ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 464 พบเจอสหายเก่า (2)
ตอนที่464 พบเจอสหายเก่า (2)
ตอนที่464 พบเจอสหายเก่า (2)
“เอ่อ ข้า…”
โดยไม่พูดพร่ำใดๆอีก อิ๋งเอ๋อร์รุกเข้าใส่ทันควัน คว้าแขนเสื้อเซี่ยหลู่เฟิงและลากเขาเข้าไปทันที สาวรูปงามนางหนึ่งกำลังลากแขนของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเข้าไปในคฤหาสน์หลังโตเบื้องหน้า ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายต่างมีหน้าตาดีทั้งคู่ เสี้ยวพริบตาขณะ พวกเขาก็กลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคนแถวนั้นในเวลาถัดมา
อาจเป็นเพราะว่าอิ๋งเอ๋อร์เฝ้าติดตามรับใช้เซียถงมาเป็นเวลานาน ก็เลยซึมซับอุปลักษณ์นิสัยของเจ้านายตัวเองมาโดยมิรู้ตัว ดังนั้นแล้ว ไอ้สิ่งที่เรียกว่า หญิงสาวห้ามกระทำตัวเกินงามอะไรเทือกนั้น มันจึงมิได้อยู่ในสารระบบหัวสมองของอิ๋งเอ่อร์อีกแล้ว
“อิ๋งเอ๋อร์ ข้าว่าเจ้าทำเช่นนี้มิค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก”
ภายใต้ทุกสายตาที่มุ่งจับจ้องเข้าใส่ เซี่ยหลู่เฟิงใบหน้าเห่อแดงระเรื่อเล็กน้อย รู้สึกเก้อเขินจนต้องกล่าวทักถามอย่างอดมิได้
“องค์ราชินีทรงตรัสว่า วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการรับมือกับพวกน้ำเต้าจืดชืดอย่างท่านก็คือ มุ่งเน้นไปที่ปัญหาโดยตรง ลดพิธีรีตองลงนิด เพิ่มความหยาบกระด้างขึ้นหน่อย เลยต้องใช้กลยุทธ์ตีหัวลากเข้าถ้ำไปทั้งแบบนี้!”
“จะ-เจ้าเป็นสตรีมิใช่รึ! ไยถึงพูดจาเช่นนี้…”
เพิ่งกล่าวไปได้ครึ่งประโยค มุมปากเซี่ยหลู่เฟิงพลันกระตุกอย่างแรง แทบไม่อยากเชื่อโดยแท้ อิ๋งเอ๋อร์จะเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ นับวันก็ยิ่งทำตัวเหมือนเจ้านายของนางไปทุกทีแล้ว…
ทั้งสองพัลวันลากกันเข้าไปในคฤหาสน์ทั้งแบบนั้น ซึ่งวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลอย่างที่องค์ราชินีของนางสั่งสอนเอาไว้ไม่มีผิด ลดมารยาทลงนิด เพิ่มความกระด้างขึ้นหน่อย!
เหล่าผู้คนและบ่าวรับใช้ภายในคฤหาสน์ของราชาหมาป่าสวรรค์ต่างคุ้นเคยกับอิ๋งเอ๋อร์กันเป็นอย่างดี และพวกเขามิได้สนใจเลยที่เห็นนางกระทำการเช่นนี้
เซี่ยหลู่เฟิงโดนนางลากมาถึงสวนด้านหลังคฤหาสน์
พ้นผ่านทุ่งบุปผาที่ทอดยาวเป็นเส้นทางเดินสายหนึ่งมา เลี้ยวซ้ายหันไปทางศาลาหินอ่อนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางทะเลสาบ ภายในนั้นปรากฏหญิงสาวรูปงามนางหนึ่งในชุดแพรพรรณสีขาว ทรวดทรวงอรชรที่เรียวเล็กและเพรียวบางน่าทะนุถนอมเบื้องหน้า บุรุษชายใดได้เสาะเห็นล้วนแต่ต้องลุ่มหลงหัวปักหัวปำ
ในตอนนี้เอง หญิงสาวรูปงามนางนั้นกำลังหันหน้าเข้าเผชิญกับเซี่ยหลู่เฟิง ทำเอาเจ้าตัวแข็งกลายเป็นรูปปั้นหินในพริบตา!
คู่สายตาสบมองกันและกัน ภายในห้วงจิตใจเสมือนเดินช้าลงชั่วขณะ เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นประดุจยาวนานนับหลายสิบวัน จากหลายสิบวันพัฒนากลายเป็นหลายสิบปี และจากนั้นสิบปีก็ล่วงเลยไปนับหลายสหัสวรรษ เขาไม่สามารถละสายตาออกจากหญิงสาวตรงหน้าได้เลย!
นัยน์ตาคู่นั้นฉายเงาสะท้อนเพียงสิ่งเดียว…นั่นก็คือร่างอรชรผู้งดงามเหนือราคีและสรรพสิ่งใด!
พินิจจากข้าวของบนโต๊ะ ดูเหมือนนางกำลังยุ่งอยู่กับบางสิ่งเหล่านั้น และอึดใจขณะต่อมา ก็มีกลิ่นบุปผาหอมหวนพัดผ่าน เคียงคู่ไปกับสายลมอันโชยอ่อน
หญิงสาวรูปงามในชุดแพรรพรรณสีขาวค่อยๆส่งยิ้มระบายอ่อนมอบแก่เขา รอยยิ้มบนริมฝีปากบางสีอมชมพูอันละเอียดอ่อนนั่น ทำให้เขารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้เห็น
ฉีหมิงเยว่!
ในเวลานี้เอง นางกำลังถือถ้วยชาหยกขาวอยู่ในมือใบหนึ่ง รอบถ้วยชั้นนอกกอปรลวดลายเมฆาสีชมพู ประดับประดาใบไม้สีเขียวขจีตัดกันอย่างสวยงาม ราวกับภาพทัศนีย์เหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวจริงๆ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
และกลับเป็นฝ่ายของนางที่เดินตบเท้าตรงหาเซี่ยหลู่เฟิง พร้อมส่งถ้วยชาใบนั้นแก่เขา ทุกการเคลื่อนไหวพลิ้วไสวโอนอ่อนดูเป็นธรรมชาติ ชายกระโปรงยาวสะบัดไวประหนึ่งดอกไม้ที่เบ่งบาน
“นี่คือชาชนิดล่าสุดที่ข้าพัฒนาปรับปรุงสูตรขึ้นใหม่ เจ้าอยากลองชิมดูหรือไม่?”
เซี่ยหลู่เฟิงมองดูถ้วยชาหยกขาวภายใต้เรียวนิ้วสีนวลผ่องดุจหิมะที่ถือจับเอาไว้อยู่ ของเหลวในนั้นใสพิสุทธิ์อมชมพูจางๆ เขาค่อยๆยื่นมือรับมันมา และยกขึ้นดื่มอย่างประณีตระมัดระวัง ชาหอมกระแสอุ่นรินไหลผ่านลำคอ ความสดชื่นเบิกบานแตกสะพรั่งอบอวลทั่วดวงใจ กลิ่นหอมสุคนธรสกรุ่นละมุมหวานเกินบรรยาย
“รสชาติเป็นเยี่ยงไร?”
ฉีหมิงเยว่เคียงศีรษะชำเลืองมองเซี่ยหลู่เฟิงที่ดื่มจนหมดในคราวเดียว
อย่าว่าแต่น้ำชาสีใสในถ้วยนี้เลย ต่อให้เป็นยาพิษที่มีฤทธิ์ปลิดชีพก็ตามที ตราบเท่าที่ฉีหมิงเยว่เป็นผู้ส่งมอบ เขาเองก็ขอดื่มมันโดยไม่ลังเล
“ฉี…”
“เรียกข้าว่าหมิงเยว่เถอะ”
ปรายมองเขาอยู่สักครู่ นัยน์ตาคู่ประกายสดใสดวงนั้น เสมือนกับว่ากำลังมองทะลุเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจอีกฝ่าย แข็งขื่นดื้อรั้นต้องการให้เขาเปลี่ยนชื่อเรียกนาง
“หมิง…องค์หญิงหมิงเยว่”
เซี่ยหลู่เฟิงส่งสายตาตอบกลับไป ราวกับพยายามจะสื่อว่า คนต่ำต้อยเฉกเช่นข้าไม่มีสิทธิอันใดไปเรียกชื่อเจ้าโดยตรงเช่นนั้น หากไม่ต้องการให้เรียกขานด้วยชื่อเต็ม เช่นนั้นก็ขอนำศักดิ์‘องค์หญิง’เข้ามาเติมต่อ
ได้ยินคำว่า องค์หญิง นัยน์ตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นของนางพลันสั่นไสวแฝงซ่อนไว้ซึ่งความเจ็บปวดอยู่หนึ่งส่วน และทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีหยดน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง นางกล่าวว่า
“แต่…ข้ายังจดจำได้ดี ในวันนั้น ท่านเรียกขานชื่อของข้าออกมาชัดแจ้ง”
นางยังคงกล่าวต่ออย่างดื้อรั้นไม่ยอมว่า
“และข้าก็ยังจำได้ไม่มีลืมเลือน เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน ท่านช่วยเหลือชีวิตของข้าเอาไว้ โดยหาได้คำนึงถึงความปลอดภัยของตนไม่ ตอบข้าสิ เหตุที่ท่านช่วยข้าเป็นเพราะสถานะศักดิ์ของข้าในวันนั้นหรือไม่? หรือเพราะรู้ว่าข้าคือองค์หญิง? หรือรู้สึกผิดที่ทำให้บ้านเกิดของข้าต้องพังพินาศ?”
“ข้า…ข้า…”
เซี่ยหลู่เฟิงรู้สึกจุกแน่นอยู่กลางอก ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้แม้สักคำเดียว ไม่ มันไม่ใช่แค่นั้น นอกจากความรู้สึกผิดที่สุมสรวงตรงกลางอกแล้ว มันก็ยัง… มันก็ยังมี…
“หลู่เฟิง รู้หรือไม่ตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีทั้งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ น้องชาย หรือกระทั่งย่าเฟิง…”
ยิ่งเอ่ยวาจามากเท่าไหร่ สุ้มเสียงของฉีหมิงเยว่ก็ยิ่งแผ่วบางลงเรื่อยๆ
ได้ยินเช่นนั้น หัวใจดวงนี้ของเซี่ยหลู่เฟิงประดุจถูกคมมีดทิ่มแทง
“หมิงเยว่ เกิดอะไรขึ้น?”
“เซียถงพูดถูกตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ใช่ฝีมือของท่าน ก็ย่อมมีคนอื่นทำแทนอยู่ดี และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ใครคนนั้นอาจมิได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือชีวิตข้าอย่างตัวท่าน บางทีทุกอย่างอาจเป็นโชคชะตาจริงๆ และข้าก็โชคดีเหลือเกินที่ได้พบเจอกับท่าน เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน ข้าไม่เคยลืมเลือนเลยแม้สักวันเดียว แล้วเหตุการณ์ครั้งล่าสุดเองก็ด้วย ที่ท่านช่วยข้าจากเงื้อมมือของสองพี่น้องไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิง ที่ผ่านมา ข้ามักจะแสดงความรู้สึกที่มีมอบแก่ท่านเสมอมา แล้วตัวท่านล่ะ? คิดอย่างไรกับข้ากันแน่?”
ถึงแม้ฉีหมิงเยว่ที่ยืนอยู่ต่อหน้าจะเป็นตัวจริงเสียงจริง แต่ในหัวของเซี่ยหลู่เฟิงในขณะนี้ กลับรู้สึกสับสนและเต็มไปด้วยคำถามนับไม่ถ้วน ไม่แม้แต่จับต้นชนสายประติประต่อเหตุการณ์อะไรได้สักอย่าง
“เจ้าพบเซียถงแล้ว?”
หลังจากจมอยู่ท่ามกลางความงุนงงอยู่นาน เซี่ยหลู่เฟิงก็เอ่ยคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ออกไป
“แน่นอนสิ”
ฉีหมิงเยว่ยังกล่าวตอบพร้อมสีหน้าจริงจังอีกว่า
“หากไม่ใช่เพราะเซียถง ปานนี้ท่านกับข้าก็คงไม่มีวันได้เจอกันอีกชั่วชีวิต”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆเกี่ยวกับตัวนางเลยสักนิด ฉีหมิงเยว่ก็แอบรู้สึกเศร้าเสียใจกับตนเองเล็กน้อย รับถ้วยชาหยกขาวใบนั้นกลับจากมือเซี่ยหลู่เฟิง และเดินออกจากศาลาแห่งนั้นไปโดยไม่แยแสสนใจเขาอีกเลย
ทำได้เพียงทอดสายตาย้อนหา เหม่อมองแผ่นหลังของฉีหมิงเยว่ที่จากไปไกลลับ เซี่ยหลู่เฟิงสัมผัสได้ว่า ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างที่ช่างซับซ้อนเกินกว่าตัวเขาจะเข้าใจได้ในขณะนี้
“อิ๋งเอ๋อร์ บอกข้าที! ก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”