ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 470 การลอบสังหารจากสารทิศ (2)
ตอนที่470 การลอบสังหารจากสารทิศ (2)
ตอนที่470 การลอบสังหารจากสารทิศ (2)
นางวางกระสอบสมุนไพรเหนือหินก้อนแบน มือข้างหนึ่งขยับเข้าล่วงอยู่ทีสองที เลือกสรรสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมาและวางบนแผนหิน เพลิงพิภพเก้าดุษณีลุกโชติช่วง สั่นไสวเริงระบำอยู่บนฝ่ามือ นางเริ่มกระบวนการหล่อหลอมสมุนไพรเหล่านั้นทันที เนื่องด้วยสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีเตาสำหรับหลอมกลั่นโอนถ จึงทำได้เพียงสำแดงใช้เพลิงพิภพเก้าดุษณีเข้าแผดเผาสมุนไพรโดยตรง กล่าวคือเป็นการหลอมกลั่นโอสถแบบดั่งเดิม
ไม่นานนัก เพลิงพิภพเก้าดุษณีก็ถูกเก็บกลับกายของนางดังเดิม บนแผ่นหินก้อนแบนถูกเผารนจนกลายเป็นสีดำ บนนั้นปรากฏโอสถรูปทรงประหลาดตาอยู่สองสามเม็ด
จำนวนสองเม็ดมอบแก่ชิงเยวี่ย ส่วนที่เหลือให้กับโม่ซวน
“นี่เป็นโอสถห้ามเลือด ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและมีฤทธิ์บำรุงลมปราณเบื้องต้น รีบกินมันเข้าไปแล้วดูดซับฤทธิ์โอสถเสีย”
สายตาของเซียถงดูเย็นยะเยือกจับขั้วกระดูก แม้แต่ชิงเยวี่ยก็ไม่เคยพบเคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน
เขาขมวดคิ้วถักแน่น
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
ในบรรดาทั้งหมด จะมีก็เพียงชิงเยวี่ยเท่านั้นที่ทราบว่า เซียถงจะแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาเฉพาะยามที่รู้สึกถึงภัยอันตราย
เซียถงยื่นถ้วยน้ำสะอาดส่งให้โม่ซวนดื่มกิน พลางชำเลืองสายตาเย็นเยียบมองไปทางสองพี่น้องตระกูลเค่อ
“ข้ามิอาจทราบได้เลยว่า องค์จักรพรรดิซีฉินตั้งใจจะทำอะไรอยู่กันแน่? บัญชาสี่พิภพเป็นสมบัติล้ำค่าเสียจนผู้คนทั่วทั้งทวีปเทียนหลางบ้าคลั่งกันไปหมด ไม่มีใครมิปรารถนาในเจ้าของสิ่งนี้ และข้าเองก็มั่นใจ องค์จักรพรรดิซีฉินเองย่อมตระหนักทราบถึงจุดนี้ดีไม่ผิดเพี้ยน แต่ไม่น่าแปลกไปหน่อยรึ? ที่ส่งพวกเจ้ามาแค่สองคน? หรือมันวางแผนส่งพวกเจ้ามาตายตั้งแต่แรก?”
ทุกคนล้วนทราบกันถ้วนหน้าว่า นางกำลังมุ่งสู่หุบเขาคุนหลุนเพื่อนำบัญชาสี่พิภพกลับมา และถึงแม้เซียถงจะไม่รู้จักเจ้าสิ่งที่เรียกว่า บัญชาสี่พิภพ แต่นั่นมิได้หมายความว่า นางจะไม่สามารถตระหนักได้ถึงความสำคัญของมัน ในทางตรงกันข้าม นางรู้ซึ้งดีเยี่ยมแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันสำคัญมากเสียจนทุกคนในทวีปเทียนหลางยอมเป็นศัตรูกับนางเพื่อเจ้าสิ่งนี้สิ่งเดียว ดังนั้น องค์จักรพรรดิซีฉินหรือจะไม่ทราบว่า เจ้าสิ่งนี้จะแรงดึงดูดต่อความโลภของผู้คนมหาศาลเพียงใด? แต่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ มันก็ยังส่งแค่สองพี่น้องตระกูลเค่อให้มาร่วมเดินทางติดตามพร้อมกับนาง มิหนำซ้ำยังปล่อยให้ชิงเยวี่ยที่ไม่มีพลังต่อสู้ใดๆมาร่วมคณะด้วยอีก! เว้นเสียแต่องค์จักรพรรดิซีฉินเป็นพวกปัญญาอ่อนสติไม่สมประกอบ มันก็จงใจส่งพวกนางทั้งหมดมาตายชัดๆ!
สองพี่น้องตระกูลเค่อปั้นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักเมื่อได้ยินเซียถงกล่าวเช่นนี้
“อันที่จริง พวกเราเองก็นำกำลังเสริมติดตามเข้ามาเช่นกัน เฉพาะยามที่เกิดเภทภัยเท่านั้น พวกเราจะค่อยส่งสัญญาณเรียกตัวออกไป ซึ่งนี่ก็ผ่านมาวันกว่าแล้วนับตั้งแต่ส่งสัญญาณไป แต่กำลังเสริมก็ยังไม่มาถึง เกรงว่าอาจจะ…”
เซียถงหยิบเหรียญตราสีทองแดงชิ้นหนึ่งจากแขนเสื้อ แล้วโยนให้เค่อฮั่ว
“กำลังเสริมที่เจ้าว่ามา พกของสิ่งนี้ด้วยกระมัง?”
เค่อฮั่วตาโตเบิกกว้างอย่างสุดจะเหลือเชื่อทันทีที่เห็นสิ่งนี้ เขาร้องอุทานขึ้นว่า
“เจ้าไปเอามาจากไหน?!”
“ตอนที่ข้าออกไปเสาะหาสมุนไพรเมื่อครู่ บังเอิญเจอกองศพกว่าร้อยชีวิตนอนลอยคออยู่แถวริมบึง ข้าจึงสุ่มหยิบมาจากศพร่างหนึ่ง”
สองพี่น้องตระกูลเค่อหันขวับสบตากันด้วยความตื่นตูมสุดขีด กองกำลังเสริมของพวกเขาที่นำมาด้วยล้วนถูกกำจัดทิ้งโดยสิ้นหมดแล้ว!
“วูวว!”
หมาป่าร่างยักษ์สีขาวทั้งสี่ตนลุกขึ้นยืนสี่ขาในทันใด มีตัวหนึ่งวิ่งมาซุกไซ้ที่ต้นขาของเซียถงอย่างแรงหลายที ราวกับพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับนาง
เสี่ยวฮั่วร้องอุทานลั่นผ่านห้วงความคิดของนางว่า
“นายท่าน! หมาป่าเหมันต์กำลังบอกว่า ห่างออกไปสิบลี้กำลังมีคนมุ่งหน้ามาทางนี้!”
เซียถงหรี่ตาคับแคบลงหนึ่งส่วน เร่งล้มตัวนอนมอบพร้อมหลับตาใช้หูแนบติดอยู่กับพื้น มุ่งสมาธิทั้งหมดลอบฟังเสียงอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ นางพยุงตัวลุกขึ้นยืน เหลือบมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของตน พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส หากต้องเปิดฉากสัประยุทธ์ขึ้นอีกครา เกรงว่าโอกาสชนะแทบเป็นศูนย์ แต่ก่อนอื่นก่อนใด นางต้องการใช้ประโยชน์จากจังหวะนี้ ชิงฆ่าสองพี่สองตระกูลเค่อไปก่อนเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป แต่หากนางตัดสินใจลงมือ ก็เท่ากับว่างชิงเยวี่ยที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ก็อาจถูกฆ่าได้ในภายภาคหน้าเช่นกันเนื่องจากไม่มีคนคอยปกป้องอีกต่อไป
นางขมวดคิ้วแน่นครุ่นพินิจกับตัวเองอย่างหนัก และเสี้ยวพริบตาถัดมา พลันปรากฏมีดสั้นเลื่อนสอดลงบนฝ่ามือ นางยกคมแหลมเข้าลุจ่ออยู่กลางคอหอยของเค่อฮั่ว ต่อหน้าภาพฉากการแปรเปลี่ยนกะทันหันเช่นนี้ ทุกคนที่ไม่ทันตั้งตัวล้วนเกิดอาการตื่นตูมโดยทั่วกัน
“เซียถง เจ้าจะทำอะไร?!”
เมื่อได้ยินชิงเยวี่ยเรียกชื่อจริงของเซียถงหวนๆเช่นนี้ โม่ซวนก็ชักสีหน้าไม่พอใจ คำรามเสียงดุขึ้นว่า
“องค์รัชทยาทชิงเยวี่ย ท่านไม่ควรเรียกชื่อสกุลนายหญิงโดยตรงเช่นนี้!”
ประกายตาเย็นเยียบของเซียถงแพรวไสว ส่องสะท้อนแววอำมหิตเข้มข้นไร้ก้นบึ้ง จับจ้องเค่อฮั่วเขม็งเป็นมันพร้อมกล่าวว่า
“อย่าคิดว่ามีพลังฝีมือลุถึงขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้นแล้วจะสามารถอะไรก็ได้ หากข้าผู้นี้ต้องการฆ่าทิ้ง ยอมทำได้ไม่ยากเย็น อย่าคิดเล่นลูกไม้ไร้สาระกับข้า และจงฟังสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้ให้จงดี หนึ่งอย่าคิดล้อเล่นกับข้า สองไม่ต้องส่งข่าวใดๆรายงานแก่นายของเจ้าแล้ว และสามจงพึงทราบเอาไว้ว่า สิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด!”
ขณะเดียวกัน คมมีดเย็นเสียบก็ค่อยๆเจาะทะลุผิวหนังเคลื่อนลงลึก ราวกับต้องการทะลวงขั้วหัวใจเอากันให้ตาย! เค่อฮั่วมองผ่านอ่านแววอำมหิตในดวงตาเซียถงออกในหนึ่งปราด เขาหาได้กังขาสงสัยในสิ่งที่นางพูดไม่!
ต่อหน้าตำเตือนของเซียถง เค่อฮั่วล้วนเข้าใจทั้งหมดดี! ย้อนกลับไป เนื่องจากองค์จักรพรรดิซีฉินเกิดตั้งข้อสงสัยขึ้นมาว่า เซียถงเป็นนักอัญเชิญอสูรด้วยหรือไม่? เพราะนางสามารถสังหารแม่ทัพหลินได้ ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องผิดสังเกตเกินไป
แม่ทัพหลินถือเป็นนักอัญเชิญอสูรผู้เจนจัดมากประสบการณ์คนหนึ่ง และถึงแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะนางได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็ควรหยิบใช้สัตว์อสูรใต้อาณัติบัญชาให้เป็นประโยชน์เพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ไม่ยากเลย ทว่าสุดท้ายนี้ เขาก็ยังสิ้นชีพลงในเงื้อมมือของเซียถงอยู่ดี เนื่องด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้คนหลากหลายฝ่ายอดตั้งข้อสงสัยมิได้ว่า
สรุปแล้ว นางเองก็เป็นนักอัญเชิญอสูรเช่นกันหรือไม่? และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ด้วยจำนวนฝูงสัตว์อสูรขนาดนั้น หรือนางจะเป็นถึงนักอัญเชิญอสูรผู้ครอบครองตราผนึกระดับชั้นจักรพรรดิฟ้า?
เพราะแบบนั้น องค์จักรพรรดิซีฉินจึงมีพระราชโองการลับ สั่งการให้สองพี่น้องตระกูลเค่อลอบทกสอบพลังที่แท้จริงของเซียถงมาดูเพื่อไขความจริง ทว่าตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตรกลับหัวกลับหาง หากมิใช่เพราะเซียถงที่ยังเห็นแก่หน้าชิงเยวี่ยอยู่บ้าง ปานนี้พวกเขาสองพี่น้องคงกลายเป็นศพนานแล้ว!
นางคงไม่ไว้ชีวิตจวบจนตอนนี้แน่นอน!
เค่อฮั่วที่ได้ยินเงื่อนไขเชิงบังคับเช่นนั้นจากปากเซียถง เขาก็ดูเบือนหน้าอับอายอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ยอมพยักหน้าตอบไป!
เซียถงถอนคมมีดสั้นชักออกมา เหลือบหางตามองเงาฝูงชนแต่ไกลที่โหมทะลักทลายเข้ามาทางนี้ เพียงนางโบกมือขึ้นกลางอากาศทีหนึ่ง หมาป่าเหมันต์ทั้งสี่ตนที่ยืนตั้งท่าเตรียมพร้อมก็ปราดพุ่งฝุ่นตลบออกไปดุจสายลม
ชิงเยวี่ยยังตื่นตกใจไม่หายกับภาพฉากเมื่อครู่ระหว่างเซียถงกับเค่อฮั่ว เขากล่าวขึ้นว่า
“นี่หมายความเยี่ยงไรรึ?!”
“นายท่านชิงเยวี่ย อย่าเพิ่งเอ่ยถามให้มากความเสีย รอเรื่องทุกอย่างจบลงก่อนค่อยทักทาม แต่จากนี้ต่อไป ทั้งข้าและเค่อมู่คงขอตัวปลีกวิเวกอยู่อาศัยในป่าเขาลำเนาไพร พวกเราสองพี่น้องจะไม่เหยียบย่างเข้าจักรวรรดิซีฉินแล้วเด็ดขาด!
ปลายเท้าดีดเด้ง เซียถงกลายร่างเป็นสายฟ้าเหินทยานดุจลมหมุนพายุคลั่ง ขณะลู่ลมพุ่งเข้าประจัญบานกับฝูงชนตรงหน้า นางสื่ออจิตเรียกเสี่ยวฮั่วผ่านห้วงความคิด
“เสี่ยวฮั่ว พอจะประเมินขุมพลังของอีกฝ่ายได้หรือไม่?”
เสี่ยวฮั่วปลดปล่อยดวงแสงสีม่วงพร่างพรายปกคลุมทั่วห้วงความคิดของเซียถง ไม่นานเกินรอมันจึงกล่าวว่า
“อีกฝ่ายมีทั้งหมดเจ็บสิบคน พลังต่อสู้ต่ำสุดในบรรดาพวกมันอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นสูง โดยส่วนใหญ่อยู่ในขอบเขตราชันย์ม่วง และมีอีกสามคนอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้น! นายท่าน ขุมพลังความแข็งแกร่งระหว่างฝ่ายเรากับศัตรูแตกต่างกันค่อนข้างมาก!”
เซียถงครุ่นคิดอยู่สักพัก หนึ่งชั่วความคิดเคลื่อนขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นพลันปรากฏวงแหวนพลังแสงแวววับขึ้นบนแขนของนาง ธารแสงหลากสายนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา ปรากฏเป็นสัตว์อสูรกว่าหลายสิบตนอยู่ข้างกาย พวกมันมีทั้งคมเคี้ยวและกรงเล็บแสนดุร้าย ใบหน้าเหี้ยมโหดพร้อมฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง พวกมันเหล่านี้ล้วนมีแต่เป็น สัตว์อสูรวิญญาณจารย์ชั้นปลายทั้งสิ้น!
เซียถงยิ้มกระหยิ่ม สื่อจิตหาเสี่ยวฮั่วอีกครั้งว่า
“แล้วคราวนี้ล่ะ? โอกาสชนะมีสักเท่าไหร่?”
เมื่อเห็นว่าเซียถงอัญเชิญฝูงสัตว์อสูรมาตั้งมากมายปานนี้ เสี่ยวฮั่วก็ตาเป็นประกายแพรวพราว กล่าวถามน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นว่า
“นายท่าน หรือคิดจะเปิดเผยตัวตนของท่านในฐานะผู้อัญเชิญอสูรแล้ว?”
เซียถงส่ายหัวปฏิเสธ ตอบกลับพร้อมสายตาอันเหี้ยมเกรียมว่า
“คนตายเปิดโปงความลับมิได้!”