ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 458 หุบเขาเทียมฟ้า (2)
ตอนที่458 หุบเขาเทียมฟ้า (2)
ตอนที่458 หุบเขาเทียมฟ้า (2)
“เยี่ยมไปเลยนายท่าน!”
น้ำเสียงเสี่ยวฮั่วดูร่าเริงขึ้นทันตา เดินทางไกลครั้งนี้ยังมีภัยอันตรายอีกหลายสิ่งอย่างรออยู่ จะเป็นการดีกว่าหรือไม่ หากระหว่างนี้เตรียมพร้อมเติมพลังให้แกร่งกล้าขึ้นอีกเสียหน่อย?
“ข้าไปด้วย!”
หลิวซูสื่อจิตตะโกนแทรกขึ้นมาท่ามกลางห้วงความคิดของนางทันใด
เซียถงพยักหน้าทีหนึ่ง แลเหลือบไปที่สองพี่น้องตระกูลเค่อ เจ้าสองคนนี้กำลังเสาะหาโอกาสกำจัดนางทิ้งอยู่ คงไม่สามารถปล่อยให้ออกล่าสัตว์อสูรด้วยกันกับนางได้ คิดได้เช่นนั้นจึงล้วงซองผงยาพิษขึ้นมาถุงหนึ่ง กรอกเทใส่บนฝ่ามืออย่างแช่มช้า จากนั้นก็ระดมกระแสลมปราณหอบหนึ่งพัดผ่านไปทางพวกเขา จากผงละเอียดจำนวนหนึ่งได้ก่อตัวรวมกันเป็นชั้นหมอกไร้สีไร้กลิ่นในอากาศและลอยเข้าจมูกไป
สองพี่น้องตระกูลเค่อมัวแต่เฝ้าระวังภัยจากรอบข้างท่ามกลางยามวิกาล โดยหารู้ไม่ว่าคนในกลับอันตรายยิ่งกว่า จู่ๆเปลือกของทั้งคู่พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนรางจางอ่อนลง ก่อนจะเอนแผ่นหลังพิงพักกับบริเวณลำต้นแถวนั้นและผล็อยหลับไปโดยมิทันรู้ตัว อีกทั้งเสียงกรนเล็กน้อยคล้อยจังหวะเสถียรสงบนิ่ง
เจอผงนิทราล้มช้างเข้าไป ได้หลับกันเป็นตายยันสว่าง!
เซียถงปลุกโม่ซวนขึ้นมาเพียงคนเดียวด้วยโอสถถอนพิษ
“นายหญิง ท่าน…”
โม่ซวนรู้สึกตื่นตระหนักยิ่งยวด ทันทีที่กวาดสายตาแช่มมองรอบข้าง พลางเห็นว่าคนอื่นๆล้วนแต่หลับเป็นตาย
“เจ้าคอยอยู่นี่แหละ ฝากดูแลชิงเยวี่ยด้วย”
เซียถงจำเป็นต้องกำชับสั่งการให้โม่ซวนคอยดูแลชิงเยวี่ย นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ถึงแม้จะทำโม่ซวนรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนอยู่บ้างก็ตามที
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ โม่ซวนรู้สึกหดหู่เกินบรรยายเมื่อได้ฟังคำสั่งดังนั้น ทั้งที่นายท่านกำชับกล่าวย้ำกับตนแล้วแท้ๆว่า ให้คอยเฝ้าระวังชิงเยวี่ยให้ดี ห้ามมิให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้นายหญิงโดยเด็ดขาด แต่แล้วตอนนี้เป็นเยี่ยงไร? ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เขาต้องกลายมาเป็นองครักษ์พิทักษ์ชิงเยวี่ยไปอย่างหน้าตาเฉยเลย!
เขาต้องการติดตามและเฝ้าปกป้องเซียถงมากกว่า เพราะนี่ถือเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติจากนายท่านโดยตรง… แต่ในขณะที่กำลังบ่นกับตนเองอยู่นั่น โม่ซวนก็พลันสังเกตเห็นกระแสลมปราณสีม่วงบริสุทธิ์ขุมหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเซียถง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทุกอย่างในทันที เนื่องด้วยความแข็งแกร่งเกินต้านทานของสองพี่น้องตระกูลเค่อ และทั้งคู่ก็ยังร่วมเดินทางติดตามอยู่ไม่ห่าง ทำให้เซียถงไม่มีเวลาว่างฝึกปรือตัวเองเลย
“เข้าใจแล้วขอรับ ระวังตัวด้วยนายหญิง!”
เซียถงพยักหน้าและหยิบกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นจากพื้น วางพาดไว้บนไหล่ของตนอย่างสบายๆ ส่วนมืออีกข้างก็ถือคบเพลิงและเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของหุบเหวเทียมฟ้า
ระหว่างทางหลิวซูจำแลงกายเป็นร่างมนุษย์ร่วมเดินทางอยู่เคียงข้างเซียถง สะบัดปอยผมสลวยยาวสีเงินไปทีหนึ่ง ส่วนเสี่ยวฮั่วเองก็เปล่งแสงลอยออกมาจากหว่างคิ้วเซียถงเช่นกัน ดวงไฟสีม่วงลุกโชนสว่างไสวบินล่วงหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อสำรวจเส้นทาง
หลังจากเดินสำรวจไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม เสี่ยวฮั่วที่บินล่วงหน้าออกไปสำรวจเส้นทางก็รีบทะยานกลับมาโดยไว กล่าวกับเซียถงและหลิวซูด้วยสีหน้าร้อนรนว่า
“มีฝูงค้างคาวอยู่เบื้องหน้า!”
หลิวซูมองค้อนใส่เสี่ยวฮั่วไปทีหนึ่ง หากจำไม่ผิด มันเคยครหาตำหนิข้าว่าเป็นพวกขี้ขลาด แล้วตัวมันตอนนี้ล่ะ?
“ก็แค่ฝูงค้างคาวหรือไม่? เรื่องแค่นี้ก็ยังกลัวน่าอับอายโดยแท้!”
หลิวซูยังกล่าวอีกว่า
“หากกลัวนักก็รีบมุดหัวกลับไปซะ! เดี๋ยวข้าไปดูเอง!”
สิ้นเสียงเท่านั้น มันสะบัดแขนเสื้อสีแดงเพลิง ตบเท้าพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้าทันที
“นี่เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่?”
เสียงหัวเราะคิกคักกับตัวเองอย่างลับๆ และกล่าวว่า
“นายท่าน สิ่งที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริง หากจะผิดก็ผิดที่หลิวซูฟังความไม่จบ ด้วยความหยิ่งยโสทะนงตนของมัน ข้าเองก็อยากทราบ! จะวิ่งหนีกลับมาอีท่าไหน!”
แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวฮั่วจะกล่าวจบดี จู่ๆทั้งคู่ก็เห็นหลิวซูที่เปลี่ยนร่างเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าสับตีนแตกวิ่งเตลิดกลับมาโดยไว จินตนาการได้เลยว่า มันต้องรู้สึกหน้าแตกปานใด
“เบื้องหน้ามีอะไรอยู่กันแน่?”
“คะ-ค้างคาวจิตมาร!”
ได้ยินดังนั้นเซียถงขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่อาจเป็นสัตว์อสูรสักชนิดที่มีทักษะความสามารถแกร่งกล้า?
“นายท่าน! พวกมันคือค้างคาวจิตมาร ถึงจะเป็นเพียงสัตว์อสูรปราณวิญญาณ แต่ด้วยจำนวนอันมหาศาลของพวกมัน เกรงว่ายากเกินกว่าจะจัดการลงได้!”
เซียถงคว้ากระบี่ทัณฑ์ฟ้ากระชับจับไว้แน่น บนฝ่ามืออีกข้างปรากฏเปลวเพลิงสีทองอร่ามนับไม่ถ้วนสุมทรวงปะทุเดือดขึ้นบนมา แต่เดิมเพลิงพิภพเก้าดุษณี หากไม่นับในเรื่องหลอมกลั่นโอสถ มันก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฟวิเศษที่มีฤทธิ์เผาผลาญสรรพสิ่งที่รุนแรงเกินจินตนาการ
เสี้ยวอึดใจนี้ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจู่ๆเซียถงจะหยิบใช้เพลิงพิภพเก้าดุษณีออกมา เสี่ยวฮั่วถึงกับร้องอุทานขึ้นคำหนึ่งว่า
“นายท่าน! ท่านฉลาดมาก!”
“พูดอะไรอยู่ได้! พวกค้างคาวจิตมารกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว!!”
หลิวซูในร่างกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเปล่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง บนฟากฟ้าผืนนภา ช่วงเวลาที่ควรจะเป็นรอยต่อระหว่างรุ่งสางและยามเช้าตรู่กลับถูกชั้นหนาเมฆสีดำทมิฬเคลื่อนเข้าปิดกั้น ทำให้เบื้องหน้าปฐพีตกสู่ความมืดมิดอีกครั้ง!
เซียถงทอดสายตามองออกไป จากระยะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก แลเห็นว่ากำลังมีฝูงค้างคาวจิตมารนับหลายหมื่นตนกำลังพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง หากมีใครสักคนยืนขวางอยู่แถวนั้น เจอฝูงค้างคาวเหล่านี้บินผ่านเข้าโฉบเฉี่ยวสักเสี้ยวอึดใจ มีหวังเหลือแค่โครงกระดูกแน่นอน!
“วิ่ง! รีบวิ่งเดี๋ยวนี้เลย!!”
หลิวซูที่เห็นว่าทั้งเซียถงและเสี่ยวฮั่วยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ก็สบถด่าขึ้นอีกคำว่า
“มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ได้! รีบหนีได้แล้ว! ข้ายังไม่อยากตายทั้งที่เป็นโสดอยู่เช่นนี้!!”
พินิจจากคำพูดคำจาที่หลิวซูโวยวายออกมาแล้ว ดูท่ามันกำลังขวัญเสียหนักจริงๆ
เซียถงยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ หลิวซูขมวดคิ้วแน่นอย่างสุดจะทน จึงพยายามใช้ร่างกระบี่ทัณฑ์ฟ้าของมันลากนางออกไป!
อย่างไรเสีย ในเวลานี้เอง จู่ๆก็มีตราผนึกแสงสีครามปริศนาพร่างพรายพุ่งออกมา ณ ใจกลางหว่างคิ้วของนางในทันใด
“นายท่าน ผสานอินสร้างวงแหวนขึ้นมาเร็วเข้า!”
เสี่ยวฮั่วแผดเสียงตะโกนลั่น
เซียถงเร่งประกอบท่ามือสอดผสานกันอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเบื้องหน้าของนางก็ปรากฏเป็นตราผนึกวงแหวนสีครามส่องสว่างเจิดจ้า อย่างไร ลวดลายของตราผนึกในคราวนี้กลับหาใช่แบบเดียวกับตอนที่นางจะผนึกสัตว์อสูร แต่ดูคล้ายโล่พลังที่แข็งแกร่งตั้งเป็นปราการป้องกันอยู่ตรงหน้า และทันทีที่ตราผนึกโล่วงนี้เปล่งแสงเฉิดฉายออกมา ก็ทำเอาหลิวซูตาถลึงเบิกกว้างขึ้นทันใด
“เกราะแสงวิญญาณ?!”
ณ ชั่วจังหวะเดียวกัน ฝูงค้างคาวนับลายหมื่นก็ทะลักถาโถมเข้าใส่อย่างท่วมท้น ส่งเสียงดังหึ่งพุ่งโจมตีเข้าใส่เซียถงโดยพร้อมเพรียงประดุจห่าคันศรนับไม่ถ้วน!
แลเห็นว่าฝูงค้างคาวเหล่านั้นกำลังเข้าจู่โจมเต็มกระบวน เซียถงยิ่งเร่งเร้ากระแสลมปราณระลอกใหญ่เข้าอัดฉีดลงในตราผนึกแสงสีครามคล้ายโล่ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง หวังจะให้เจ้าสิ่งนี้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะต้านรับการโจมตีของพวกมันได้ไหว
ฝูงค้างคาวได้กลิ่นพลังชีวิตอันทรงพลังควบแน่นอยู่ในร่างเซียถง พวกมันยิ่งรู้สึกกระหายเลือดเป็นเท่าทวี รีบแยกเขี้ยวแหลมคมฉีกกว้างหวังจะสูบเลือดสูบเนื้อกันให้หมดตัว พุ่งเข้าโจมตีใส่นางอย่างเกรี้ยวกราด
เพียงเสี้ยวอึดใจนี้เท่านั้น ด้วยกระแสลมปราณเข้มข้นของเซียถงที่ทะลักล้นเข้าเติมเต็มระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดตราผนึกเกราะวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้าก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นเกราะแสงป้องกันที่สมบูรณ์แบบ และทันทีที่ฝูงค้างคาวเหล่านั้นสัมผัสกับรัศมีแสงเจิดจรัส ก็แปรสภาพพวกมันเหลือเพียงฝุ่นผงในพริบตา เสียงกระทบดังซ่าอึกถึกต่อเนื่องไปทั่วผืนป่าเขา
อาศัยเพียงตราผนึกเกราะวิญญาณขนาดพอดีคนที่ก่อตัวสร้างขึ้นมา ก็มากเพียงพอแล้วที่จะล้างบางค้างคาวจิตมารฝูงนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เศษซากศพนับไม่ถ้วนของพวกมันกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น ภายใต้ฝ่าเท้าของเซียถงยืนอยู่บนกองศพของพวกมันทั้งหลายหลาก
เซียถงมุ่งสายตาจับจ้องตราผนึกแสงสีครามที่ยังเปล่งสว่างอยู่บนฝ่ามือสองข้าง ปั้นสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ร้องอุทานขึ้นพลางว่า
“นี่คืออะไรกัน?”