ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 441 งานชุมนุมโอสถเริ่มต้นขึ้น (1)
ตอนที่441 งานชุมนุมโอสถเริ่มต้นขึ้น (1)
ตอนที่441 งานชุมนุมโอสถเริ่มต้นขึ้น (1)
เมื่อพาหยุนซีกลับโรงเตี๊ยมพักแรม เซียถงก็มอบหมายให้โม่ซวนเป็นคนคอยอยู่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนนางจะไปเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้
เนื่องด้วย งานชุมนุมโอสถใกล้จะเริ่มต้นขึ้นในวันรุ่งขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้กลับยังไม่ได้ยอดบัวสมุทรมาครอบครอง ดังนั้นเซียถงเลยจำใจต้องเปลี่ยนโอสถที่ใช้แข่งขันเป็นชนิดอื่นแทน
วันต่อมา หยุนซีพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยม จะมีก็เพียงเซียถงที่เดินทางไปเข้าร่วมงานชุมนุมโอสถพร้อมกับโม่ซวน
การแข่งขันในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นในสวนพฤกษาหลังพระราชวังแห่งซีฉิน เมื่อเปรียบเทียบกับความคึกคักของงานประลองสี่จักรวรรดิในครั้งที่แล้ว งานชุมนุมโอสถค่อนข้างมีผู้คนเบาบางกว่ามาก
เพราะผู้ที่จะมีคุณสมบัติถูกเชื้อเชิญเข้าพระราชวังแห่งซีฉินได้ ทุกคนจำเป็นจะต้องถือตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ เพราะสิ่งนี้แสดงถึง สิทธิ์ได้รับการอนุญาตจากองค์จักรพรรดิซีฉินโดยตรง หลังจากที่เซียถงเข้าไป นางก็เดินตามป้ายบอกทางไปยังสนามประลอง จนไปถึงสวนหลังพระราชวังที่ถูกเนรมิตกลายเป็นลานสนามประลองอันกว้างใหญ่ไพศาล บนนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งยังมีเตาหลอมโอสถกว่าสิบสามใบตั้งเตรียมไว้อยู่ เหนือสนามประลองขึ้นไปปรากฏเป็นที่นั่งอันทรงเกียรติ มีชายชราผมเผ้าหงอกขาวนั่งอยู่สองสามคน จากที่พินิจดูแล้ว คนพวกนี้ควรจะเป็นกรรมการตัดสิน
“คนที่นั่งบนนั้นเป็นหมอหลวงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปเทียนหลาง ฟังว่าช่ำชองวิชาพิษ”
โม่ซวนเอ่ยกระซิบข้างหูเซียถง
“วิชาพิษ? ไม่ใช่นักหลอมโอสถหรอกรึ?”
เซียถงได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย
โม่ซวนพยักหน้าและกล่าวอธิบายต่อว่า
“อาชีพนักหลอมโอสถมีจำนวนน้อยเพียงหยิบมือ กวาดหาทั่วทวีปเทียนหลางมีกันแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้น และพวกเขาที่ว่าก็ล้วนแต่ได้รับการเชื้อเชิญจากจักรพรรดิซีฉินให้มาเข้าร่วมงานชุมนุมโอสถในครั้งนี้ ผลบัวศักดิ์สิทธิ์นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินที่ล้ำค่าหาประเมินไม่ ทุกคนต่างปรารถนาอยากจะได้มันกันทั้งสิ้น นักหลอมโอสถทุกคนจึงเต็มใจเดินทางมาเข้าร่วมการแข่งขันอย่างที่เห็น จึงไม่มีนักหลอมโอสถคนใดยอมเป็นกรรมการ ทำได้เพียงปล่อยให้นักพิษผู้เจนจัดมากประสบการณ์ขึ้นแท่นตำแหน่งตัดสินแทน”
เพราะในความเป็นจริง ขอเพียงมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งโอสถและสมุนไพรอยู่ในระดับหนึ่ง ก็สามารถตรวจสอบได้ว่า โอสถเม็ดไหนมีคุณภาพสูงกว่ากัน ดังนั้น หน้าที่กรรมการผู้ตัดสินจึงไม่จำเป็นต้องเป็นนักหลอมโอสถ
เซียถงพยักหน้าเข้าใจ และก้าวขึ้นสนามประลองอันกว้างใหญ่เบื้องหน้าทันที
มีอยู่หลายสิบคนที่ยืนอยู่หน้าเตาหลอมกลั่นบนสนามประลอง แต่ละคนล้วนก้มหน้าก้มตามุ่งจิตสมาธิกับการกลอมกลั่นของตัวเอง
เซียถงสุ่มเลือกสักตำแหน่งหนึ่งที่ยังว่างอยู่ และเดินตรงไปยังเตาหลอมที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ ขั้นตอนแรกเริ่มก่อนลงมือเลยก็คือ ทำความคุ้นเคยกับเตาหลอมโอสถตรงหน้า เนื่องจากงานชุมนุมโอสถมีกฎกติกาไว้ว่า จำเป็นจะต้องใช้เตาหลอมโอสถที่ทางงานจัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น ซึ่งเตาหลอมกลั่นที่ว่าก็เหมือนจะมีบางส่วนแตกต่างจากของที่นางเคยใช้เป็นประจำอยู่บ้างเล็กน้อย จำต้องทำความคุ้นเคยกับมันก่อนสักครู่ ถึงจะดูเสียเวลาไปหน่อย แต่นี่จะช่วยให้อะไรหลายๆอย่างง่ายขึ้นในภายหลัง
ระหว่างที่กำลังศึกษาเข้าเตาหลอมโอสถใบนี้ จู่ๆก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาส่งยิ้มให้และเอ่ยทักขึ้นว่า
“คุณหนูท่านนี้เองก็เป็นนักหลอมโอสถด้วยงั้นรึ? ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง เจ้าชื่ออะไรรึ? เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
เซียถงเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ก็เห็นเป็นชายหนุ่มในชุดนักหลอมโอสถสีขาว อายุย่างเข้าเลขสาม กำลังส่งยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้นาง
เนื่องจากมีนักหลอมโอสถจำนวนเท่าหยิบมือในทวีปเทียนหลาง จึงเป็นธรรมดาที่ในหมู่คนพวกนี้จะรู้จักกันหมด ตรงกันข้ามกับเซียถงที่ปกปิดตัวตนของนางในฐานะนักหลอมโอสถมาโดยตลอด จึงไม่แปลกที่จะไม่มีใครในที่แห่งนี้รู้จักนาง และแน่นอน ชายหนุ่มคนนี้เองก็ไม่เคยพบเจอเซียถงมาก่อนเช่นกัน ซึ่งทันทีที่ได้ยลโฉมกับความงามของนาง เขาก็รีบเดินตรงมาหาและเริ่มบทสนทนาเอ่ยทักทายขึ้นทันที
เซียถงเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง และก้มหน้าก้มตาศึกษาเพื่อสร้างความคุ้นชินกับเตาหลอมโอสถต่อไป
“คุณหนู คงจะเป็นนักหลอมโอสถมือใหม่กระมัง? ข้ามีนามว่า ไป๋ซิ่ว เป็นนักโอสถสามัญชั้นสูง หลากมีส่วนไหนที่ไม่เข้าใจ ก็สามารถถามข้าได้ทุกเมื่อ!”
ไป๋ซิ่วกล่าวขึ้นอย่างตื่นอกตื่นเต้น แลดูภาคภูมิใจกับความสามารถที่ตนเองมีอย่างยิ่ง
สองมือของเซียถงยังคงร่ายไปมาอยู่บนเตาหลอมกลั่นตรงหน้า ดูเหมือนกับว่ากำลังมีสมาธิจดจ่อ หาได้สนใจฟังอีกฝ่ายเลยสักคำไม่
“คุณหนู ไม่ทราบว่าต้องการจะหลอมกลั่นโอสถชนิดใดอยู่รึ? หากขาดเหลือสมุนไพรชนิดใด ก็เอ่ยถามกันได้ตลอด พอดีในมือข้ามีสมุนไพรหายากอยู่บ้าง เผื่อว่าจะช่วยเหลือเจ้าได้”
เห็นว่าเซียถงไม่ยอมพูดกับตน ไป๋ซิ่วก็ก้าวเข้ามาใกล้พร้อมโน้มตัวเอื้อมมือไปจับไหล่ของเซียถง ไม่ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำลงไปจะเกิดมาจากความตั้งใจหรือไม่ แต่เสี้ยวอึดใจขณะ เขาพลันต้องตาสบปะทะกับไอหนาวเย็นฉับพลัน
อุณหภูมิโดยรอบตกฮวบ อากาศเย็นตัวจับแข็งทันควัน และก่อนที่ไป๋ซิ่วจะตอบสนองเสียด้วยซ้ำ ร่างของเขาก็ถูกซัดปลิวกระเด็นออกจากสนามประลองไปต่อหน้าต่อตาฝูงชนทั้งหลาย
ฝูงชนเหล่านี้บ้างก็เป็นคนสนิทชิดเชื้อไม่ก็คนในครอบครัวที่เข้ามาดูการแข่งขัน พวกเขาต่างระเบิดความโกลาหลขึ้นทันทีที่ได้เห็น ไป๋ซิ่วล้มตัวกระแทกพื้นดินอย่างแรง สักครู่ต่อมาก็เริ่มรู้สึกคันอย่างรุนแรงทั่วร่างกาย ถึงจะล้วงหยิบโอสถแก้พิษของตนออกกินแล้วก็ตาม แต่อาการคันชนิดรุนแรงก็ไม่มีบรรเทาลงเลยสักนิด เขาร้องลั่นตะโกนเสียงดังว่า
“คุณหนู ข้าผิดไปแล้ว! โปรดช่วยข้าด้วย!”
เซียถงชำเลืองหางตามองอยู่หนึ่งที พร้อมกระแสลมปราณสีม่วงจัดจ้านตลบหนึ่งที่ยิงออกจากฝ่ามือ ซัดร่างของไป๋ซิ่วจนล้มคะมำไปอีกครั้ง
“สาวน้อย! นี่เจ้ากำลังทำบ้าอะไร? ไป๋ซิ่วก็พูดจาทักทายกันดีๆ ไยต้องทำกันถึงปานนี้ด้วย? ไม่หยิ่งผยองไปหน่อยรึ?!”
มีนักหลอมโอสถจำนวนกว่าหลายคนที่อยู่ใกล้กับไป๋ซิ่วและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พวกเขาเดินจากหน้าเตาหลอมกลั่นของแต่ละคนออกมา ตรงเข้ารวมตัวอยู่ล้อมรอบเซียถง
“ไสหัวไปให้พ้น ข้าไม่มีเวลามาเสวนากับพวกเจ้า”
เซียถงเงยหน้ากวาดสายตามองพวกเขาเหล่านั้น ลูกตาดำจัดชักทอประกายเยียบเย็นเพ่งใส่ถ้วนหน้า
เผชิญเข้ากับสายตาคู่เหยียบเย็นเมื่อสักครู่ ก็มีนักหลอมโอสถถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินหนีแยกย้ายกลับไปยังตำแหน่งของตนโดยไม่สนอะไรอีกเลย และสอง เลือกที่จะยืนอยู่ต่อ
ซึ่งผู้คนในกลุ่มที่สอง พวกเขาเพิ่งจะฟื้นคืนจากภวังค์ตกใจ เมื่อครู่ที่เซียถงเงยหน้าขึ้นแช่มมอง ต่างทำให้คนเหล่านั้นตกอยู่ในความลุ่มหลงคลั่งไคล้ในความงดงามของนาง ก่อเกิดเป็นแววความโลภมากตัณหาที่เฉิดฉายออกมาผ่านดวงตา หนึ่งในนั้นกล่าวทีเล่นทีจริงขึ้นว่า
“คุณหนู ท่านนี่ช่างงดงามเกินบรรยาย หากน้องชายไป๋ซิ่งของพวกเรากลั่นแกล้งรังแกท่าน ก็ขออภัยแทนเขาด้วย และหากเขายังตามตอแยอยู่อีก ก็เรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะปกป้องท่านเอง”
เซียถงชักจะหมดความอดทน หยุดชะงักทุกการกระทำและเงยหน้าขึ้นมา เตรียมจะซัดฝ่ามือตบอัดคนพวกนี้ให้กระเด็นไปพ้นๆหน้าเสียที แต่ระหว่างที่จะลงมือลงไม้ จู่ๆชิงเยวี่ยก็แทรกตัวออกมาท่ามกลางคนกลุ่มนั้น ชูมือห้ามปราบเอาไว้ก่อน พร้อมกล่าวว่า
“เจ้าอยู่นี่เอง มาแล้วไยไม่บอกข้า?”
สิ้นเสียง เขาก็หันไปยิ้มให้นักหลอมโอสถกลุ่มนั้นและกล่าวว่า
“นางคือพระชายาเอกของท่านราชาหมาป่าสวรรค์ มีศักดิ์เป็นองค์ราชินีแห่งดินแดนอี้เฉิง พวกเจ้าเองก็พึงทราบเช่นกันว่า ท่านราชาหมาป่าสวรรค์มีชื่อเสียงในด้านใด? ทางที่ดีอยู่ให้ห่างจากองค์ราชินีเอาไว้เถอะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของราชาหมาป่าสวรรค์ สีหน้าการแสดงออกของนักหลอมโอสถกลุ่มนั้นพลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่ละคนรีบถอยกรูออกห่างอย่างรวดเร็ว
เซียถงถอนสายตาเยียบเย็นออกมากลับสู่สภาวะปกติ แลเห็นแต่ละคนหน้าเสียกันอย่างหนัก นางก็อดรู้สึกภาคภูมิใจมิได้เล็กน้อย ชื่อเสียงล่ำลือของไป๋หลี่หานนับว่าใช้ข่มขู่ได้จริง!
“เรียนองค์ราชินีแห่งอี้เฉิง โปรดอภัยที่ปล่อยให้น้องไป๋ซิ่งของเราทำให้ท่านขุ่นเคือง หวังว่าจะยอมมอบโอสถแก้พิษให้แก่เขา”
ชิงเยวี่ยเหลือบสายตามองไปทางไป๋ซิ่วที่กลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นไปมา
ถึงขนาดที่ชิงเยวี่ยออกโรงเอ่ยปากขอร้องด้วยตัวเอง นางเองก็เห็นแก่หน้าเขาเช่นกัน จึงหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกจากแขนเสื้อและโยนไปทางไป๋ซิ่ว
ทันทีที่โอสถเม็ดนั้นตกกระทบพื้นดิน ไป๋ซิ่วรีบโกยเข้าปากทันควันโดยไม่สนเลยว่าจะมีเศษดินเศษทรายปะปนมาด้วยหรือไม่ หลังจากเม็ดโอสถตกลงสู่ท้องและเริ่มละลายออกฤทธิ์ อาการคันตามเนื้อตัวก็เริ่มบรรเทาลงจนหายไปอย่างหมดจด ไป๋ซิ่วค่อยเดินตรงมาหาเซียถงด้วยทีท่าประหม่าอย่างยิ่ง เอ่ยเสียงแผ่วต่ำอย่างกล้าๆกลัวๆขึ้นว่า
“ขะ-ข้าไป๋ซิ่ว มีตาหามีแววไม่ องค์ราชินีแห่งอี้เฉิน โปรด…โปรดอย่าได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับท่านราชาหมาป่าสวรรค์ได้หรือไม่?”
ความโหดเหี้ยมอำมหิตและเลือดเย็นของราชาหมาป่าสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งทวีปเทียนหลาง หากอีกฝ่ายทรงทราบเรื่องที่ภรรยาของตนถูกชายอื่นรังควานตีสนิท เกรงว่าตัวเขาคงถูกฉีกเป็นครึ่งท่อนแน่นอนในเช้าวันถัดไป
“เช่นนั้นก็ไปให้พ้น!”
เซียถงส่งสายตาเย็นยะเยือกเสียดมองเข้าใส่