ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 469 การลอบสังหารจากสารทิศ (1)
ตอนที่469 การลอบสังหารจากสารทิศ (1)
ตอนที่469 การลอบสังหารจากสารทิศ (1)
“ตอนนี้องค์ราชินีอยู่ที่ใด?”
ไป๋หลี่หานสวมหน้ากากคมขลับสีดำทรงม้า กวาดสายตาแลมองถนนหนทางที่แสนเคี้ยวขดตามเส้นขึ้นหุบเขา
“เรียนนายท่าน สหายพี่น้อยโม่ซวนรายงามมาว่า พวกเขาอยู่ในหุบเหวเทียมฟ้าขอรับ!”
ทันทีที่ได้ยินชื่อสถานที่ดังกล่าว ไป๋หลี่หานก้ปลดปล่อยไอเย็นขุมหนึ่งจากในกายออกมา กวาดล้างกระจายไปทั่วบริเวณนั้น เพราะเขาทราบดีว่า มีสิ่งใดอยู่ภายใต้หุบเหวเทียมฟ้า ทั้งสัตว์อสูรวิญญาณจารย์และอสูรศักดิ์สิทธิ์มีดักรอเซียถงอยู่ตลอดทางมากมาย
พอสัมผัสได้ถึงกระแสความกังวลของนายท่านที่มีต่อนายหญิง ผู้ใต้บัญชาคนนั้นจึงกล่าวขึ้นอีกคราว่า
“สหายพี่น้องโม่ซวนยังบอกอีกว่า องค์ราชินีในปัจจุบันดูเหมือนจะแกร่งกล้าขึ้นอีกระดับแล้วเช่นกัน”
ได้ยินเช่นนั้น ไป๋หลี่หานพลันแสยะยิ้มมุมปากอย่างอดมิได้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขากังวลคงเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ กลับกลายเป็นเซียถงเสียเองที่ตัดสินใจมุ่งหน้าสู่หุบเขาเทียมฟ้า ทั้งหมดก็เพื่อฝึกปรือและยกระดับพลังต่อสู้ของตนเอง ไม่เลว! นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ภายในเวลาอันสั้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว!
ในขณะเดียวกัน ก็มีหน่วยสอดแนมที่ล่วงหน้าออกไปสำรวจ ยามนี้ได้กลับเข้ามารายงานกับเขาว่า
“เรียนนายท่าน ผ่านหุบเขาลูกนี้ไป คือเขตแดนของจักรวรรดิตะวันตกแล้วขอรับ!”
“เช่นนั้นพามันเข้ามา!”
ไป๋หลี่หานแผดเสียงคำรามสั่งการประโยคหนึ่ง และปรากฏเป็นเฟยเหล่ยที่ถูกลากโยนออกมา มันถูกบังคับให้คุกเข่าลงต่อหน้าไป๋หลี่หานอย่างจำนน ตอนนี้เองเฟยเหล่ยหวากผวาเสียขวัญหนัก ใบหน้าของมันขาวเผือด ลอบสายตาเงยมองไป๋หลี่หานได้เล็กน้อย ก็ต้องรีบก้มศีรษะหดหัวกลับมาโดยไว
บ่าวสาวคู่สยองโดยแท้! เฟยเหล่ยหวนนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เซียถงอัญเชิญเสือดาวเมฆาทมิฬทั้งสี่ตนออกมา ภายใต้คำสั่งการของนางในเวลานั้น บรรดาซากศพของทหารผู้ใต้บัญชาทั้งหมดของมันในเรือ ล้วนถูกสัตว์อสูรพวกนั้นกัดแทะไม่เหลือเศษชิ้นเนื้อใดๆ มีแค่โครงกระดูกสีขาวเกลี้ยงเกลาเท่านั้นเอง ภาพฉากดังกล่าวทำเอาเฟยเหล่ยหนาวจับขั้วกระดูกทุกครั้งที่พึงระลึก
“เมืองคุนต่านอยู่อีกไกลแค่ไหน?”
เฟยเหล่ยรวบรวมความกล้าขึ้นเงยมองสภาพแวดล้อมโดยรอบแถวนี้ และกล่าวอธิบายให้คำตอบไปตามตรงว่า
“ข้ามหุบเขาลูกนี้ไปแล้ว เดินทางต่ออีกสักสามร้อยลี้น่าจะถึงเมืองคุนต่านพอดี”
“ดี! พามันกลับไป!”
ไป๋หลี่หานพลิกฝ่ามือเผยให้เห็นถึงจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นจดหมายที่เซียนโดยลายมือของเซียถงเป็นการส่วนตัว ถึงแม้ตัวเขาจะรีบเร่งเดินทางไปยังหุบเขาคุนหลุนเพียงใดเพื่อเข้าสมทบกับนาง แต่ระหว่างทางก็ยังไม่ลืมเขียนจดหมายไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ซึ่งจดหมายฉบับนี้ก็เหมือนจะถูกส่งออกมาพอดีพร้อมกับตอนโม่ซวนส่งสาสน์พิราบขณะยังอยู่ในหุบเหวเทียมฟ้า
อ่านเนื้อความบนจดหมายฉบับดังกล่าวในมือ ลายมือการขีดเขียนช่างดูกร้าวกระด้างและทรงพลังน่าเหลือเชื่อ ราวกับว่านางมิได้ใช้พู่กันเขียนมันลงไป สิ่งนี้ทำให้ไป๋หลี่หานหวนนึกถึงเหตุการณ์ในคืนก่อนวันออกเดินทาง เซียถงนั่งฝึกซ้อมเล่นพิณอยู่ในเรือนนอนกับเขา ขณะนั้นเองก็พลางกล่าวขึ้นว่า นางอยากจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า ปากกา เพราะหากมีเจ้านี้แล้ว การเขียนของคนเราจะสะดวกขึ้นอย่างมาก และหากลองพินิจมองจากลายมือที่ดูชัดเจนอ่านง่ายเหล่านี้บนแผ่นกระดาษ นางน่าจะประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่าปากกาสำเร็จแล้ว! ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าทึ่งโดยแท้!
ในปัจจุบัน ทั่วทั้งทวีปเทียนหลานล้วนแต่ทราบว่า เซียถงกำลังมุ่งหน้าสู่หุบเขาคุนหลุนเพื่ออัญเชิญบัญชาสี่พิภพลงมา ดังนั้นแล้ว สภาพการณ์ของแต่ละจักรวรรดิในเวลานี้จึงค่อนข้างอ่อนไหวอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนที่พวกเขาทราบว่า เซียถงจำใจต้องไปหุบเขาคุนหลุนเพราะต้องการนำบัญชาสี่พิภพไปแลกเปลี่ยนกับยอดบัวศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่ขอเพียงมีบัญชาสี่พิภพอยู่ในกำมือก็สามารถครองผืนพิภพได้แท้ๆ แต่นางกลับเลือกยอดบัวศักดิ์สิทธิ์สำหรับรักษาอาการป่วยของท่านแม่ อนิจจา! ใครได้ยินต่างต้องปวดเศียร!
ถึงแม้เซียถงจะไม่ทราบถึงความสำคัญของบัญชาสี่พิภพเลยก็ตามที่ แต่ราชาหมาป่าสวรรค์ควรทราบดี เจ้าสิ่งนี้มันทรงพลังอำนาจเพียงใด! เหล่าองค์จักรพรรดิจ้าวผู้ครองแคว้นน้อยใหญ่ต่างไม่สามารถคาดเดาได้เลย จะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนี้ อย่างไร พวกเขาทุกคนต่างหวังเพียงอย่างเดียวว่า เซียถงจะทำภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวและไม่สามารถอัญเชิญบัญชาสี่พิภพลงมาจากหุบเขาคุนหลุนได้สำเร็จ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว หากบัญชาสี่พิภพตกอยู่ในกำมือขององค์จักรพรรดิซีฉิน สิ่งที่ทวีปเทียนหลางต้องเผชิญพบจากนี้คงเป็นกลียุค! ดังน้น พวกเขาจึงล้วนแต่ต้องการให้บัญชาสี่พิภพอยู่บนหุบเขาคุนหลุนเช่นนั้นตลอดกาล
ต่อมา เมื่อทุกคนได้รับทราบข่าวว่า เซียถงและคณะสำรวจของนางตกสู่หุบเหวเทียมฟ้า ส่งผลให้การเดินทางต้องชะลอตัวช้าลง และประสบปัญหาความยากลำบากที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยแล้ว ยังมีสัตว์อสูรทรงพลังที่ลอบดักจู่โจมตลอดเส้นทาง เมื่อได้ฟังดังนั้น บรรดาผู้ทรงอำนาจทั้งหลายจากจักรวรรดิต่างๆจึงรีบส่งนักฆ่ามือดี หวังเข้าปิดฉากการเดินทางของเซียถงให้จบลงเสียตรงนี้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน!
ในเวลานี้ เซียถงและคนอื่นๆต้องประสบพบเจอกับการลอบสังหารจากกลุ่มนักฆ่าอีกครั้ง และคราวนี้ พลังความแข็งแกร่งของพวกนักฆ่าก็หาใช่ว่าต่ำต้อย เพราะแม้แต่สองพี่น้องตระกูลเค่อยังต้องรับศึกหนัก ถึงแม้จะคว้าชัยชนะมาได้อย่างหวุดหวิด แต่สภาพของสองพี่น้องก็หาใช่จะดูดีเท่าไหร่นัก
กวาดมองกองซากศพที่เกลือนกลานทั่วพื้น ยังไม่มีใครอาสานำศพเหล่านี้ลากไปทิ้ง เพียงก้าวย่างจ้ำออกไปเพื่อหาบริเวณว่างนั่งพักผ่อน
สองพี่น้องตระกูลเค่อรีบนั่งจับจองบนพื้น ขัดสมาธิหลับตาปรับลมหายใจโดยไว
ชิงเยวี่ยในตอนนี้สวมเสื้อเกราะสีดำเข้มอยู่บนตัว โชคยังดีที่กลุ่มนักฆ่ามิได้มุ่งเป้ามาทางเขา สภาพการณ์จึงอยู่ในเกณฑ์ดี มิได้รับบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ใดๆ แค่ผิวหนังถลอกเป็นบางจุดเสียเท่านั้น เขากำลังม่วนอยู่กับการเสาะหาสมุนไพรเพื่อใช้ปิดปากแผลหยุดเลือดให้สองพี่น้อง
อย่างไรเสีย ในปัจจุบันกลับไม่มีใครเห็นเซียถงเลยแม้สักคน มิอาจทราบว่านางหายไปไหน
บริเวณหัวไหล่ของเค่อฮั่วถูกคมดาบเสียบแทง ธารเลือดสดไหลนองอาบท่อนแขนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย พวกเขาทั้งคู่ถูกกลุ่มนักฆ่าดักสุ่มสังหารเกือบสิบครั้งเห็นจะได้ โอสถห้ามเลือดของชิงเยวี่ยที่หลอมกลั่นเตรียมมาก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือ เพราะเช่นนี้เอง ฝ่ายหลังจึงต้องมุ่งหน้าเข้าป่าเสาะหาสมุนไพรมาใช้แทน
หลังจากชิงเยวี่ยกลับมา เขาก็นำสมุนไพรเหล่านั้นมาบดละเอียดและทาลงบนแผลของเค่อฮั่ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ค่อยดีนัก เขาจึงต้องใช้ทักษะการห้ามเลือกที่เซียถงสอนให้ ใช้ดัชนีเข้าสกัดจุดพร้อมใช้มือกดบริเวณเส้นเลือดเอาไว้อยู่นานครู่หนึ่ง ใบหน้าซีดขาวของเค่อฮั่วก็เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นบ้างหลายส่วน
เขาส่ายหัวพร้อมสีหน้าขมขื่นเกินบรรยาย หันหน้ามากล่าวกับน้องชายตัวเองว่า
“นี่มันนักฆ่ากลุ่มที่เจ็ดแล้วกระมังในระยะสามวันนี้? สงสัยคงยกโขยงแห่กันมาหมดทั้งทวีปเทียนหลาง เห้ออ…”
เค่อมู่ถอนหายใจอย่างอับจนหนทางไม่ต่าง เอนหลังพักพึงกับลำต้นไม้ เค้นเสียงเอ่ยตอบไม่ค่อยเต็มใจนักว่า
“ทั้งพี่ทั้งข้าที่พยายามฝึกปรือบำเพ็ญตบะนานนับสี่สิบปีและเข้าเมืองซีเยว่มา ทั้งหมดก็เพื่ออาศัยพลังความแข็งแกร่งยกระดับฐานะครอบครัวของเราให้อยู่ดีกินดีขึ้นมิใช่รึ? แต่ไฉนทุกอย่างถึงกลับกลายมาเป็นเช่นนี้กัน? วันดีๆ ที่เราฝันใฝ่เกรงว่ากำลังจะจบลงในอีกไม่ช้า อนิจจา…”
โม่ซวนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อดกระตุกยิ้มมุมปากมิได้เมื่อได้ฟังบทสนทนาเหล่านั้น ในแง่พลังต่อสู้ หากไม่นับชิงเยวี่ย ดูเหมือนจะเป็นตัวเขาที่อ่อนแอที่สุด แต่ก็ต้องขอบคุณนายหญิงที่เข้าช่วยเหลือเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง อย่างไรเสีย นี่ก็นับเป็นเรื่องน่าเศร้าหาพรรณนาไม่เช่นกัน เพราะเห็นได้ชัดว่า เขาปฏิบัติหน้าที่อารักขาปกป้องนายหญิงของตนได้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แทนที่จะช่วยแบ่งเบาภาระแก่นาง กลับกลายเป็นตัวภาระของนางแทนเสียได้!
“วูวว! วูวว!”
ข้างกายปรากฏเป็นหมาป่าร่างใหญ่สีขาวโพลนทั้งสี่กำลังส่งเสียงเห่าหอนโดยพร้อมเพรียง ขณะเดียวกันมันก็ก้มศีรษะแยกเคี้ยวกัดกินซากศพของเหล่านักฆ่าที่เกลือนบนพื้นอย่างเอร็ดอร่อย และหมาป่าเหล่านี้เป็นหนึ่งในฝูงสัตว์อสูรที่เซียถงทำสัญญาอัญเชิญเอาไว้ พวกมันทั้งสี่ตนถูกเรียกมาโดยนาง ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องโม่ซวนและชิงเยวี่ยโดยเฉพาะ
แลเห็นหมาป่าสีขาวทั้งสี่กำลังกัดแทะซากศพ ทุกคนต่างอดเบือนหน้าหนีมิได้ด้วยความสยดสยอง
พวกมันทั้งสี่เป็นสัตว์อสูรวิญญาณจารย์ที่ทรงพลังและดุร้ายอย่างยิ่ง แต่ทั้งหมดล้วนถูกเซียถงควบคุมจนเชื่องราวกับสัตว์เลี้ยงก็มิปาน
ทันใดนั้น ใบหูที่เหลียวแหลมของพวกมันพลันตั้งชูชันขึ้นทันควัน เร่งแหงนศีรษะมุ่งจับจ้องไปยังเบื้องหน้าจนเป็นตาเดียว มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังย่างเหยียบเข้ามาใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น เซียถงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง พร้อมกับถุงกระสอบบรรจุสมุนไพรกองใหญ่ในอ้อมแขนหอบเข้ามา