าคนเดียว! หากหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าสำเร็จเมื่อใด ข้าจะไปขโมยร่างของจือหยวนมาจากนังสารเลวหยุนซี และชุบชีวิตเขาขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นพวกเราจะหนีไปยังดินแดนแสนไกล เพื่อจะให้เขาลืมนังสาวลาวนั่นไปเสียที!”
นัยน์ตาคู่นั้นของไป๋ปิงทอแสงเป็นประกายความโหยหาอยู่เปี่ยมล้น สีหน้าการแสดงออกของนางดูอ่อนโยนลงในทันใด
“ข้าจะดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี และมอบความรักแก่เขาในทุกๆวัน พวกเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปชั่วนิรันดร์!”
กล่าวมาถึงจุดนี้ ไป่ปิงยกแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดใบหน้า ดวงตาเห่อร้อนแดงก่ำ สักครู่หนึ่งก็มีน้ำตาสีใสเอ่อล้นออกมา นางเหม่อมองไปที่จานอาหารบนโต๊ะที่ว่างเปล่าอยู่สักครู่ใหญ่ และจู่ๆนางก็กวาดล้างสรรพสิ่งจากบนโต๊ะเทกระจาดแตกกระจายลงพื้นร่วงกราว ระเบิดร้องไห้เสียงดังลั่น
“ทำไม! ทำไมกันล่ะ!! ทำไมข้าถึงหลอมกลั่นโอสถบัดซบนี่ไม่ได้สักที! ข้าทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง! พยายามกับมันอยู่ตั้งสิบปีเต็มแล้วแท้ๆ! แล้วทำไมยังทำไม่ได้สักที! สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม!!!”
มือไม้ทั้งสองข้างของนางปัดกวาดเอาทั้งจานชามกระทั่งตะเกียบบนโต๊ะเทกระจาดลงมาจนหมด ต่อให้น้ำแกงเปียกชุ่มไปทั่วแขนเสื้อ นางก็ยังหาได้สนใจไม่เลย
เซียถงเหม่อมองไป๋ปิงที่กำลังนั่งซมซาน ร้องห่มร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่ตรงหน้าไม่มีหยุดหย่อน แววความเห็นใจพลันผุดขึ้นกลางใจของนาง ห้วงแห่งความทุกข์ทรมานที่เรียกว่า ความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้คนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป มันทรมานจนแทบบ้าคลั่งจริงๆ
“ท่านอาจารย์! ท่านดื่มมากเกินไปแล้ว รีบดื่มชาแก้เมาค้างถ้วยนี้โดยเร็วเถิด”
ชิงเยวี่ยดูค่อนข้างคุ้นชินกับเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาต้องคอยรับมือกับเวลาที่อารมณ์ของนางดิ่งลงตลอด
เขาถือถ้วยชาแก้เมาค้างตรงมาหาไป๋ปิง จากนั้นก็ค่อยๆยกปากถ้วยขึ้นจ่อชิดกับริมฝีปากของนาง
“ไปให้พ้น! ข้าอยากเมา! ไม่ต้องมาหยุดข้า!”
ไป๋ปิงสะบัดมือปัดถ้วยชาดังกล่าวทิ้งไป
ชิงเยวี่ยย่นคิ้วขมวดเล็กน้อย เอื้อมมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายพยายามจะพยุงร่างขึ้นมา เอ่ยขึ้นเบาๆไปพลางว่า
“ท่านอาจารย์ กลับกันเถอะ”
ไป๋ปิงผลักเขาออกไป และนอนฟุบศีรษะร้องห่มร้องไห้ต่อไปบนโต๊ะอยู่แบบนั้น
“ข้าจะให้ท่านหยิบยืมเพลิงพิภพเก้าดุษณีเอง แต่มีข้อแลกเปลี่ยนอยู่หนึ่งอย่าง ข้าต้องการผลบัวศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือจักรพรรดิซีฉิน”
เซียถงกล่าวกับไป๋ปิงที่กำลังร้องไห้อยู่แบบนั้น
และทันทีที่ไป๋ปิงได้ยินแบบนั้น นางก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก สักครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมา ทั้งน้ำมูกทั้งน้ำตานองไปทั่วใบหน้า นางกล่าวขึ้นว่า
“ข้าทำไม่ได้! ต่อให้มีเพลิงพิภพเก้าดุษณี ข้าก็ไม่สามารถหลอมกลั่นมันขึ้นมาได้! สูตรโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าได้มามันผิด! หากมันเป็นสูตรที่ถูกต้องสมบูรณ์ ปานนี้ข้าก็ทำสำเร็จไปนานแล้ว! ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริง ข้ากำลังพยายามคิดหาวิธีปรับปรุงสูตรมันใหม่อยู่!”