ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 460 เกราะแสงวิญญาณ (2)
ตอนที่460 เกราะแสงวิญญาณ (2)
ตอนที่460 เกราะแสงวิญญาณ (2)
เซียถงพยักหน้าตอบเบาๆ
เวลาเดียวกัน เสี่ยวฮั่วก็ปริปากขึ้นแทรกแก้ความที่ผิดเพี้ยน
“นายท่าน อย่าไปฟังมันพูดจนเกินไป! เหตุผลสำคัญที่ท่านสามารถสำแดงใช้เกราะแสงวิญญาณได้ก็เพราะวรยุทธ์ต่อสู้ที่ฝึกปรือ! นี่จึงสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมจึงมีเพียงยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าเท่านั้นถึงสามารถใช้ได้ เพราะคนที่ฟันฝ่ามาถึงจุดนี้ ล้วนแต่มีวรยุทธ์ที่คิดค้นขึ้นมาเองทั้งนั้น ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบเท่าคัมภีร์วรยุทธ์ลับในยุคกาลอดีตที่สูญหายไปโดยสิ้นแล้ว แต่ก็จับทางการเทียนเชิญและเรียบเรียงพลังลมปราณได้อย่างเป็นระเบียบขั้นตอน จนหลอมผสานก่อขึ้นเป็นเกราะแสงวิญญาณขึ้นได้”
เสี่ยวฮั่วหยุดพักครึ่งจังหวะและอธิบายต่อว่า
“ตัวท่านในตอนนี้ยังใช้เกราะแสงวิญญาณได้เพียงรูปแบบเดียว มิสามารถประยุกต์ใช้ได้ตามใจนึก เหตุเพราะแก่นหลังที่เชื่อมต่อท่านกับพลังลมปราณยังไม่มั่นคงพอ หากต้องการพัฒนาให้เกราะแสงวิญญาณสมบูรณ์แบบ ก็ต้องศึกษาวรยุทธ์ต่อสู้ในระดับที่ลึกซึ้งกว่านี้ ข้ารับประกันได้เลย ขอเพียงบรรลุคัมภีร์วรยุทธ์ลับที่ท่านมีอยู่ไปถึงขั้นสูงสุดได้ ต่อให้ระดับลมปราณยังอยู่ในขอบเขตราชันย์ม่วง ท่านก็สามารถเหินหาวบินบนฟ้าได้!”
ได้ฟังเสี่ยวฮั่วอธิบายเพิ่มเสริมขึ้นมา เซียถงยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนนางถึงสามารถสำแดงใช้เกราะแสงลมปราณได้ทั้งที่ระดับลมปราณยังไม่บรรลุเงื่อนไข เสี่ยวฮั่วกล่าวถูกต้องแล้ว หลังจากนี้นางจำเป็นจะต้องเวลากับการศึกษาคัมภีร์วรยุทธ์ลับให้ลึกซึ้งกว่านี้!
เวลานี้ ท้องนภาเริ่มสว่างขึ้นบ้างเล็กน้อย ยังมีเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วยามก่อนรุ่งอรุณจะมาถึง อาศัยโอกาสนี้ นางจะต้องฝึกปรือให้หนัก
เซียถงเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง เข้าสู่ส่วนลึกสุดของหุบเหวเทียมฟ้า ประดุจศรธนูถูกยิงสุดแรง ด้วยขุมพลังขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นกลาง นางพุ่งทะยานเดินขึ้นหน้าออกไปดุจดั่งฟ้าลั่นอสนีบาต แต่ระหว่างนั้นเอง กลับมีกิเลนตนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด กำลังเฝ้าจับจ้องอยู่ไม่ไกลนัก
พริบตาขณะ นางสามารถจับสัมผัสผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว จึงเรียกกระบี่ทัณฑ์ขึ้นมือโดยไว พลิกร่างกระโดดขึ้นย่างเหยียบบนหินผาก้อนสูงใหญ่ กวาดสายตาคู่เย็นยะเยือกร่ายมองทั่วสารทิศ จนท้ายที่สุดก็หยุดลงที่กิเลนตนนั้น
“หลิวซู เจ้าบอกเองใช่หรือไม่ว่า ข้าสามารถใช้เกราะแสงวิญญาณผนึกเข้ากับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าได้?”
หลิวซูได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง เพราะก่อนหน้าตอนที่มันพยายามจะอธิบายเรื่องในส่วนนี้ให้ฟัง ก็ดันถูกเสี่ยวฮั่วเข้าขัดจังหวะจนทะเลาะกันใหญ่โต ทว่าใครจะไปคาดคิด เซียถงในตอนนี้กลับเอ่ยปากถามถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หลิวซูรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่เบา เพราะสิ่งที่เสี่ยวฮั่วกล่าวออกไป ณ ตอนนั้นล้วนถูกต้องไม่มีส่วนใดผิด หากนางผสานเกราะแสงวิญญาณลงในกระบี่ ทุกครั้งที่นางสำแดงใช้ท่านี้ พลังลมปราณเข้มข้นส่วนหนึ่งจะตกค้างอยู่ในร่างของหลิวซู และเมื่อเกิดการสั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะฟื้นคืนพลังกลับมาจนสามารถทำลายตราผนึกที่เคยโดนในครั้นบรรพกาลได้สำเร็จจนเป็นอิสระ ถึงตอนนั้น…มันอาจเป็นอันตรายต่อนางได้!
เซียถงสัมผัสได้ถึงเสียงของตัวกระบี่ที่เคลื่อนขยับไปมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ พลางระบายยิ้มกล่าวขึ้นคำหนึ่งว่า
“ไม่ต้องกังวล หากสักวันหนึ่งเจ้าแข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายผนึกได้ ถึงวันนั้น ข้าย่อมปล่อยเจ้าเป็นอิสระแน่นอน”
ปล่อยเป็น…อิสระ?
วาจาเพียงสองคำเข้ากระทบจิตใจหลิวซูโดยตรง ก่อให้เกิดคลื่นอารมณ์ผันผวนนับไม่ถ้วนขึ้นกลางจิตใจ ปรากฏเป็นคลื่นแสงเจิดจรัสออกมาจากตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าอย่างท่วมท้น!
เซียถงมองไปยังหลิวซูในร่างกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่ปลดปล่อยพลังออกมาเต็มสูบ พร้อมพยักหน้าให้เบาๆทีหนึ่ง นางย่อมเข้าใจดี ตลอดที่ผ่านมาหลิวซูกำลังวางแผนจะฟื้นฟูพลังของกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้ให้กลับมาไร้เทียมทานดั่งกาลอดีตอีกครั้งอยู่!
กิเลนตนนั้นที่ซ่อนตัวท่ามกลางเงามืดเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่บำเพ็ญตบะมาอย่างยาวนาน กล่าวได้ว่า สัตว์อสูรที่สามารถบรรลุได้ถึงระดับชั้นนี้มีอยู่น้อยมากในทวีปเทียนหลาง
และเหตุผลเพียงข้อเดียวที่กิเลนตนนี้เผยตัวออกมาอยู่ตรงนี้ ทั้งหมดก็เพราะมันรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากทันทีที่ได้กลิ่นอายเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่เล็ดลอดออกมาจากตัวเซียถง
“นายท่าน สิ่งที่มันต้องการคือเพลิงพิภพเก้าดุษณีในตัวท่าน ยิ่งไปกว่านั้นคือ กิเลนตนนี้เป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ สัตว์อสูรธาตุไฟที่ใช้เพลิงพ่นออกมาจากปากเป็นอาวุธ! โปรดระวังตัวด้วย!”
เสี่ยวฮั่วรีบเอ่ยเตือนเซียถงโดยเร็ว
เพลิงพิภพเก้าดุษณีเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่าโดยแท้ ไม่เพียงมนุษน์เท่านั้นที่ปรารถนาครอบครอง กระทั่งสัตว์อสูรเองยังถวิลต้องการเป็นเจ้าของ!
“ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันจะมีปัญญาเอาไปได้หรือไม่!”
ตัดจบวาจาหนึ่ง เซียถงเป็นฝ่ายเปิดฉากบุกโจมตีใส่กิเลนตนนั้น ฟันฟาดกระบี่ทัณฑ์ฟ้าสร้างคลื่นทำลายล้างออกไปโดยตรง
กิเลนตนนั้นย่อมทราบดี อานุภาพของกระบี่ทัณฑ์ฟ้ามันทรงพลังปานใด มันเร่งเบี่ยงลำตัวเลี่ยงหลบการโจมตี พร้อมสะบัดหางยาวสวนตอบโดยไว มุ่งเข้าปะทะชนกับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าอันแสนเกรี้ยวกราด
ในขณะที่ปลายหางกิเลนจวนจะแตะสัมผัสกับกระบี่เล่มยาวเบื้องหน้า มันลอบเหลียวศีรษะหันเข้าใส่จุดบอดของเซียถงและอ้าปากพ่นเพลิงใส่โดยตรง
การโจมตีเมื่อครู่เป็นเพียงกระบวนท่าหลอก เพื่อเสาะหาจุดบอดของศัตรูและโจมตีด้วยเพลิงอันทรงพลัง!
เล่นเปลวเพลิงทะลุจ่อเข้าชิดใกล้ระยะเผาขน หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ทัน!
แต่ตรงกันข้ามกับเซียถง นางสังเกตเห็นท่าเท้าที่ผิดแปลกของมันตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว จึงพอคำนวณได้ว่า กิเลนตนนี้จะต้องพ่นเพลิงโจมตีเข้าใส่หาใช่ตวัดหางใส่ และแน่นอน นางลอบระดมเพลิงพิภพเก้าดุษณีรอต้านรับเอาไว้อยู่แล้ว อัดพลังฝ่ามือตบเข้าใส่ ระเบิดออกไปพร้อมกับเพลิงพิภพเก้าดุษณีกลายเป็นท่าผสานมือผสานเพลิงใส่กิเลนตรงหน้า สองคลื่นพลังเพลิงปะทะหักล้างกันกลางอากาศ
เมื่อเห็นเซียถงหยิบใช้วิธีเหล่านี้เพื่อสัประยุทธ์ต่อกร เสี่ยวฮั่วก็ถึงกับเหงื่อเย็นแตกพลั่ก นางแข็งแกร่งมากจริงๆ!
พึงทราบ กิเลนตนนี้เป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์มีเพียงเทียบชั้นกับขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าชั้นต้นของมนุษย์ แม้แต่สองพี่น้องตระกูลเค่อที่มีพลังอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้นยังไม่กล้าจะต่อกรสัประยุทธ์โดยตรงได้!
ทว่าเซียถงที่อาศัยพึ่งพาเพลิงพิภพเก้าดุษณี ผสานเข้ากับขุมพลังขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นกลางและวรยุทธ์ลับที่ฝึกปรือ ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็ยังใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ดีเลิศเข้าพลิกแพลงตามสถานการณ์ได้อย่างลงตัว!
ภายใต้แรงส่งเสริมจากพลังลมปราณและวรยุทธ์ต่อสู้ที่สำแดงเดชออกมาพร้อมกัน มันช่วยผลักดันให้กระบวนฝ่ามือเพลิงพิภพเก้าดุษณีนี้ปลดปล่อยประสิทธิภาพทำลายล้างออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงขั้นที่ทำให้สามารถเขย่าขวัญกิเลนให้เปลี่ยนเป็นตั้งรับได้ในเวลาต่อมา
เวลาผ่านไป ยิ่งต่อสู้สัประยุทธ์กันนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่ากิเลนตนนั้นก็จะยิ่งเสียเปรียบท่ามกลางกลุ่มเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่เข้าห้อมล้อม ในเวลานี้เซียถงใช้กลยุทธ์ตีล้อมให้มันอยู่ในวงเพลิง และกำลังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามเลยทีเดียว ในห้วงอากาศเริ่มได้กลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวล สีขนของกิเลนตนนั้นค่อยๆถูกเปลวเพลิงสีทองอร่ามเลียจนเริ่มดำเกรียม ท่ามกลางสภาพอุณหภูมิโดยรอบที่แปรเปลี่ยนฉับพลัน อากาศหายใจในวงเพลิงสีทองอร่ามล้วนถูกเผาผลาญจนเบาบางลงมาก ส่งผลให้กิเลนตนนั้นสติค่อยๆเลือนราง อัตราการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเริ่มช้าลงและช้าลง
เซียถงอาศัยจังหวะนี้บีบวงเพลิงสีทองอร่ามเบื้องหน้าให้หดแคบลง เพื่อลดพื้นที่การเคลื่อนไหวของมัน
ท้ายที่สุดนี้ กิเลนไม่เหลือพื้นที่ให้ถอยหลังหลบหนีไปไหนได้อีก มิว่าจะเหลียวมองไปทางไหนก็ชนเข้ากับกำแพงเพลิงสีทองอร่ามร้อนแรงที่พร้อมแผดผลาญมันได้ทุกเมื่อ เซียถงเล็งเห็นโอกาสพิฆาตชีวามันมาถึง ก็โยนกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นสูงเหนือหัว ชั่วพริบตาต่อมา คมกระบี่ปลายแหลมก็ดิ่งพสุธาลงมา เป้าหมายก็คือกิเลนท่ามกลางเปลวเพลิงตนนั้น!