ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 462 โอสถสิบเม็ด (2)
ตอนที่462 โอสถสิบเม็ด (2)
ตอนที่462 โอสถสิบเม็ด (2)
เซี่ยหลู่เฟิงใจตกไปยังตาตุ่ม สองมือกระชับบีบตัวแน่น ข่มตาหลับตาออกไปพร้อมความเจ็บปวดแสนระทม
สายลมแรงซัดกระโชกเข้ามากะทันหัน เม็ดฝุ่นเศษทรายตามพื้นพัดตลบขึ้นมา ท้องนภากลับตาลปัตรฝนฟ้าอาละวาดกลายเป็นวันเวลาที่มืดหม่น ประดุจดั่งจิตใจของเซี่ยหลู่เฟิงที่กำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้
สติสัมปชัญญะเหม่อลอยไปแสนไกล ยามนี้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าและอ้างว้างไร้สิ้นสุด
พริบตาต่อมา ห่าพิรุณหนักก็โถมกระหน่ำลงมา ขนาดเม็ดฝนเท่ากับเมล็ดถั่วตกกระทบพื้นเสียงเซ็งแซ่แรงต่อเนื่อง
เซี่นหลู่เฟิงรู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวแก้มด้านหนึ่งไม่หาย ลองเอื้อมมือเข้าแตะสัมผัสเบาๆ มันเป็นรอยเห่อแดงประทับห้านิ้วชัดเจน อีกทั้งรอยเล็บขีดข่วนบริเวณคอที่ค่อนข้างลึกกว่าสามสี่จุด ท่ามกลางห่าพิรุณหนักหนา ส่งผลให้บาดแผลเหล่านี้ยิ่งถูกกระตุ้นปวดแสบ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเครื่องหมายที่เซี่ยเสวี่ยเหลียนฝากฝังเอาไว้ให้ขณะที่เขาเดินทางมาส่งอาหารเมื่อครู่นี้
เสียงเขวี้ยงปาข้าวของภายในกระท่อมเก็บฝืนได้หยุดลง ทว่าเซี่ยหลู่เฟิงยังคงเห็นชัดถนัดตา บริเวณหน้าต่างทรงตารางคล้ายคุกบานนั้น เซี่ยเสวี่ยเหลียนพยายามมุดศีรษะลอดออกมา ราวกับต้องการจะหนีออกไปให้พ้นจากที่นี่
แต่เมื่อนางค้นพบได้ว่า ตนไม่สามารถอาศัยช่องหน้าต่างหลุดหนีออกไปได้ แถมศีรษะยังติดแน่นจนดึงไม่ออก เซี่ยเสวี่ยเหลียนก็เริ่มเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นอีกครั้ง พยายามกระชากหัวออกมาพร้อมทั้งส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด บรรดาสาวรับใช้ที่เห็นดังนั้น ทีแรกยังกล้าๆกลัวๆไม่คิดจะเข้าช่วยเหลือ แต่พอเห็นว่าคุณชายใหญ่กำลังมองมาทางนี้อยู่ พวกนางจึงปรี่เข้าช่วยนางทันที แต่ใครจะไปคิด เซี่ยเสวี่ยเหลียนในตอนนี้เสมือนกับพิษสุนัขบ้า นางไล่กัดหูของสาวรับใช้ทุกคนที่พยายามจะมาช่วย!
ชั่วขณะต่อมา แลเห็นเม็ดฝนโหมกระหน่ำตกลงมาจากฟากฟ้า จู่ๆนางก็รีบแลบลิ้นออกมา และเริ่มลองลิ้มชิมรสชาติน้ำฝนอย่างสนุกสนานราวกับเด็กน้อย ดั่งว่านางลืมเลือนเรื่องราวก่อนหน้าไปชั่วขณะ
ยิ่งได้เห็นภาพฉากดังนี้ เซี่ยหลู่เฟิงรู้สึกราวกับหัวใจแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี สุดท้ายทำได้แค่ส่ายหัวกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
“อนิจจา!”
น้องสาวผู้แสนงดงาม…กลายเป็นบ้าโดยสมบูรณ์! อย่างไร เขาเองก็พึงทราบดี แม้โดยผิวเผินทุกอย่างดูจะเหมือนเป็นความผิดของเซียถง แต่ความเป็นจริง ตัวต้นเหตุทั้งหมดก็คือท่านแม่ของเขาที่ได้ตายลงไปแล้ว เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ ก็ทำให้เขาหวนนึกย้อนไปยังตอนที่เขาได้พบหน้าเซียถงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไปดินแดนอี้เฉิง ในเวลานั้น เขาแสดงกิริยาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักต่อนาง ทำเอาเขาอดรู้สึกผิดมิได้
เซียถงเคยเป็นสาวน้อยผู้แสนสุภาพและอ่อนโยนมาก กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งสวยงามเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในจวนเสนาบดีเซี่ยแห่งนี้ แล้วดังนั้นเซี่ยหลู่เฟิงหรือจะไม่ปกป้องนางได้อย่างไร? หากไม่ถูกฮูหยินรองเฉิงก็โดนเซี่ยเสวี่ยเหลียนรังแกไม่เว้นแต่ละวัน เขาเองก็ใช่ว่าจะมิทราบ แต่ต่อให้ลองพยายามหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สามารถหยุดพวกนางได้เลย
ในเวลาต่อมา เซียถงดูแตกต่างออกไป เสมือนกับว่าตายแล้วเกิดใหม่ ทั้งในด้านอุปลักษณ์นิสัยและบุคลิกภาพโดยรวม ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง นางหาใช่พวกยอมคนทนถูกรังแกอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม ใครก็ตามที่กล้าล้ำเส้นชีวิตของนางแม้สักนิด พวกมันเหล่านั้นล้วนต้องชดใช้คืนกลับไปเป็นเท่าทวี!
และท้ายที่สุด เซี่ยหลู่เฟิงก็ไม่ต้องมานั่งห่วงอีกแล้วว่า นางจะโดนผู้ใดรังแกข่มเหงอีก แต่ทุกอย่างในปัจจุบันกลับตาลปัตร พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เซี่ยเสวี่ยเหลียนเคยรังแกเซียถง กลายเป็นว่า…
“คุณชายใหญ่…”
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องเรียกจากทางไกลก็ดังขึ้น
เซี่ยหลู่เฟิงเหลียวศีรษะหันตามต้นเสียงโดยไว ปรากฏว่าเป็น อดีตสาวรับใช้คนสนิทของเซียถงอย่าง อิ๋งเอ๋อร์
มิใช่ว่าตอนนั้น อิ๋งเอ๋อร์ติดตามเซียถงไปยังดินแดนอี้เฉิงพร้อมกับขบวนสินสอดทองหมั้นแล้ว? แต่ไฉนตอนนี้ จู่ๆนางก็โผล่มาอยู่ในเมืองเฟิงหลี่ได้? สิ่งนี้ทำเอาเซี่ยหลู่เฟิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบกวาดสายตามองผ่านอิ๋งเอ๋อร์ออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว และเมื่อเห็นไม่มีใครติดตามอยู่ท้ายหลังอิ๋งเอ๋อร์มาด้วย ก็ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เป็นอย่างที่คาดเอาไว้จริงๆ
“อิ๋งเอ๋อร์ เจ้า…”
ยังไม่ทันเซี่ยหลู่เฟิงจะได้เอ่ยจบ อิ๋งเอ๋อร์กล่าวขึ้นแทรกอย่างรู้ทันว่า
“เรียนคุณชายใหญ่ คุณหนูของบ่าว ไม่สิ องค์ราชินีมิได้เสด็จมาด้วยเจ้าค่ะ”
“จริงรึ?”
แววความผิดหวังเปล่งสะท้อนออกมาพร้อมสุ้มเสียงกล่าวของเขาอย่างไม่รู้จบ
เห็นปฏิกิริยาทีท่าเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย อิ๋งเอ๋อร์รีบกล่าวขึ้นต่อทันทีว่า
“แต่บ่าวได้รับพระบัญชาจากองค์ราชินี ให้มาที่นี่เจ้าค่ะ!”
เซี่ยหลู่เฟิงพยักหน้าเบาๆทีหนึ่ง ชี้ไปทางจวนแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจากอีกฟากฝั่งและเอ่ยขึ้นว่า
“เซียถงวานให้เจ้ามาเยี่ยมเยือนท่านป้าหลี่กระมัง? เจ้าวางใจได้ ท่านป้าหลี่มีสุขภาพแข็งแรงดีแล้ว อีกทั้งฝ่าบาทยังมีพระราชโองการแต่งตั้งนางเป็น…”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ จู่ๆเขาก็พลันชะงักไปและเอ่ยขึ้นแทนว่า
“เอาเป็นว่า…ไม่มีใครในจวนมหาเสนาบดีแห่งนี้ที่หาญกล้ารังแกนางอีกต่อไปแล้ว”
สิ้นเสียงกล่าวจบเพียงเท่านั้น เขาก็หันหลังและเดินจากไป
ทันทีที่อิ๋งเอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายกำลังลาจากออกไป นางก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง โดยไม่มีคำนึงถึงห่าฝนตกใส่ใดๆ นางวิ่งฝ่าออกไปไล่ติดตามอย่างรวดเร็ว
“คุณชายใหญ่! คุณชายใหญ่เจ้าค่ะ…”
อิ๋งเอ๋อร์วิ่งไล่ตามเซี่ยหลู่เฟิงตลอดจนอีกฝ่ายถึงหน้าประตูเรือน ขณะที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไป เขาก็หันศีรษะชำเลืองหา เห็นอิ๋งเอ๋อร์ที่เนื้อตัวเปียกฝนเดินติดตามเขามาอย่างไม่มีลดละ จึงปริปากกล่าวไล่ไปกว่า
“ท่านป้าหลี่อาศัยอยู่เรือนฝั่งนั้น หาใช่ที่นี่”
อิ๋งเอ๋อร์แทบอยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน
“คุณชายใหญ่ อย่าเดินเร็วนักสิเจ้าค่ะ! บ่าวได้รับพระบัญชาจากองค์ราชินีประทานบางสิ่งแก่ท่านเจ้าค่ะ!”
“ให้ข้ารึ? สิ่งใดกัน?”
เซี่ยหลู่เฟิงไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูตัวเองนัก เพราะก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งแสดงอากัปกิริยาแย่ๆใส่เซียถงไปเอง ซึ่งนั่นทำให้รู้สึกผิดจนคิดไปว่า บางทีความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของเขาและนางอาจพังทลายลงไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าใครจะไปคาดคิดกัน นางกลับวานให้อดีตคนรับใช้คนสนิทนำสิ่งของบางอย่างมานำส่งให้ถึงมือเช่นนี้!
เซี่ยหลู่เฟิงรู้สึกตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย
อิ๋งเอ๋อร์รีบหยิบกล่องหยกเขียวใบหนึ่งออกมาจากห่อผ้าไหม และส่งให้ต่อหน้าอีกฝ่ายกล่าวว่า
“นี่เป็นโอสถบำรุงลมปราณที่องค์ราชินีหลอมกลั่นมาให้สำหรับท่านโดยเฉพาะเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ องค์ราชินีตรัสว่า สิ่งนี้จะช่วยพัฒนายกระดับพลังลมปราณของท่านให้แกร่งกล้าขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด!”
ภายในนี้มีโอสถทั้งหมดสิบเม็ด เมื่อเปิดกล่องหยกเขียวขึ้นมาแช่มมองเล็กน้อย กลิ่นสุคนธรสหอมหวนก็ลอยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
“รับประทานวันละหนึ่งเม็ดต่อเนื่องเป็นเวลาสิบวัน ระดับพลังลมปราณของท่านจะต้องพัฒนาขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
กวาดสายตามองดูโอสถเม็ดกลมแวววาวเหล่านั้น เซี่ยหลู่เฟิงรู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก เพียงเห็นก็พึงทราบได้ทันที โอสถที่มีเนื้อสัมผัสเรียบเนียนขนาดนี้ มันแสดงให้เห็นว่า พวกมันผ่านกลวิธีการหลอมกลั่นมาเป็นอย่างดีขนาดไหน กล่าวคือ แต่ละเม็ดล้วนมีมูลค่าสูงลิบลิ่วเกินจินตนาการ! ถึงแบบนั้นเซียถงก็ยังมอบทั้งหมดให้แก่เขาโดยปราศจากความตระหนี่ใดๆ พอเห็นเช่นนี้แล้ว เซี่ยหลู่เฟิงเองก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ในสายตาของนางก็ยังเห็นเขาเป็นพี่ชายที่แสนดีคนเดิม! ขอบคุณเจ้าจริงๆ…ขอบคุณเจ้าจริงๆที่มิเคยโกรธเกลียดข้า เซียถง!
ห้วงจิตใจของเซี่ยหลู่เฟิงยามนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความซาบซึ้งกินใจ และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆอิ๋งเอ๋อร์ก็เพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ยกกำปั้นเขกศีรษะตัวเองไปหนึ่งตุบเบาๆและเอ่ยขึ้นว่า
“ใช่แล้ว! นี่ข้าลืมไปได้เยี่ยงไรกัน! คุณชายใหญ่ บ่าวยังมีอีกเรื่องที่ลืมบอกท่าน!”
“อะไรงั้นรึ?”
สำหรับเขาในตอนนี้ยังมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเซียถงอีกงั้นรึ? เซี่ยหลู่เฟิงก็เอ่ยถามไปตามมารยาท แต่แท้จริงแล้วกลับมิได้ใส่ใจเลย
“บ่าวมิได้มาที่นี่คนเดียวเจ้าค่ะ แค่ยังมีอีกคนมาด้วย”
“หื้ม? ผู้ใดกัน?”