ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 47 รุกเข้าจูบ
ตอนที่ 47 รุกเข้าจูบ
“ช่างเถอะ เจ้ากลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เสีย”
ไป๋หลี่หานถอดถอนสายตา ทันใดนั้นก็โบกฝ่ามือใหญ่ปัดไป พูดมากไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นส่งแขกออกไปเสียตอนนี้ดีกว่า
จู่ๆ ก็ไล่ให้ไปโดยง่ายปานนี้? เซียถงมองหน้าไป๋หลี่หานเจือแววสงสัย ยืนนิ่งตั้งหน้าตั้งตาระแวงระวังตัวไม่เสียคลาย
“ยังไปได้อีก? หรือต้องการให้ข้าเชือดเจ้าทิ้งตรงนี้?”
ไป๋หลี่หานเหล่หางตามองสวนนางกลับไป แผดรัศมีอันตรายพวยพุ่งปะทุออกมาจากร่างในทันใด
เซียถงเฝ้าระวังจับจ้องอยู่สักครู่หนึ่ง พอเห็นว่า อีกฝ่ายปรารถนาเช่นนั้นจริง ก็หมุนตัวออกไปคว้ามือของอิ๋งเอ๋อร์ซึ่งยังยืนแข็งค้างอย่างกับรูปปั้นหิน ลากออกไปโดยทันที ก่อนลาจากออกไป นางหันมากลับทิ้งท้ายกับไป๋หลี่หานว่า
“คราวหน้าคราวหลัง ข้าจักต้องหาโอกาสตอบแทนเจ้าด้วยคมแสงจากปลายมีด!”
ความกตัญญูที่แท้จริงเป็นอย่างไร นางตระหนักชัดแจ้งดี ซึ่งในครั้งนี้กลับหาใช่!
ก่อนจะก้าวออกจากประตู เสมือนว่าเซียถงเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหลังไปถามอีกคราวว่า
“แล้วเห็ดหลินจือมรกตของข้าอยู่ไหน? มันเป็นของรางวัลสำหรับผู้ชนะมิใช่รึ?”
หากสุดท้ายนี้นางโดนโกงของรางวัลไป ก็มิต่างกับว่าการประลองที่นางทุ่มเทแรงกายแรงใจที่ผ่านมาเท่ากับเสียเปล่าหรอกรึ? นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้
“ในวันพรุ่งนี้จะมีคนไปส่งให้เจ้าถึงจวน”
ไป๋หลี่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย มองลอดบริเวณไหล่ปรายตามองนางเล็กน้อย
“ก็ดี”
เซียถงลากอิ๋งเอ๋อร์จากออกไปโดยตรง แต่ทันทีที่ก้าวออกจากเรือนดังกล่าวมาได้ นางก็ถูกสาวรับใช้ของตนที่เพิ่งได้สติวิ่งขวางหน้าทันที
“คุณหนู! เมื่อครู่…เมื่อครู่…ราชาหมาป่าสวรรค์จะ-จูบ…จูบท่านจริงๆ!? หรือว่า…หรือว่าอีกฝ่ายจะแอบชอบท่าน!!?”
อิ๋งเอ๋อร์คว้าเขย่าไหล่เซียถงเบาๆ สองสามที เอ่ยถามทั้งสีหน้าน้ำเสียงดูตื่นเต้นสุดขีด
เพิ่งมีคนมาจูบคุณหนูของนางต่อหน้าต่อตา จะอย่างไรอิ๋งเอ๋อร์ในยามนี้ดูตื่นเต้นใจสั่นเสียยิ่งกว่าเซียถงเมื่อครู่เสียอีก การกระทำของไป๋หลี่หานที่จู่ๆ ก็รุกหนัก ประกบจูบกับคุณหนูของนาง มันได้ทำเอาทั้งกายและใจของอิ๋งเอ๋อร์คนนี้สั่นสะท้าน ผลาญไหม้ถึงทรวงใน เสมือนวิญญาณเพิ่งหลุดลอย โบยบินอยู่กลางฟากฟ้าสูงลิบ ก่อนจะดิ่งทะยานย้อนกลับลงมาสู่ร่างจนฟื้คืนสติได้อีกครั้ง! นัยน์ตาคู่สวยฉายแววตื่นเต้นเป็นประกาย
ในที่สุด! ในที่สุดคุณหนูก็หาสามีได้แล้ว!
เซียถงกรอกตามองบนใส่ไปคราหนึ่ง ยามนี้รู้สึกคร้านใจเกินกว่าจะคุยกับอีกฝ่ายแล้ว เพราะจะอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเกินไป ใครจะไปเชื่อว่าจะมีผู้ใดบนผืนพิภพแห่งนี้ชอบรูปลักษณ์หน้าตาของนาง และอีกอย่าง ชายที่ชื่อไป๋หลี่หาน ก็มักจะมีทัศนคติแปลกๆ ต่อนางเช่นกัน ถึงอย่างไรจำต้องระวังตัวให้มากเข้าไว้ก่อนเป็นดี
“คุณหนู! ไหล่คุณหนู…มีเลือดออก!”
อิ๋งเอ๋อร์เหลือบไปเห็นบริเวณหัวไหล่ของเซียถง ถึงกับกรีดร้องออกมา สีหน้าท่าทางดูตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
เซียถงเหลือบสายตามองไปยังไหล่ข้างขวา ก่อนเห็นว่ามีรอยเลือดชุ่มเป็นดวงพร้อมกลิ่นคาว ก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่นางได้สติตื่นขึ้นมา ก็พบว่าบาดแผลทั่วทั้งเรือนร่างล้วนได้รับการปฐมพยาบาลหมดแล้ว แต่เนื่องจาก เมื่อสักครู่เข้าปะทะกับไป๋หลี่หานไปหนึ่งรอบเต็ม จึงทำให้บาดแผลเหล่านี้ปริฉีกจนทำให้เลือดไหลออกมาอีกครา
อย่างไรนางก็เคยชินกับอะไรพวกนี้นานแล้ว เมื่อก่อนก็มักจะเกิดเหตุการณ์อะไรเช่นนี้อยู่ตลอดในชีวิตก่อนหน้า เซียถงเพียงยกมือซ้ายปิดป้องบาดแผลมิให้เลือดไหลหยดลงมา และเดินทางกลับจวนนเสนาบดีตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตรงกันข้าม อิ๋งเอ๋อร์เดินติดตามพร้อมสีหน้าวิตกกังวลอยู่ตลอดทาง
กลับมาถึงเรือนพัก เซียถงก็เริ่มเปลี่ยนชโลมยาผงรักษาแผลลงทั่วทั้งร่างกาย และนำผ้าขาวสะอาดผืนใหม่มาเปลี่ยน จากนั้นนางก็ปีนขึ้นเตียง ขัดสมาธิเริ่มบำเพ็ญตบะ ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินจากโดยรอบเข้าสู่กายา ชักนำพลังหลายหลากระลอก มาแปรสภาพกลายเป็นลมปราณ พร้อมโคจรไปยังแขนขา ชโลมขั้วกระดูกและเส้นเอ็น ยามนั้นนางสัมผัสได้ทันทีถึงกระแสความอบอุ่นที่คลุมครอบร่างกาย บาดแผลที่อยู่ตามจุดต่างๆ ได้รับการฟื้นฟูขึ้นทีละเล็กละน้อย เซียถงค่อนๆ ระดมพลังเข้ากักเก็บจนอิ่มเอิบ บ่มเพาะความแข็งแกร่งให้ทวีเหนือชั้นขึ้นไปอีก
เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มที่เซียถงใช้เวลาไปกับการบำเพ็ญตบะ หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา และลองโคจรลมปราณให้หมุนติ๋วทั่วกายาดู นางก็รู้สึกได้ทันทีถึง พละกำลังอันเต็มเปี่ยมที่กำลังพลุ่งพล่านดั่งกระแสสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล สภาพจิตใจเบิกบาน สภาพร่างกายฟื้นตัวได้ดีเกือบเป็นปกติแล้ว
พอเปิดประตูเรือนเดินออกมา ก็พบว่าอิ๋งเอ๋อร์นั่งกอดเข่าตัวเอง หัวพิงแพงหลับอยู่ ขอบตาค่อนข้างคล้ำดำ จะเห็นได้ว่า อีกฝ่ายคงปฏิบัติหน้าที่เฝ้ายามอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน เห็นดังนั้น เซียถงจึงย้อนกลับไปหยินผ้านวมภายในเรือน และนำมาห่มให้อีกฝ่าย จากนั้นค่อยหมุนตัวเดินจากออกไป
ตรงถึงโรงครัวเพื่อหยิบอาหารมารับประทาน ขณะที่กำลังกินอยู่นั้น เซียถงก็พลางคิดจินตนาการกับตัวเองไปว่า เซี่ยหลู่เฟิงจะปั้นสีหน้าอย่างไรเมื่อเห็นกระบี่สุดรักสุดหวงที่ให้นางยืม แตกหักเป็นสองเสี่ยง? รู้สึกว่าระหว่างการประลอง เขาจะมีภารกิจด่วนที่ต้องออกไปทำ พอกลับมาคงตกใจหน้าดู ยามนี้นางถึงกับเงยหน้าเหม่อมองแผ่นฟ้ายามมืดมิด ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดมิได้จริงๆ แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงของเสี่ยวฮั่วดังก้องขึ้นมาในห้วงความคิด
“นายท่าน วันนี้ ท่านมีนัดหมายจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณ”
เซียถงเพิ่งนึกขึ้นได้ วันนั้น ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาได้กล่าวกับนางเอาไว้ วันมะรือเขาต้องการยืมมือเซียถงเพื่อจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นคืนนี้พอดิบพอดี คิดได้ดังนั้น นางรีบกลับเข้าไปในเรือนพัก เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเป็นสีดำสนิท ย่องเบาปีนกำแพงออกจากจวนเสนาบดีโดยไว เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดที่เคยนัดหมายเอาไว้กับชายสวมหน้ากากคนนั้นเมื่อคืนก่อน
เมื่อไปถึงด้านในป่าสน เซียถงก็พบเห็นชายผู้หนึ่งในชุดกี่เพ้าโบราณยืนสง่าอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นวลแต่ไกล ซึ่งแสงจันทร์ยามนี้ส่องประกายลงบนหน้ากากลายคลื่นเมฆาสีเงิน ทอแสงระยิบระยับ แต่สิ่งที่งดงามที่สุดคงหนีไม่พ้น นัยน์ตาคู่นั้นของเขา มันช่างใสบริสุทธิ์และงดงามเหนือสรรพสิ่งใด ผมพาดยาวบนแผ่นหลัง ท่าทางการแสดงออกดูหยิ่งผยอง ทรงบารมีสัมผัสได้อย่างชัดแจ้ง
เซียถงซ่อนตัวอยู่ในเงามืดไม่ใกล้ไม่ไกลห่าง เฝ้ามองสำรวจอีกฝ่ายอยู่สักครู่หนึ่ง หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า บนกายาของเขาปราศจากรัศมีจิตสังหารใดๆ แผ่ซ่านออกมา ยามนั้นค่อยปรากฏตัว เดินแช่มออกไปหาเขา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ชายคนนั้นหันศีรษะมามอง แลเห็นเซียถงที่กำลังย่างเท้าก้าวแช่มเข้ามาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ไสวดุจสายธารพิรุณ ยามนั้นค่อยชักมุมปากกระตุกยิ้มขึ้นแผ่วอ่อน ก้าวย่างตรงไปหานางเช่นกัน
“แล้วลูกน้องเจ้าล่ะ?”
เซียถงกวาดสายตามองไปโดยรอบปราดหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับไม่เห็นใครสักคน
“เจ้ากับข้าก็เกินพอ คนยิ่งเยอะยิ่งยุ่งยาก”
ชายคนนั้นจ้องมองใบหน้าของเซียถง ปริปากเอ่ยตอบกลับไป นัยน์ตาไสวทอประกายวูบวาบ เคลื่อนหยุดมองบริเวณไหล่ขวาของนาง ราวกับกำลังอยากรู้อะไรสักอย่าง
“มิใช่ว่าที่เจ้าขอให้ข้าช่วยเหลือเพราะกำลังคนไม่พอหรอกรึ?”
คำกล่าวประโยคเมื่อครู่ของเขา ได้ปลุกกระตุ้นต่อมความระแวดระวังของเซียถงขึ้นในทันใด เมื่อคืนก่อนหน้า จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายชักชวนตนเป็นเพราะกำลังคนจับสัตว์อสูรไม่เพียงพอ แต่ไฉนตอนนี้ดันกลับคำ พูดจาย้อนแย้งไปหมด?
ซึ่งนี่ทำให้เซี่ยถงเริ่มสงสัยในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ”
สายตาที่มองลอดผ่านหน้ากากเป็นประกายสว่างไสว ราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของเซียถงเลยสักนิด เพียงส่งยิ้มให้และหมุนตัวเดินออกไปโดยปราศจากคำอธิบายใดๆ
เซียถงเดินติดตามอยู่ท้ายหลังของเขา ทั้งนี้พยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ประมาณหลายช่วงตัว เพียงเพราะหากเข้าใกล้กว่านี้ นางอาจไม่สามารถมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของชายคนนี้ได้ชัดเจนนัก
จงอย่ามีจิตคิดร้ายกับผู้อื่น แต่ขณะเดียวกัน ก็จงพึงระวังผู้อื่นที่อาจมีจิตคิดร้ายกับเรา!
หุบเขาป่าสนที่ทั้งสองกำลังเดินสำรวจอยู่ในขณะนี้ มีชื่อว่า หุบเขาจันทรา ถือเป็นสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม จึงมักจะมีป้ายหลุมศพของเหล่าบรรพชนจากตระกูลใหญ่มากมายถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้ ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆานำพาเซียถงเดินผ่านบรรดาสุสานหลากหลายแห่ง และยังคงเดินตรงเข้าไปลึกต่อเนื่อง ณ ใจกลางหุบเขา
ณ ใจกลางหุบเขาจันทรา มีทะเลสาบขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่ถูกเรียกว่า ทะเลสาบจันทรา และจุดหมายของชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาคนนี้ก็คือที่นี่ พอมาถึงยิ่งเกิดคำถามและข้อสงสัยมากมายภายในใจของเซียถง เมื่อคืนก่อน ไม่ใช่ว่าทั้งนางทั้งเขาก็เคยเดินสำรวจที่แห่งนี้ไปแล้วตั้งสองสามรอบหรอกรึ? แล้วมาซ้ำที่เดิมเช่นนี้ แล้วจะไปหาสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นเจอได้อย่างไร?
“เจ้าทราบหรือไม่ว่า สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นอยู่ที่ใด?”
“สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นมักจะปรากฏตัวจากในทะเลสาบจันทราแห่งนี้”
ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆากล่าวตอบวาจาหนักแน่น
เซียถงถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง เดินติดตามเบื้องหลังของเขาอย่างเงียบงัน ต้นไม้ยักษ์ใหญ่พฤกษาหลากชนิดขึ้นสูงปกคลุมน่านฟ้า เป็นบางจุด ผืนดินอุดมสมบูรณ์พินิจได้จากสีสันความเข้ม และเส้นทางลึกลับซับซ้อนภายในป่าลึกแห่งนี้ก็ยังทอดยาวออกไปไร้สิ้นสุด บรรยากาศยามรัตติกาลช่างเงียบสงัด เว้นเสียแต่เสียงของสายลมปลิดปลิว ก็จะได้ยินแค่สุ้มเสียงฝีเท้าของคนสองคน
แต่อย่างไรก็ตาม เซียถงกลับสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่นัก เกรงว่าคืนนี้อาจจะมีศึกสัประยุทธ์เดือดเกิดขึ้นในป่าลึกแห่งนี้