ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 45 จับเป็นตัวประกัน (1)
ตอนที่45 จับเป็นตัวประกัน (1)
สายลมอรชรพัดอ่อน หลัวซีจับจ้องไปยังหญิงสาวตรงหน้าผู้หาญกล้าประสานงาสัประยุทธ์กับตนอย่างไม่กลัวตาย ใจหนึ่งพลันรู้สึกหนาวเหน็บโดยไร้เหตุผล สีหน้าการแสดงออกของเขายามนี้เคร่งขรึมจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รอบกายาหญิงสาวปรากฏรัศมีแสงสีทองอร่ามโอบล้อม ประดุจเทพสงครามเก้าสวรรค์ผงาดง้ำจตุรทิศก็มิปาน
ใครขวางนาง ตาย!
ฝูงชนเรียงรายทั่วอัฒจันทร์เฝ้ามองภาพฉากตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ บ้างหน้าถอดสี บ้างลุ้นจนเผลอกลั้นหายใจกันไปตามๆ กัน
ส่วนทางด้านสตรีงามในชุดแดงทั้งสี่สีหน้าซีดเผือด ยามต้องเผชิญหน้ากับนายน้อยที่กำลังเอาจริง หญิงสาวนางนี้กลับเลือกที่จะลุกขึ้นเผชิญหน้าอย่างห้าวหาญแทนที่จะหนีหรือยอมแพ้ไป นางไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน?
ไป๋หลี่หานเหม่อมองร่างเงาสายหนึ่งที่กำลังเหินทะยานเข้าใส่หลัวซีบนฟากฟ้า สีหน้ายังคงสงบเสงี่ยม ทว่าอย่างไร มือทั้งสองข้างที่วางบนพนักพิง หากใครสังเกตให้ดีจะเห็นว่า นิ้วทั้งห้าของเขากำลังกระชับกำแน่นจนหลังมือเปลี่ยนเป็นสีซีด
ศึกการประลองในวันนี้มีความเป็นตายมาเดิมพัน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดมันได้แล้ว
ธารแสงเย็นพร่าวระยับสีเงินและประกายแสงสีทองเจิดจรัส สองขั้วพลังทำลายล้างเข้าปะทะชนกันอย่างรุนแรงภายใต้สายตาของทุกคน คล้อยหลังเสียงประสานงาน อัดกระแทกกันดังสนั่น แสงและเงาพลิกตาลปัตรวูบวาบ ม่านฟ้านภากาศสั่นกระเพื่อม ปฐพีผืนดินสั่นสะท้าน คลื่นแรงกระแทกที่ก่อเกิดจากสองขั้วพลังโหมปะทะ แผดกระจายรัศมีออกไปกว้างขวาง เสมือนคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าใส่ททิศทางอัฒจันทร์ที่บรรดาฝูงชนกำลังรับชม
คลื่นกระบี่คมเขี้ยวทั้งสีทองและสีเงินถูกสาดกระจายออกมาจากจุดปะทะแสงจ้าสว่าง พุ่งกระเด็นไร้ทิศไม่มีเป้าหมาย บ้างอัดกระแทกใส่พื้นสนาม บ้างตกลงไปยังบริเวณอัฒจันทร์
แต่กรณีที่หนักที่สุดคือ จู่ๆ ก็ทีกระบี่เล่มสีทองคำดีดปลิวออกมาเสมือนดาวตก เข้าเสียบทะลวงเสาไม้หลักต้นยักษ์ซึ่งใช้ค่ำยันสนามประลองทั้งหมดจนขาดครึ่งท่อน!
ทุกอย่างกลายมาเป็นความโกลาหลในชั่วพริบตา ทั่วทั้งบริเวณมีทั้งเสียงกรีดร้องตะโกนลั่น เสียงครวญครางนับไม่ถ้วน เมื่อทุกคนพบว่าอัฒจันทร์ที่กำลังนั่งรับชมใกล้จะถล่มลงมาเต็มทน พวกเขารีบลุกขึ้นและพยายามหาทางหนีออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
บนสนามประลองที่คลุกฟุ้งไปด้วยฝุ่นควันและเศษหินดินทรายที่กระจายทั่วอากาศ ณ บริเวณใจกลางยังคงหลงเหลืออีกสองร่างที่ยืนตระหง่านไม่มีหวาดหวั่น ยืนประกบแนบชิดใกล้
คมกระบี่ยาวสีเงินเคลือบชโลมแสงเย็นยะเยือกแทงทะลุแพรพรรณสีเขียว เจาะเข้าไหล่ขวาของเซียถง ประกายคมส่องกะพริบวิบวับอยู่คราสองครา ก่อนที่ธารแสงจะอ่อนจางลงไป หลัวซีเคลื่อนสายตาจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าอันอ่อนล้าว่า
“เจ้าแพ้แล้ว!”
“แน่ใจรึ?”
รอยยิ้มแปลกๆ ผุดขึ้นบนมุมปากของเซียถง เหลือบสายตาขึ้นทองกระบี่ทองอำพันที่ปักคาอยู่บนเสาไม้ต้นหลักอยู่แบบนั้น ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
ทีแรกหลัวซีกลับมิได้นำพาคำพูดประโยคนี้ของหลัวซีมาใส่ใจเลย จนกระทั่งก้มศีรษะมองและพบความผิดปกติอะไรบางอย่าง ใบหน้าของเขาถอดสีในทันที ดวงตาเบิดกว้างด้วยความเหลือเชื่อ เพราะใครจะไปนึกว่า ยามนี้จะมีมีดสั้นเล่มคมจ่ออยู่ตรงขั้วหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้นปลายคมมีดยังเสียบทะลุเสื้อคลุม ทะลุเข้าไปถึงเนื้อด้านในจนเลือดไหลซิบออกมาเป็นทาง หากเซียถงออกแรงอีกเพียงนิดเดียว ก็จะสามารถปลิดชีพของหลัวซีได้ในพริบตา
ในการปะทะครั้งสุดท้าย เซียถงแสร้งทำเป็นกระบี่หลุดมือกระเด็นกระดอนออกไปเอง และปล่อยให้หลัวซีเสียบกระบี่เงินทะลุหัวไหล่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลดความระมัดระวังของอีกฝ่ายลง จากนั้นก็รุกเข้าถึงตัวในทันที และใช้มีดสั้นที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อมาโดยตลอด เล็งเข้าจุดตายโดยตรง กล่าวได้ว่า อีกเพียงไม่ถึงครึ่งนิ้วเท่านั้น ปลายมีดสั้นก็จะเสียบทะลุขั้วหัวใจได้
หลัวซีเงยหน้ามองจับจ้องไปทางเซียถงด้วยความตื่นตะลึงยิ่ง บัดนี้สีหน้าของนางซีดขาว กระทั่งริมฝีปากยังแห้งกราด สันนิษฐานได้ว่าน่าจะเสียเลือดไปมาก บริเวณหัวไหล่ของนางเองก็ยังมีคมกระบี่เหล็กไหลเย็นเสียบทะลุคาเอาไว้แบบนั้น เลือดสีแดงสดทะลักล้นอาบชโชมทตัวกระบี่ ไหลยาวเป็นสาวรินหยดลงสู่พื้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงสภาพการณ์ของหญิงสาวนางนี้จะเลวร้ายอย่างไร แต่สายตาคู่นั้นของนาง…ยังคงมั่นคงและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
“เจ้าชนะ”
เขาเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา ชักกระบี่เหล็กไหลเย็นออกมา ทั่วร่างกายาสั่นสะท้านนัก รากฐานสั่นคลอน แม้แต่ทรงตัวให้ตรงยังไม่สามารถ นี่เห็นได้ชัดแจ้งว่า หลัวซีเองก็อาการสาหัสไม่แพ้กันเลย
“นายน้อย!”
สตรีงามในชุดแสงทั้งสี่นางรีบเหาะเหินลงมา ตรงเข้าประคองร่างสนับสนุนมิให้ล้มลง และหนึ่งในนั้นถึงขั้นชักคมกระบี่ออกมา หันไปจ่อหน้าเซียถงโดยทันที
“ตงเหม่ย!”
หลัวซีโบกมือหยุดอีกฝ่าย ท่าทีดูยากลำบากนัก ทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายปนน้ำเสียงเศร้าสร้อยอีกว่า
“ถือว่านางเมตตาต่อข้ามากแล้ว กลับกันเถอะ”
สตรีงามในชุดสีแดงนางนั้นเหลือบหางตามองเซียถงเล็กน้อย ก่อนจะจากออกไปพร้อมกับหลัวซี
เซียถงถือมีดสั้นกระชับอยู่ในมือคาอยู่ท่านั้น เลือดสีแดงสดยังคงไหลซิบออกมาจากบริเวณไหล่ขวา พอนางต้องการจะเคลื่อนขยับเดินหน้า ทว่าทันทีทันใด นางรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหมุนเคว้งคว้างไปหมด สติเริ่มเลือนรางจางอ่อนลง จนท้ายที่สุดก็ทิ้งร่างล้มลงกับพื้นสนามทั้งแบบนั้น
สำหรับการประลองรอบนี้ นางหมดเรี่ยวแรงไม่เหลือ
แต่เมื่อเห็นว่าสนามประลองดังกล่าวกำลังจะถล่มลงมา เนื่องจากเสาไม้ต้นอื่น ๆ เริ่มรับน้ำหนักไม่ไหว เสี้ยวอึดใจที่เซียถงกำลังจะสิ้นสติลง นางพลันรู้สึกราวกับ ตนเองตกอยู่ในอ้อมกอดหนึ่งอันแสนอบอุ่น ทว่ายามนี้นางไม่สามารถแม้แต่จะลืมตาได้แล้ว ทิ้งทวนวาจาคำสุดท้ายก่อนสิ้นสติโดยสมบูรณ์เพียงว่า
“เห็ดหลินจือมรกตเป็นของ..ข้า…”
จากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป
ไป๋หลี่หานเฝ้ามองดูหญิงสาวที่หลับลงในอ้อมแขนของเขา แต่ในยามนี้ เขาชักรู้สึกมีบางอย่างไม่ปกติ สีหน้าแววตาฉายร่องรอยความฉงนใจออกมา เมื่อกวาดสายตามองออกไปโดยรอบ เขากลับไม่เห็นเซี่ยหลู่เฟิงแม้แต่เงาหัวด้วยซ้ำ หรือเป็นไปได้ไหมว่า จะถูกเรียกตัวไปทำภารกิจด่วนระหว่างการประลองโดยไม่ทันสังเกต? ภายในจวนเสนาบดีเองก็ไม่มีใครคิดดีกับเซียถงแล้วนอกจากเซี่ยหลู่เฟิงคนนั้น ยิ่งเป็นตอนที่เขาไม่อยู่ด้วยแบบนี้ หากไป๋หลี่หานเลือกที่จะส่งตัวเซียถงที่หมดสติกลับไปจวนเสนาบดี เกรงว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีมาแก้แค้นมากกว่า
คล้อยหลังครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง เขาก็กระชับกอดร่างเซียถงไว้แน่น และพาออกไปในทิศทางตรงข้ามกับจวนเสนาบดีโดยสิ้นเชิง โดยมีโม่ซวนค่อยเฝ้าติดตามอยู่ท้ายหลัง เขากระโจนขึ้นไปคว้ากระบี่ทองอำพันที่ปักคาอยู่บนเสาไม้ แล้วติดตามออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน เซียถงก็ตื่นขึ้นอย่างช้าๆ ลืมตาขึ้นมาก็พลันเห็น ผ้าห่มสีขาวปักลายสีทองลวดลายประณีตหรูหรา พอหันศีรษะไปด้านข้างก็เห็นผ้าม่านคลุมเตียงที่ถูกถักทอขึ้นจากไหมเงินไหมทองห้อยปิดลงมา เพื่อความเป็นส่วนตัว นางถึงกับขมวดคิ้วทันทีที่เห็นสรรพสิ่งรอบตัว เพราะเรือนพักของนางไม่ได้หรูหราเช่นนี้
พยายามชันตัวลุกขึ้นอยู่ในท่านั่ง นางได้แต่สงสัย เรือนพักที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามปานนี้นี่มันที่ไหนกันแน่?
“คุณหนู! ท่านตื่นแล้วรึเจ้าค่ะ! รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
อิ๋งเอ๋อร์ที่นอนเฝ้าอยู่ตรงขอบเตียง แอบร้องห่มร้องไห้อยู่ลำพัง สะดุ้งเฮือกใหญ่รีบเช็ดน้ำหูน้ำตาโดยไว รีบลุกขึ้นมาประคองช่วยเหลือคุณหนูของตนโดยไว สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“ที่นี่ที่ไหน?”
เซียถงปริปากถามขึน้ พลางกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ
“คุณหนู ข้าผิดไปแล้ว! ที่วันนี้ข้าเผลอหลับอยู่ในเรือนพัก ปล่อยปละละเลยจนคุณหนูต้องได้รับบาดเจ็บปานนี้!”
อิ๋งเอ๋อร์มิได้ตอบคำถามของเซียถง แต่กลับคุกเข่าลงข้างเตียง สีหน้าการแสดงออกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ต่อให้เจ้ามาหรือไม่มา คงช่วยอะในรตอนที่ข้าอยู่บนสนามประลองไม่ได้อยู่ดี”
ประโยคคำกล่าวนี้ของอิ๋งเอ๋อร์ ทำเอาเซียถงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกัน สิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
“ตอนนั้นขณะที่สนามประลองกำลังถล่มลงมา ข้าก็เพิ่งวิ่งมาถึง และพบคุณหนูที่ถูกราชาหมาป่าสวรรค์อุ้มออกมา”
อิ๋งเอ๋อร์ร้องสะอื้น เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นต่อว่า
“ยังไม่ทันได้พูดอะไร ราชาหมาป่าสวรรค์ก็ฉุดแขนบังคับให้ข้ามาที่นี่ พอมาถึง อีกฝ่ายก็นำคุณหนูกับข้ามาขังไว้ที่นี่ ไม่ให้ออกไปไหน!”
อิ๋งเอ๋อร์คิดว่า ทั้งตนและคุณหนูของตนคงถูกราชาหมาป่าสวรรค์ลักพาตัวมา และถูกจับขังอยู่ในห้องนี้มิให้หนีออกไปไหน จึงเป็นสาเหตุให้นางนั่งร้องร่มร้องไห้อยู่ที่ข้างขอบเตียงเช่นนี้
“หื้ม?”
เซียถงดวงตาทอประกายแสงเยียบเย็นออกมาวูบหนึ่ง หรือเป็นไปได้ไหมว่า ราชาหมาป่าสวรรค์จะจับนางเป็นตัวประกัน เพื่อจะนำมาขู่รีดคัมภีร์วรยุทธลับของท่านตา? เพราะจะอย่างไร มันก็เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งเช่นกัน นี่มีสิทธิ์เป็นไปได้สูงมาก…
และขณะที่เซียถงกำลังครุ่นพินิจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา พร้อมเสียงเคาะประตูเป็นลำดับถัดไป