ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 438 ความขมขื่นของไป๋ปิง (2)
ตอนที่438 ความขมขื่นของไป๋ปิง (2)
ตอนที่438 ความขมขื่นของไป๋ปิง (2)
เซียถงตะลึงงันไปชั่วขณะ เอ่ยถามขึ้นว่า
“ท่านปรมาจารย์ไป๋ มีสูตรโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าหรือไม่? หากไม่มีสามารถยืมจากข้าไปได้”
“สูตรในมือของท่านอาจารย์ข้าเป็นสิ่งของตกทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษตระกูลไป๋ ซึ่งเหมือนกับสูตรที่อยู่ในมือพี่สาวของนาง เซียถง เจ้าเองก็น่าจะได้เห็นสูตรอีกฉบับแล้วกระมัง?”
ชิงเยวี่ยอาสาตอบแทน ส่วนไป๋ปิงก็นอนฟุบโต๊ะร้องห่มร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเห็นแล้ว แสดงว่าสูตรโอสถมันมีปัญหาตั้งแต่แรกแล้ว?”
เซียถงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เพราะตอนที่หยุนซีส่งสูตรโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าให้อ่าน นางก็ไม่ยักจะเห็นถึงความผิดปกติใดๆ เพียงว่าผู้ที่สามารถหลอมกลั่นโอสถดังกล่าวได้ จะต้องเป็นนักหลอมโอสถระดับสูง หากปราศจากความช่วยเหลือจากไฟวิเศษ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่เป็นเซียนโอสถชั้นปลาย แต่อย่างไร นางก็ไม่รู้เช่นกันว่า ไป๋ปิงบรรลุถึงขั้นเซียนโอสถชั้นปลายแล้วรึยัง?
“ท่านอาจารย์ของข้า ทะลวงขึ้นเป็นเซียนโอสถชั้นปลายนานแล้ว และนางก็หลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าตามสูตรทุกประการ แต่กลับต้องประสบพบเจอกับความล้มเหลวทุกครั้งไป”
ราวกับชิงเยวี่ยทราบดีว่า นางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงชิงอธิบายให้ฟังก่อน จากนั้นก็ถอนสายตากลับมาจับจ้องไป๋ปิงที่กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างขมขื่นใจ
“แล้วได้ลองหลอมกลั่นใหม่ตามสูตรที่ปรับแต่งแล้วรึยัง?”
เห็นไป๋ปิงเป็นขนาดนั้น เซียถงก็รู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย จึงสอบถามด้วยความเป็นห่วง อีกใจหนึ่งก็เริ่มจะเป็นกังวลกับสูตรที่ตนเองดัดแปลงบ้างแล้วเช่นกัน ถึงแม้จะมีเสี่ยวฮั่วคอยช่วยดัดแปลงอยู่กับตัวเอง แต่พอได้เห็นความล้มเหลวตลอดหลายปีที่ผ่านมาของไป๋ปิง นางก็ชักรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา
“ลองแล้ว ลองปรับแต่งไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ผล”
ชิงเยวี่ยเดินเข้ามาตบไหล่ไป๋ปิงเบาๆ สีหน้าฉายแววเศร้าโศกอย่างชัดเจน
เซียถงพยักหน้า พร้อมกับความมั่นใจในการหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าที่ลดฮวบลงทันใด ทีแรก นางตั้งใจไว้ว่าจะหลอมกลั่นเจ้าสิ่งนี้ในตอนแข่งขัน และคว้าชัยมาเป็นของตน แต่เมื่อได้ยินไป๋ปิงเอ่ยกล่าวออกมาเช่นนี้ ความมั่นใจที่มีมาตลอดของเขาก็เริ่มสั่นคลอน
“นายท่าน อย่าได้กังวล สูตรที่ข้าดัดแปลงให้ใช้ได้ผลแน่นอน ยิ่งผนวกคู่กับเพลิงพิภพเก้าดุษณีในมือของท่าน อัตราความสำเร็จสิบเต็มสิบส่วนแน่นอน!”
เสี่ยวฮั่วกล่าวขึ้นมาทันทีผ่านห้วงความคิดของนาง
เซียถงส่งเสียงตอบกลับไปเบาๆ
ไม่นาน ไป๋ปิงที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ก็พลันลุกขึ้นยืน ตบโต๊ะตรงหน้าจนพังเป็นหน้ากลอง คำรามเสียงแผดดังอย่างโหดเหี้ยมขึ้นว่า
“หยุนซี! เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าคนเดียว! นังสารเลว หากไม่ใช่ต้นเหตุมาจากเจ้าแล้ว มีหรือจือหยวนจะเป็นแบบนี้! ซ่อนร่างของจือหยวนไว้อย่างดีเชียว? ได้! เช่นนั้นข้าจะไปเจ้า และชิงร่างของจือหยวนมาเดี๋ยวนี้!!”
ทันทีที่พูดจบ ไป๋ปิงก็หายวับลับสายตาไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย เงาร่างพิสดารแปรเปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้า โฉบแลบผ่านหน้าต่างโรงเตี้ยมออกไปสุดสายตา
“ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์จะไปไหน?!”
ชิงเยวี่ยรีบวิ่งติดตามไปทางหน้าต่าง ชะโงกศีรษะยื่นออกมาพร้อมแผดเสียงตะโกนลั่นด้วยความเป็นห่วง
ไป๋ปิงหายตัวจากไปนานแล้ว
เวลานี้ก็บ่ายแก่แล้ว น่าจะถ่วงเวลาได้นานเกินพอสำหรับให้หยุนซีลอบเข้าไปขโมยผลบัวสมุทรในกระท่อมไม้ของไป๋ปิง คิดว่านางคงได้มันมาครอบครองแล้ว เซียถงจึงหาได้เป็นกังวลอันใด เหลือบสายตามองผ่านหน้าต่างบานนั้น พลางชำเลืองกลับหาชิงเยวี่ยและเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ของเจ้า มักจะเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง?”
“ค่อนข้างบ่อย แต่ไม่เคยหนักเหมือนครั้งนี้มาก่อน ในคราวนี้หนักมากเสมือนกับนำช่วงที่ผ่านมาตลอดสองปีมารวมกัน โดยปกติแล้ว ท่านอาจารย์จะคลุ้มคลั่งเช่นนี้เดือนละครั้ง ไม่ก็ครึ่งเดือนครั้ง”
ชิงเยวี่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่
เซียถงพยักหน้าตอบ กล่าวปลอบประโลมเขาอยู่สักสองสามคำ แล้วค่อยลุกขึ้นจากไป
กลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พักแรม ยังไม่เห็นว่าหยุนซีกลับมา นางจึงนำสูตรโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้ากางขึ้นมาศึกษาทบทวน
สมุนไพรซึ่งเป็นวัตถุดิบข้างต้น หยุนมีครบหมดแล้ว ตราบใดที่ได้ยอดบัวสมุทรมา เซียถงก็สามารถหลอมกลั่นโอสถวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าได้ทันที ซึ่งประจวบเหมาะกับงานชุมนุมโอสถที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้พอดี
ในตอนย่ำค่ำ จวบจนตอนนี้หยุนซีก็ยังไม่กลับมา ชักจะเริ่มทำให้เซียถงอดกังวลขึ้นจริงๆมิได้แล้ว หรือเป็นไปได้ไหมว่า นางจะถูกไป๋ปิงพบตัวเข้าระหว่างเดินทางกลับมา? แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเปิดศึกสักประยุทธ์กัน? ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก พอลุกขึ้นไปเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นโม่ซวน
โดยปกติแล้ว โม่ซวนเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดมากเสียเท่าไหร่ และตั้งแต่ที่มาถึงจักรวรรดิซีฉินแห่งนี้ เขาก็แทบจะไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเซียถงเลย
ดังนั้น ณ เวลานี้จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอยู่เป็นแน่!
เซียถงมองหน้าอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นว่า
“มีเรื่องกระมัง?”
“เรียนนายหญิง เหมือนว่าหยุนซีกำลังมีเรื่อง นางกำลังเปิดศึกสัประยุทธ์อยู่กับไป๋ปิงกลางถนน!”
น้ำเสียงโม่ซวนฟังดูค่อนข้างเป็นกังวลอยู่หนึ่งส่วน
สัประยุทธ์อยู่กับไป๋ปิง? สรุปแล้วได้ยอดบัวสมุทรมาหรือไม่?
ได้ฟังดังนั้น เซียถงตื่นตกใจไม่น้อย เร่งกล่าวขึ้นว่า
“นำทางไป!”
โม่ซวนพยักหน้าตอบและรีบวิ่งนำออกไปทันที
ดวงตะวันอัสดงลาลับ เส้นขอบฟ้าเปล่งแสงรัศมีสีแสดปนเหลือง ใต้หล้าผืนพิภพท่ามกลางสุริยันตกดิน ปรากฏเป็นเงาแสงทอปกคลุม
ณ ถนนคนเดินสายหลักในเมืองซีเยว่เต็มไปด้วยธารฝูงชนมากมาย คนเหล่านั้นกำลังมุ่งล้อมเฝ้ามองอะไรบางอย่าง
หยุนซีและไป๋ปิงต่างยืนประจันหน้ากันคนละฟากฝั่ง อยู่บนหอคอยที่สูงที่สุดในเมืองซีเยว่อยู่ในขณะนี้ ร่องรอยความมึนเมาบนใบหน้าของไป๋ปิงมลายหายสิ้นสูญ กำลังจับจ้องหยุนซีตาเขม็งด้วยความอาฆาตพยาบาท
ส่วนทางด้านหยุนซี นางจับจ้องอีกฝ่ายอย่างสงบ
เสื้อผ้าที่ทั้งคู่สวมใส่ขาดรุ่งริ่งไม่เหลือชิ้นดี พร้อมกับรอยแผลสดอีกหลายจุดทั่วร่างกาย เห็นได้ชัดว่า พวกนางผ่านการปะทะกันมากว่าหลายร้อยกระบวนแล้ว
“หยุนซี ยอดบัวสมุทรที่เจ้าต้องการ ถูกข้าเก็บซ่อนเป็นอย่างดี ต่อให้จขุดไฟเผาบ้านข้า ก็ไม่มีทางหามันพบ!”
ไป๋ปิงผมเผ้ายุ่งเหยิ่งกระเซอะกระเซิงดูสกปรกอย่างมาก ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำน่ากลัว กัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
“ปิงเอ๋อร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าก็ไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถเก้าวัฏจักรคืนชีพระดับเก้าได้สำเร็จเสียที เก็บยอดบัวสมุทรเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ แล้วไฉนถึงไม่ให้ข้านำมันไปช่วยจือหยวน? พวกเราสามคนจะได้กลับมาเป็นเหมือนกาลก่อน”
หยุนซีพยายามเกลี้ยกล่อม
แต่ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ไป๋ปิงแหงนหน้าขึ้นฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เนื้อตัวสั่นสะท้านอย่างหนักจากสุ้มเสียงหัวเราะ ประกอบกับสภาพผมเผ้าที่สกปรกและเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ยิ่งทำให้นางดูเหมือนคนเสียสติอย่างมากในเวลานี้
หยุนซีที่เห็นแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกก็ยิ่งดูเป็นกังวลมากขึ้น
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หัวใจของอีกฝ่ายยังคงอยู่กับจือหยวนเสมอไม่เคยไปไหน และนับตั้งแต่วันนั้น นางก็ไม่เคยสนใจคนอื่นอีกเลย ส่งผลให้ปัจจุบัน ไป๋ปิงต้องอยู่ในสภาพดูไม่ได้ราวกับคนบ้าเช่นนี้ พอได้เห็นตัวจริง หยุนซีก็รู้สึกเศร้าเกินจะพรรณนา
ตัวหยุนซีในกาลอดีต นางไม่เพียงแต่จะทำร้ายจือหยวนเท่านั้น แต่นั่นยังรวมไปถึงไป๋ปิงด้วย
มิเช่นนั้นแล้ว ไป๋ปิงจะมาอยู่ในสภาพเฉกเช่นนี้รึ?
ไป๋ปิงเชิดหน้าขึ้นมองแผ่นฟ้าสูง และระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยุดลง นางค่อยๆก้มศีรษะหาหยุนซี กล่าวขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจสุดแสนว่า
“นี่เจ้ายังคิดจะปลุกเขามาทำร้ายจิตใจต่ออีก? แค่ที่ผ่านมายังไม่สาแก่ใจ? หยุนซี จิตใจของเจ้าต่ำทรามเสียยิ่งกว่าเดรัจฉาน! ข้าจะไม่ยอมปล่อยคนที่ไม่มีหัวใจอย่างเจ้าทรมานเขาต่อไปแน่!”
“ปิงเอ๋อร์ นี่เจ้ากลายมาเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? น้องสาวผู้มีจิตใจงดงามของข้าคนนั้นหายไปไหนแล้ว?”
หยุนซีสะกดสายตามองอีกฝ่าย พร้อมความเจ็บปวดระทมหัวใจที่รุมเร้า แววตาของนางเปี่ยมล้นไปด้วยแววความเศร้าหมอง
หากย้อนกลับไปในตอนนั้น ไป๋ปิงถืออิสตรีรูปงามผู้มีจิตใจเมตตาล้นเหลือ แต่ไฉนปัจจุบัน ถึงกลายมาเป็นคนบ้าเช่นนี้ไปเสียแล้ว?