ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 459 เกราะแสงวิญญาณ (1)
ตอนที่459 เกราะแสงวิญญาณ (1)
ตอนที่459 เกราะแสงวิญญาณ (1)
เซียถงสะดุดสายตามองไปที่ตราผนึกแสงสีครามวงจางๆที่เหลืออยู่บนมือ สีหน้าดูฉงนงุนงงอยู่หนึ่งส่วน อย่าได้ประมาทเชียวว่า เจ้านี่เป็นเพียงวงแสงสีครามเลือนราง แต่ความจริงแล้ว กลับทรงพลังแกร่งกร้าวเกินคาดคิด!
“เมื่อครู่มัน…เกิดอะไรขึ้น?”
ชั่วพริบตาขณะนั้น นางสามารถหลอมสร้างตราผนึกที่เป็นเกราะป้องกันมาใช้ได้ แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก และยังมากซะจนนางไม่เข้าใจเลยว่า ตนเองทำเช่นนั้นได้อย่างไร!
เสี่ยวฮั่วยังไม่ทันปริปากได้อธิบายใดๆ แต่หลิวซูก็รีบจำแลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์ จับมือเซียถงและพาวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นมันยังหันมายิ้มกล่าวว่า
“สุดยอดไปเลย! นี่หาใช่สิ่งที่ผู้มีพลังขอบเขตราชันย์ม่วงจะสามารถทำได้! แล้วเจ้าทำได้ยังไงกัน!?”
เสี่ยวฮั่วได้ฟังดังนั้นก็ปั้นสีหน้าบึ้งบูดไม่พอใจ ในชั่วพริบตานั้น หาใช่ตัวมันหรอกรึที่มีไหวพริบตอบสนองต่อตราผนึกแสงสีครามทันทีที่เห็น และบอกให้เซียถงรีบประสานอินสร้างตราผนึกขึ้นมา? แล้วไฉนเจ้าขี้ขลาดหลิวซูถึงมาแย่งความดีความชอบของมัน และชิงอธิบายเองไปเสียหมด?
ทว่าใครจะไปรู้ หลิวซูกลับข้ามหน้าข้ามตา หาได้สนใจเสี่ยวฮั่วเลยแม้สักนิด ด้วยความตื่นอกตื่นเต้นที่เผยแสดงผ่านใบหน้า ดวงตาของมันเบิกโตราวกับอยากจะกลืนกินเซียถงทั้งเป็น
“เจ้าสามารถสร้างเกราะแสงวิญญาณได้แล้ว! ยอดเยี่ยมโดยแม้! ต่อจากนี้ไป คงถึงเวลาเจ้าฉายแสงแล้ว! ลองสร้างมันเมื่อครู่ดูอีกครั้งสิ แล้วระดมพลังลมปราณทั้งหมดอัดฉีดเข้ามาในตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้า หากทำได้ ตัวข้าในเวลานั้นจะยิ่งแกร่งกล้าขึ้นเป็นทวี!”
ก่อนที่เซียถงจะได้เอ่ยปากตอบอะไรใดๆ เสี่ยวฮั่วก็กระโดดโหย่งขึ้นมาขวาง เร่งกล่าวแทรกขัดจังหวะขึ้นทันใดว่า
“นายท่าน อย่าเชื่อมัน! มันเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากพลังลมปราณของท่านเพื่อฟื้นพลังที่สูญเสียไปของตัวเองเท่านั้น!”
“เจ้าเสี่ยวฮั่ว! พูดแทรกคนอื่นไร้มารยาทสิ้นดี! หากกล้าแหกปากขึ้นมาอีกรอบ ข้าจะทุบเจ้าให้ตาย! อยากลองดูไหม!?”
โดนแฉความตั้งใจจริงกันซึ่งหน้าปานนี้ หลิวซูเดือดดาลหนัก ตะโกนขึ้นด่าทอต่ออีกว่า
“เจ้าจะไปรู้อะไร! หากข้าฟื้นพลังขึ้นมาได้จริงๆ ย่อมกลายเป็นกำลังสำคัญให้นายท่านได้! หาใช่ลูกไฟดวงจิ๊บจ๋อยแถวนี้ที่มีดีแต่ลอยเคว้งไปวันๆ!”
นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่หลิวซูหลุดปากเรียกเซียถงว่า นายท่าน
“ฮ่าฮ่า!”
เสี่ยวฮั่วระเบิดหัวเราะเยาะลั่น
“หากเจ้าฟื้นพลังขึ้นมาได้จริง หาใช่ว่าจะฆ่านายท่านเพื่อให้ตนเป็นอิสระ?”
“ฆ่าบ้าอะไร! ข้านี่แหละจะฆ่าเจ้า! เจ้านายของข้าก็ไม่ใช่ แถมยังปากดีอีก!”
เซียถงเห็นแบบนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าน่ะ! เป็นพวกหน้าซื่อใจคต! มีเจตนาคิดร้ายกับนายท่าน!”
“ข้าน่ะรึ? แน่ใจรึว่าเป็นข้า?”
หลิวซูจำแลงกายเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าพุ่งเข้าใส่ดวงไฟสีม่วงดวงนั้นของเสี่ยวฮั่วทันที ระหว่างนั้นมันก็ยังกล่าวต่ออีกว่า
“ใครกันแน่ที่มีเจตนาคิดร้ายกับนายท่านตัวเอง?! หาใช่เจ้ารึที่จงใจสิงสู่อยู่ในร่างของนายท่าน หวังคิดที่จะยึดกายเนื้อมาครอบครอง! หากมิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะบอกให้นายท่านมุ่งหน้าไปยังหุบเขาคุนหลุนเพื่ออันใด!? ที่แห่งนั้นอาจมีพรรค์พวกของเจ้าหลบซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะดูยังไงก็หาใช่เรื่องดีแน่นอน! อย่าคิดว่าหลอกนายท่านได้แล้ว จะหลอกข้าได้ด้วยเช่นกัน!!”
“อย่ามาใส่ร้ายข้า!”
“หากมิได้ใส่ร้ายแล้ว ยังเรียกอื่นใดได้? หากให้เดา ไอ้สิ่งที่เรียกว่า บัญชาสี่พิภพ คงจะเป็นตราบัญชาเทพที่สูญสิ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วตั้งแต่อดีต! ส่วนกิเลนศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นที่คอยพิทักษ์ปกป้องอยู่ ดีไม่ดีอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวเจ้าเสียด้วยซ้ำ! อย่าแสร้งทำมาเป็นความจำเสื่อมเลย! เจ้ามีแผนการอะไรกันแน่? คิดจะช่วงชิงกายเนื้อของนายท่านโดยอาศัยความช่วยเหลือจากสัตว์อสูรหุบเขาคุนหลุน? ไม่ว่าเจ้าจะพยายามซ่อนอย่างไร ก็ไม่มีทางหลบพ้นสายตาของข้า อย่าคิดว่าข้าไม่ได้กลิ่น! กลิ่นอสูรบรรพกาลของเจ้า!”
เซียถงยังไม่ทันทราบเลยด้วยซ้ำว่า ตกลงเจ้าตราผนึกแสงสีครามบนฝ่ามือคืออะไรกันแน่ แต่ชั่วอึดใจจ่อมา เสี่ยวฮั่วกับหลิวซูก็เริ่มตีกันแล้ว!
เสี่ยวฮั่วพยายามจะเถียงตอบเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาทันที แต่ชั่วขณะหนึ่ง มันกลับชะงักไปราวกับว่ากำลังรู้สึกผิดในอะไรบางอย่าง
เซียถงเห็นดังนั้นพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เคยสงสัยในตัวเสี่ยวฮั่วมาก่อนเลยตลอดจนตอนนี้เองก็เช่นกัน แต่นางกลับรู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย เวลาที่มีใครสักคนทำตัวลับๆล่อๆราวกับกำลังมีความลับที่ต้องการปิดบัง
สัมผัสได้ถึงร่องรอยความไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักผ่านสีหน้าของเซียถง เสี่ยวฮั่วที่กำลังพัลวันกับหลิวซูอยู่ก็รีบลอยมาหาทันที และกล่าวขึ้นว่า
“นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าต้องการปิดบังโกหกอะไรท่านเลย! แต่ข้ากลับไม่รู้จริงๆว่า ทำไมทุกครั้งที่ได้ยินชื่อหุบเขาคุนหลุน ถึงจะต้องใจสั่นถึงปานนี้ด้วย ราวกับสัญชาตญาณภายในตัวข้ากำลังบอกว่า มันต้องการไปที่นั่น สถานที่แห่งนั้นมัน…มันสำคัญต่อข้ามากจริงๆ”
หลิวซูคล้ายจะสัมผัสได้ถึงสายตาคู่เย็นยะเยือกของเซียถงที่สาดมองเข้าใส่ มันเข้าใจทันทีว่า ตัวนางในเวลานี้เชื่อฝ่ายใดมากกว่ากัน แลเห็นสถานการณ์ชักจะท่าไม่ดีแล้ว มันก็รีบบินเข้ามาประจบสอพอทั้งนางและเสี่ยวฮั่วโดยไว ทำตัวเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีพลิกจากร้ายเป็นดี มันยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“แหม! แหม! นายท่านสุดสวย แล้วก็ท่านพี่เสี่ยวฮั่วของข้า เมื่อครู่เพียงเล่นละครทดสอบจิตใจกันก็เท่าไหร่ มีหรือที่คิดสงสัยคนใกล้ชิดสนิทกันปานนี้ได้ลงคอ? แค่ล้อเล่นเท่านั้น! แค่ล้อเล่นเท่านั้น! ฮ่าฮ่า!”
เซียถงยังคงมุ่งมองหลิวซูตาเขม็งอย่างเย็นชา ว่าแล้วจะต้องเป็นเช่นนี้!
เพราะตั้งแต่ที่นางอยู่กับเสี่ยวฮั่วมา เจ้าดวงวิญญาณน้อยตนนี้มักจะช่วยชีวิตนางจากภัยอันตรายหลายต่อหลายครั้ง กล่าวได้ว่า หากมิใช่เพราะมัน ปานนี้นางคงตายไปนานแล้ว สรุปได้ว่า นางย่อมเชื่อใจเสี่ยวฮั่วมากกว่าโดยธรรมชาติ และสำหรับเจ้าหลิวซู เจ้านี่พูดจาไหลลื่นไปทั่ว เปลี่ยนสีได้ตามสถานการณ์!
เซียถงหาได้ติดใจเอาความหลิวซูเรื่องที่ไปกล่าวหาเสี่ยวฮั่วใดๆ และก็ยังสืบสาวถามต่อจากก่อนหน้าอีกว่า ตกลงแล้วเกราะแสงวิญญาณคืออะไร?
เมื่อเห็นเซียถงไม่โกรธมันแล้ว หลิวซูก็รีบประจบเอาใจโดยไวและกล่าวอธิบายให้ฟังทันทีว่า
“เกราะแสงวิญญาณ เป็นจุดเด่นที่มีเฉพาะยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าเท่านั้นที่ทำได้ มันคือการหลอมผสานพลังลมปราณจนควบแน่นกลายเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้นมา ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างจากเกราะลมปราณทั่วไปที่ใครๆก็สามารถทำได้ ทั้งในแง่ความทนทานและความแข็งแกร่ง กล่าวได้ว่าแตกต่างราวกับฟ้ากับเหว! ส่วนที่ท่านสำแดงใช้เมื่อครู่เป็นรูปแบบเกราะป้องกันชนิดหนึ่ง และเนื่องด้วยเกราะเมื่อครู่มันถูกสร้างขึ้นจากกระแสลมปราณเข้มข้นสูง จึงทำให้มันมีพลังการทำลายล้างสูงขึ้นไปด้วย”
“อ่อแล้วก็ ท่านยังสามารถประยุกต์ใช้งานได้อีกหลายรูปแบบ หลอมผสานลมปราณขึ้นรูปเป็นอาวุธชนิดๆต่างก็ย่อมได้ หรือนำมาฉาบเคลือบอาวุธที่มีอยู่เพื่อเสริมพลังความแข็งแกร่งได้ตามใจนึก!”
หลิวซูชี้ไปที่ซากศพของเหล่าค้างคาวจิตมารบนพื้น บางตัวสภาพยังดีเหลือเศษอวัยวะอยู่บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ล้วนแต่สลายเป็นผุยผง มันกล่าวอธิบายต่ออีกว่า
“ดูสภาพศพของพวกมัน ทั้งหมดต่างโดนพลังลมปราณกระแสเข้มข้นของท่านเผาผลาญไม่เหลือซาก เวลาเจอศัตรูที่มีจำนวนมากๆ เห็นได้ชัดว่า การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การรับมือ โดยการใช้โล่พลังเช่นนี้ดูจะประหยัดแรงกว่าโข ลองนึกดูสิว่า หากเมื่อครู่ท่านเปลี่ยนไปใช้กระบี่ ต้องยุ่งยากขนาดไหนกว่าจะกำขจัดจนหมดจนสิ้น?”
เซียถงได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ปรากฏว่า ‘เกราะแสงวิญญาณ’ นับเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งที่เกิดการควบแน่นของกระแสลมปราณเข้มข้นจำนวนมหาศาล จนเกิดเป็นรูปธรรมจับต้องได้ขึ้นมา และยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างของมันเพื่อประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างได้ตามใจนึก และการจะสำแดงใช้เกราะแสงวิญญาณได้จำต้องเป็นยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าเท่านั้น
ส่วนที่ว่าทำไมนางถึงสามารถใช้ได้ เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนา
สังเกตเห็นนัยน์ตาคู่นั้นของเซียถงที่ดูกระจ่างชัดแจ้งขึ้นทันควัน หลิวซูตระหนักได้ทันทีว่า นางเข้าใจหมดแล้ว
“เพียงว่า จุดอ่อนข้อใหญ่หลวงของเกราะแสงวิญญาณก็คือ หากตัวอาวุธลมปราณรูปธรรมเกิดการเสียหายขึ้นมา ท่านในฐานะเจ้าของจะได้รับบาดเจ็บสาหัสตามไปด้วยเช่นกัน”
“สรุปโดยง่ายคือ สำหรับบางคนที่มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญตบะอย่างแท้จริง เฉกเช่นท่าน ก็อาจสามารถสำแดงใช้เกราะแสงวิญญาณได้ตั้งแต่ที่อยู่ในขอบเขตราชันย์ม่วงแล้ว แต่โดยส่วนใหญ่นั้น ควรจะบรรลุขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าขึ้นไปเสียก่อนค่อยใช้มันเป็นดีที่สุด”
หลิวซูกล่าวอธิบายเบ็ดเสร็จครบถ้วน