ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 461 โอสถสิบเม็ด (1)
ตอนที่461 โอสถสิบเม็ด (1)
ตอนที่461 โอสถสิบเม็ด (1)
พริบตานั้นเซียถงกระโจนขึ้นสมทบจับกระบี่ทัณฑ์อัดแรงดิ่งลงมา กิเลนตนนั้นระเบิดพลังเปลวเพลิงทั้งหมดที่มีแผดล้างผลาญสารทิศ ระเบิดเปลวเพลิงปะทะหนึ่งคมกระบี่เกรี้ยวกราด ทั้งคู่ต่างถูกแรงผลักมหาศาลซัดกระเด็นดีดตัวออกไปคนละทิศละทาง
สายตาคู่นั้นของเซียถงเย็นลงขุมหนึ่ง ปรากฏว่ากิเลนตนนี้ยังมีดีอยู่บ้าง ทั้งที่นางมั่นใจว่าวงล้อมเพลิงพิภพเก้าดุษณีผสานกับหนึ่งกระบี่แผด็จศึกจะสามารถพิฆาตมันได้!
ไม่คิดไม่ฝันโดยแท้ เจ้ากิเลนตนนี้ก็ยังคิดดิ้นรนจวบจนชั่วชีวิตสุดท้าย!
กิเลนกลับลำเหลียวตัวถอยห่างเว้นระยะอยู่ช่วงหนึ่ง มันกระโดดขึ้นหน้าผากชูเขาสีเงินทั้งสี่ขึ้นตระหง่านเหนือน่านฟ้า แผดเสียงคำรามอันทรงพลังดังสนั่น กึกก้องไปทั่วฟ้าดินสารทิศแผ่นผืนป่าพฤกษา
เสียงคำรามดังสะท้อนกังวาน เหล่าวิหคสัตว์น้อยใหญ่นับไม่ถ้วนท่ามกลางป่าเขาทั้งหลายต่างตื่นตกใจรีบอบพบหนีออกห่างจากบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว
สองพี่น้องตระกูลเค่อตื่นขึ้นทันควันเพราะเสียงกู่ร้องคำรามนี้ ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันและกัน ก่อนจะตระหนักได้ว่า เซียถงหายตัวไปแล้ว จะเหลือก็เพียงโม่ซวนที่กำลังมองมาทางนี้และชิงเยวี่ยที่ยังคงหลับใหลอยู่ในภวังค์ แลเห็นสองพี่น้องคู่นั้นลืมตาตื่นฟื้นสติขึ้นมา โม่ซวนรีบกระโดดขึ้นหลังม้า หันมากล่าวทิ้งท้ายสั่นๆเพียงว่า
“องค์รัชทายาทชิงเยวี่ย วานพวกท่านดูแลต่อ ข้าขอตัวก่อน!”
โม่ซวนยังคงเป็นกังวลไม่เสื่อมคลาย ถึงแม้เซียถงจะกำชับสั่งจากปากแล้วก็ตาม ทว่าการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ที่มาจากส่วนลึกของหุบเหวมันรุนแรงเกินไปจริงๆ เช่นนี้แล้วจะให้เขามัวนิ่งนอนใจอยู่เฉยๆได้เยี่ยงไร?
เค่อฮั่วรีบเทน้ำลงบนฝ่ามือและพรมใส่หน้าชิงเยวี่ยเบาๆสองสามที
“นายท่านชิงเยวี่ย! นายท่านชิงเยวี่ย! รีบตื่นโดยเร็วเถิด!”
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น?”
ชิงเยวี่ยสะดุ้งน้ำเย็นตื่นขึ้นมาทันใด ทว่าสีหน้าการแสดงออกยามนี้ฉายแววสับสนงุนงงชัดเจน หันซ้ายแลขวาสักทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามทั้งแบบนั้นว่า
“เซียถง? เซียถงอยู่ไหน?”
ก่อนที่จะแถลงไขให้คำตอบใดๆ เค่อมู่เร่งนำม้าเข้าแยกจ่ายและทั้งสามก็ควบทะยานตามออกไป
ในอีกด้าน ขณะนี้เองกิเลนตนดังกล่าวพลาดท่าตกสู่วงล้อมเพลิงของเซียถงเป็นคำรบสอง แต่ถึงแบบนั้น มันก็ยังสู้ขาดใจอย่างสิ้นหวัง
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากตอนแรกคือ สภาพของเซียถงในปัจจุบันไม่ค่อยสวยหรูนัก เนื้อตัวของนางสั่นเทาได้สักพักหนึ่งแล้ว ทั้งยังมีรอยกรงเล็บกิเลนตะปบใส่อยู่กว่าหลายสิบจุด ซึ่งบาดแผลพวกนี้ล้วนแลกเลือดผลัดกันซัดคนละกระบวน หรือก็คือ ทั่วทั้งร่างกายของกิเลนเองก็เต็มไปด้วยรอยกระบี่ฟันเช่นกัน
ไอเย็นยะเยือกหอบใหญ่แสนน่าอัศจรรย์แผ่ออกจากกระบี่ทัณฑ์ฟ้า บนใบกระบี่ปรากฏรัศมีแสงสีครามฟ้าอ่อนๆฉาบคลุมไว้อยู่เป็นชั้นบาง ที่มาของไอเย็นยะเยือกอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ล้วนเกิดจากสิ่งนี้ทั้งสิ้น ยามนี้มันถูกปักค้างอยู่กลางแผ่นหลังของกิเลน เสียงร้องที่แผดคำรามเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ทั้งที่มีกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเสียบคาหลังแบบนั้น กิเลนเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง พุ่งกระโจนสุดตัวหวังตะปบเซียถงให้ดับดิ้น
เซียถงพยายามยกมือเรียกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้กลับเข้ามือ แต่กลับพบว่า บริเวณใบกระบี่ที่เสียบคาอยู่กลับถูกมัดกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังกิเลนรัดไว้เสียแน่น นางพยายามเรียกหาอยู่หลายครั้งหลายครา กลับไม่ประสบผลสำเร็จ เสี้ยวจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเป็นตาย ทันใดนั้นเองเสี่ยวฮั่วก็เร่งตะโกนลั่นว่า
“นายท่าน! ใช้เกราะแสงวิญญาณ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของมันดี กรงเล็บขนาดยักษ์ของกิเลนก็ทะลุจ่อถึงเบื้องหน้านางแล้ว หากโดนกระบวนโจมตีนี้มีหวังศีรษะกระเด็นหลุดจากบ่าแน่นอน!
เซียถงเร่งเร้าพลังลมปราณทั้งหมดในกายเต็มสูบ ควบผสานรีบขึ้นรูปกลายเป็นกระบี่วิญญาณเล่มหนึ่งในมือ โดยไม่รีรอใดๆทั้งสิ้น นางสะบัดมือเล็งไปที่ส่วนหัวของกิเลน
ไม่มันก็ข้าที่ต้องตาย!
และชั่วอึดใจเดียวกัน ในที่สุดกระบี่ทัณฑ์ฟ้าก็หลุดออกจากแผ่นหลังของกิเลน และเข้าหลอมรวมกับกระบี่วิญญาณสีครามฟ้าในมือเซียถงจนเป็นหนึ่ง เสริมพลานุภาพการโจมตีขึ้นทันทีหลายเท่าทวี!
เซียถงหวดคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าสะบั้นเหวี่ยงออกไปสุดกำลัง ด้วยความแรงเต็มสูบเกินควบคุมนี้เอง ก็ได้ก่อเป็นคลื่นกระแทกรุนแรง ทำเอาร่างทั้งร่างของนางปลิวซัดใส่หน้าผาแถวนั้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่อย่างไร เกลียวคลื่นกระบี่จันทร์เสี้ยวสีม่วงครามขนาดใหญ่ เข้าตัดผ่านฟ้าดินทะลุชั้นเมฆามืดครึ้มแยกผ่าเป็นสองซีก เปิดน่านฟ้ารับแสงแรกอรุณยามเช้าตรู่ วิสัยทัศน์การมองเห็นของกิเลนตนนั้นถูกตัดครึ่งเป็นแนวตั้ง ซ้ายขวาค่อยๆเคลื่อนห่างแยกออกเป็นสองฟากไม่สมาน ศีรษะของมันถูกผ่ากลางตัดออก…
กระบี่ทัณฑ์ฟ้าส่งเสียงซี่ๆดังต่อเนื่อง ประกายแสงเย็นสาดสะท้อนวูบวาบ ฉาบเคลือบธารโลหิตสีแดงฉูดฉาด เซียถงค่อยๆทรงตัวขึ้นยืนตระหง่านตั้งตรง สายลมหอบแล้วหอบเล่าชนปะทะ ชักพาปลายผมยาวสลวยประดุจน้ำหมึกงามสะบัด เสื้อผ้าแพรพรรณโบยบินพลิ้วไสว พร้อมกับฉากหลังเป็นศพกิเลนที่โดนประหัตประหารผ่าครึ่ง
สีหน้าของนางคงรักษาความเย็นชาและสงบนิ่ง เหนือศีรษะเปล่งรัศมีมืดมนดั่งมารปีศาจที่ให้ได้เห็นต่างต้องสะดุ้งเสียขวัญ! อย่างไรเสียกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แพร่งพรายออกมาจากร่างกายของนาง กลับไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าไร้เทียมทานปานใด!
เซียถงในตอนนี้ดูเหมือนกับ…จ้าวราชันย์ผู้ปกครองผืนพิภพแห่งนี้!
เมื่อสองพี่น้องตระกูลเค่อมาถึงยังต้องสดุดตากับภายฉากนี้ เบื้องหน้าเห็นเพียงเซียถงกำลังยืนตระหง่านค้ำฟ้าดิน เรือนร่างอรชรแห่งอิสตรีที่แสนเพรียวบางแต่สุดจะมั่นคงนั่น…นางผู้นี้เปรียบเสมือนมหากษัตริย์ที่เพิ่งพิชิตสามโลกาได้!
กิเลนตนนั้นปราศจากลมหายใจไปแล้ว แต่เศษเสี้ยวเพลิงพิภพเก้าดุษณีส่วนหนึ่งยังคงหลงเหลือติดอยู่ มันกำลังผลาญร่างศพอย่างเกรี้ยวกราดดุร้าย เซียถงเหลือบไปเห็นดังนั้นจึงถอดถอนเพลิงในส่วนนั้นกลับคืนมา
แต่กลิ่นไหม้ยังฟุ้งตลบในอากาศ พอเริ่มกระจายตัวอ่อนจางลงชักจะเริ่มหอมกลิ่นเนื้อย่างขึ้นทันตา
เซียถงเดินตรงเข้าไปใกล้ศพของกิเลนตนนั้น หยิบคว้าเขากิเลนสีเงินอันโดดเด่นขึ้นไว้บนมือ โดยไม่จำเป็นต้องให้เสี่ยวฮั่วปรากฏกายเผยตัวออกมาใดๆ เซียถงอาศัยพลังลมปราณระลอกหนึ่งบังคับพลังวิญญาณที่เปี่ยมล้นอยู่ในเขากิเลน ชักนำเข้ามาในร่างกายผ่านฝ่ามือที่สัมผัส ชำระขัดเกลาให้บริสุทธิ์จากเพลิงพิภพเก้าดุษณีรอบโคจรหนึ่ง ก่อนส่งไปยังห้วงความคิดของนาง
เสี่ยวฮั่วสูดดมหมอกควันพิสุทธิ์เหล่านั้นที่อบอวลในห้วงความคิดของเซียถงอย่างบ้าคลั่ง!
ชิงเยวี่ยเหม่อมองไปยังอิสตรีรูปงามนางนั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า ถึงแม้นางจะดูงามสง่าปานใด แต่เมื่อลองพินิจสัมผัสระดับพลังลมปราณ เขาถึงกับสะดุ้งเฮือกสะเทือนขวัญอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกว่ายิ่งได้รู้จักระยะห่างระหว่างเขากับนางก็ยิ่งไกลจาก ถึงแม้เซียถงจะแต่งงานออกเรือนแล้วก็จริง แต่ลึกๆในใจ ชิงเยวี่ยก็ยังหวังไว้ว่า ตนจะยังพอมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมในฐานะมิตรสหายรู้ใจ อย่างไรเสีย เขาเคยคิดแบบนั้นตลอดจนตอนนี้ ตอนที่เขาได้ตระหนักชัดแจ้งแล้วว่า ตนไม่มีทางเทียบเคียงกับหญิงสาวตรงหน้าได้เลย และไม่มีวัน…เป็นเหมือนบุรุษชายคนนั้นที่สามารถปกป้องนางได้…
พอคิดได้ดังนั้น ร่องรอยความเศร้าโศกก็คืบคลานออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
“เดินทางต่อเถอะ!”
เซียถงเหลียวศีรษะชำเลืองกลับมามอง
“ตอนนี้เช้าตรู่พอดี! ต้องรีบไปแล้ว!”
ณ เมืองเฟิงหลี่ จวนมหาเสนาบดีเซี่ย
เซี่ยหลู่เฟิงกำลังจะเดินจากกระท่อมเก็บฝืนออกมาพอดี ในขณะนี้เอง เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่กลายเป็นคนเสียสติไปแล้วถูกจำกัดบริเวณขังอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ก่อนประตูกระท่อมเก็บจะปิดลงสนิท เขาอดใจมองย้อนกลับไปหาน้องสาวตนเองมิได้ ภายในนั้นมีกรงขังขนาดกว้างกั้นไว้อยู่ เสียงทุบตีข้าวของแตกกระจายดังต่อเนื่อง ทั้งยังมาพร้อมกับสุ้มเสียงตะโกนของเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ไล่ตามมาติดๆ
“ปล่อยข้า! นังแพศยา! นังสารเลวเซียถง! เจ้า…เจ้าขโมยทุกอย่างไปจากชีวิตข้า! ขโมยทุกสิ่งอย่างไปจากชีวิตของข้า…”
v