ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 471 จวิ๋นเส้า (1)
ตอนที่471 จวิ๋นเส้า (1)
ตอนที่471 จวิ๋นเส้า (1)
เซียถงตีฝีเท้าสับออกไปท่ามกลางผืนป่าลวดหนามทั่วผืนดิน กระแสลมปราณสีม่วงควบแน่นอยู่บนสองบาทา ทำให้ความว่องไวของนางมิได้อ่อนด้อยไปกว่าสัตว์อสูรใต้บัญชาที่เรียกอัญเชิญออกมาแม้แต่น้อย พวกมันเหล่านั้นวิ่งทะยานอยู่เคียงข้างนาง
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆนางก็หยุดชะงักลง เปิดห้วงมิติอสูรออกมาในทันใด ปรากฏเป็นเสือดาวเมฆาทมิฬทั้งสี่ตนที่พุ่งกระโจนออกมาจากห้วงลึก
“นายท่าน คิดจะทำอันใดรึ?”
“จัดทัพสร้างกลยุทธ์!”
ได้ยินเช่นนั้น น้ำเสียงของเสี่ยวฮั่วก็ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านสามารถจัดทัพสัตว์อสูรได้ด้วยงั้นรึ?”
“ข้าเองไม่รู้ สู้ลองกับคนพวกนี้เลยไม่ดีกว่ารึ?”
ภายใต้ประสาทการรับรู้ของเสี่ยวฮั่ว เซียถงพึงสัมผัสได้ตั้งแต่เช้าแล้วว่า กำลังมีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นางจึงเริ่มเตรียมการวางแผนแต่เนิ่น นิ้วทั้งห้าของนางเรืองแสงสีขาวส่องประกายขึ้นแพรวพราว สักครู่หนึ่งเส้นแสงเหล่านั้นก็ไหลลงมาประกอบกลายเป็นรอยสักคล้ายแหวน ก่อนจะหลุดลอยขึ้นกลางอากาศอัญเชิญค้างคาวจำนวนหนึ่งออกมา
พวกมันทั้งหมดที่อัญเชิญออกมาก็คือค้างคาวจิตมาร เหล่านั้นได้กระจายตัวบินออกไปตามคำสั่งการของเซียถง ไม่ว่าพวกมันจะโบยบินไปยังทิศทางใด บรรดานกแถวนั้นต่างตีปีกบินหนีกันให้พรึบ
คล้ายสังเกตเห็นพฤติกรรมผิดปกติของฝูงนกในป่ากระจัดกระจาย ผู้นำกลุ่มศัตรูยกมือขึ้นหยุดในทันใด กำลังทัพที่อยู่ท้ายหลังต่างหยุดทุกการเคลื่อนไหวตาม บรรยายกาศผันแปรเป็นเงียบสงัดในบัดดล
“ฝูงนกกำลังตื่นกลัว อาจมีการดักซุ่มโจมตีอยู่เบื้องหน้า”
ทอดสายตามองผืนปากอันสงัดเงียบเบื้องหน้า ชายผู้นำกลุ่มสวมผ้าพันคอสีดำปิดคลุมใบหน้าเอาไว้ พึงเห็นแค่แววตาอันสงบนิ่งเป็นพิเศษ
เซียถงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนักในเงามืดมิด จับสังเกตชายที่เป็นผู้นำคนนั้นเอาไว้ไม่แลเหลียว รอยยิ้มอำมหิตแสยะขึ้นบนมุมปาก
“จวิ๋นเส้า ควรทำเช่นไรต่อไปดี?”
ผู้ใต้บัญชาที่ติดตามท้ายหลัง ตบเท้าก้าวออกมาไถถาม
ชายสวมผ้าดำปิดหน้าคนนี้มีชื่อว่าจวิ๋นเส้า เขาใช้จมูกสูดดมกลิ่นอยู่สักครู่ค่อยกล่าวว่า
“กลิ่นเช่นนี้คล้ายกลิ่นสาบสัตว์อสูร สถานการณ์ไม่ดีนักแล้ว ทุกคนระวังตัวให้ดี! หงอวี๋ นำกองหนึ่งกับสองออกไปลองสำรวจดูก่อน!”
อิสตรีในชุดแดงนางหนึ่งโบกมือเรียกกองคนจำนวนหนึ่ง นางมุ่งหน้าเดินออกไปกับกลุ่มคนเหล่านั้นโดยรวมนับได้สิบสองถ้วน
เซียถงมองดูพวกกลุ่มนี้ที่แยกตัวออกมาสำรวจอย่างระมัดระวัง พวกนั้นกำลังตรงไปถึงกับดักซุ่มโจมตีจุดแรกที่นางเตรียมเอาไว้ก่อนหน้า เพียงเม้มปากส่งเสียงนกหวีดกรีดแหลมออกไป พริบตาต่อมาก็ได้ยินเสียงบางสิ่งอย่างเคลื่อนผ่านแผ่วเบา ทันใดนั้น ก็มีฝูงอสรพิษสีครามน้ำทะเลกว่าหลายสิบตัวเลื่อยออกมาจากทั่วทุกสารทิศ เข้าปิดล้อมกลุ่มของหญิงในชุดแดงทันที ศัตรูติดกับอยู่ในวงล้อม อสรพิษสีครามน้ำทะเลเหล่านั้นแผ่แม่เบี้ย ฉีกปากแยกคมเขี้ยวดุจบ่อโลหิตเขมือบ พวกมันทั้งหลายกำลังส่งสัญญาณว่าพร้อมโจมตี
อสรพิษเหล่านี้ถูกเซียถงผนึกกลายเป็นสัตว์อสูรวิญญาณภายใต้อาณัติของนางในระหว่างเดินสำนวจหุบเหวเทียมฟ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกมันเหล่านี้ถูกเก็บอยู่ในห้วงมิติอสูรของนาง และในปัจจุบันก็ถึงเวลาออกโรงแล้ว
เมื่อเห็นฝูงอสรพิษหลายหลากทะลักทลายเข้ามา หงอวี๋พลันใจหายวาบ นางเปิดฉากฉับพลัน รีบชักกระบี่คมแหลมฟันสะบั้นศีรษะของมันตัวหนึ่งโดยไม่พูดไม่จาใดๆ ทว่าอย่างไร เสี้ยวพริบตาก่อนคมกระบี่จะตัดศีรษะ อสรพิษตัวนั้นก็อันตรธานวับไปจากเส้นสายตา กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สัมผัสได้ถึงกระแสความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านทั่วข้อเท้า เมื่อกดสายตามองมาก็พบว่า อสรพิษตนนั้นแยกเขี้ยวเข้าฉกตาตุ่มของนางเสียแล้ว
กระแสความเจ็บปวดเกินพรรณนาระเบิดคลั่งไปทั่วร่างกายของนางในทันใด
คู่เข่าหงอวี๋ทรุดหวบลงกับพื้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงใดๆ
ทันทีที่เห็นเงาร่างอรชรในชุดสีแดงล้มกองอยู่แทบเท้า จวิ๋นเส้าเร่งรุดทพยานเข้าสนับสนุนโดยไว รีบฉีกชายกระโปรงแพรพรรณสีแดงออก พร้อมป้อนโอสถขับพิษในขณะเดียวกัน ก่อนจะเร้าเร่งกระแสลมปราณกรอกเทเข้าร่าง เพื่อช่วยบังคับขับพิษออกจากข้อเท้าของหงอวี๋อีกแรง
เมื่อเห็นทักษะการขับพิษของสัตว์อสูรที่ดูช่ำชองของอีกฝ่าย เซียถงที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดพลันขมวดคิ้วหรี่ตาเล็กน้อย ชายผู้นี้มิควรรับมือได้โดยง่ายอย่างที่คิดไว้! เสี่ยวฮั่วยังกล่าวเพิ่มเสริมในห้วงความคิดของเซียถงอีกว่า
“นายท่าน แม้ระดับลมปราณของชายคนนี้จะเพิ่งทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตราชันย์ม่วง ทว่าเขาเองก็มีตราผนึกจักรพรรดิฟ้าเฉกเช่นเดียวกับท่าน!”
“อีกฝ่ายเป็นนักอัญเชิญอสูรเช่นกันงั้นรึ?”
คล้อยหลังสังเกตอยู่สักครู่ใหญ่ เสี่ยวฮั่วได้ข้อสรุปในท้ายที่สุด มันรีบกล่าวกับนางทันทีว่า
“นายทาน ไม่ดีแล้ว! อีกฝ่ายมีตราผนึกจักรพรรดิฟ้าจริงๆ! แถมยังเป็นนักอัญเชิญอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!”
หลังเข้ารับการฝึกปรือภายใต้คำชี้แนะจากเสี่ยวฮั่วมาหลายวัน ในปัจจุบัน เซียถงได้บรรลุกลายมาเป็น นักอัญเชิญอสูรระดับวิญญาณจารย์ชั้นปลายแล้ว และกำลังทะลวงขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ในอีกไม่ช้า จากสิ่งนี้สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า พัฒนาการของนางไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
อย่างไรก็ตามแต่ ระดับความแข็งแกร่งของนักอัญเชิญอสูรมิได้สอดคล้องกับระดับพลังลมปราณในเส้นทางการบำเพ็ญตบะ ศาสตร์ทั้งสองแขนงถูกแยกออกเป็นเอกเทศจากกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ไม่จำเป็นเสมอไปที่ยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงผู้สามารถเป็นนักอัญเชิญอสูรได้ จะประสบความสำเร็จในเส้นทางของนักอัญเชิญอสูร ในทางตรงข้าม ก็ไม่ใช่เสมอไปเช่นกันที่ นักอัญเชิญอสูรเก่งกาจจะมีระดับชั้นลมปราณที่สูงส่ง
ความแข็งแกร่งของนักอัญเชิญอสูรสามารถแบ่งได้เป็นหกระดับ ชื่อชั้นจะเหมือนกับระดับของสัตว์อสูรได้แก่ นักอัญเชิญอสูรระดับสัตว์ป่า, นักอัญเชิญอสูรระดับปราณ, นักอัญเชิญอสูรระดับปราณวิญญาณ, นักอัญเชิญอสูรระดับวิญญาณจารย์, นักอัญเชิญอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ และนักอัญเชิญออสูรระดับบรรพกาล หรือนักอัญเชิญเทพอสูร
แต่ละระดับขอบเขตย่อมมีขั้นแยกย่อยเช่นกัน แบ่งได้อีกสามชั้นได้แก่ ชั้นต้น, กลางและปลาย
เช่นนั้นแล้ว ระดับชั้นของนักอัญเชิญอสูรมันสำคัญไฉน? กล่าวคือ ยิ่งระดับชั้นนักอัญเชิญอสูรเหนือชั้นขึ้นเท่าไหร่ ทั้งในด้านจำนวนความจุและด้านขีดจำกัดความแข็งแกร่งของอสูรที่สามารถทำสัญญาได้ก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ตัวอย่างก็เช่นเซียถงในปัจจุบันที่เป็นนักอัญเชิญอสูรระดับวิญญาณจารย์ชั้นปลาย ขีดจำกัดความแข็งแกร่งสูงสุดของสัตว์อสูรที่นางสามารถผนึกและควบคุมได้ก็คือ สัตว์อสูรวิญญาณจารย์ชั้นปลาย ส่วนในด้านจำนวนก็จุได้กว่าร้อยตัว และหากต้องการให้ห้วงมิติอสูรเพิ่มขนาดความจุดและขยายขีดจำกัด ก็จำเป็นต้องขัดเกลาให้ตราผนึกอสูรที่มีอยู่ให้แกร่งกล้ามากขึ้น ในกระบวนการนี้ก็จะคล้ายกับการเลื่อนระดับชั้นพลังลมปราณของผู้บำเพ็ญตบะทั่วไป แต่อย่างไร เรื่องเช่นนี้หาใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
ได้เสียงสั่นเครือของเสี่ยวฮั่ว
ในทวีปเทียนหลาง รองลงมาจากนักหลอมโอสถ ก็เป็นอาชีพนักอัญเชิญอสูรที่หายากที่สุดแล้ว แม้ว่าบางคนไม่ต้องการพรสวรรค์นี้ แต่บทจะตื่นมันก็ตื่นขึ้นเองโดยปราศจากสัญญาณบงชี้ใดๆ หรือกระทั่งบางคนที่พยายามชั่วชีวิตก็ไม่สามารถปลุกพรสวรรค์ดังกล่าวให้ตื่นขึ้นได้ก็ยังมี
จึงมีคำเล่าขานเอาไว้ว่า เฉพาะผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น สรวงสรรค์จึงจะประทานพรสวรรค์นี้ให้!
จวิ๋นเส้าถอดผ้าคลุมหน้าสีดำออกมาและใช้พันแผลบนข้อเท้าของหญิงในชุดแดงเสร็จสรรพ เขาก็ชำเลืองสายตามองบรรดาอสรพิษที่อยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นรอยยิ้มแสยะเย็นก็ปรากฏขึ้นบนมุมปากของเขา
“เช่นนี้ก็แปรพักตร์พวกมันให้เป็นพวก!”
กล่าวจบ ก็พลันปรากฏแสงสีขาวสว่างแพรวพราวจากบนฝ่ามือของเขา สองมือพัลวันประกอบท่ามืออย่างช่องชำชาญหลอมสร้างกลายเป็นตราผนึกที่ทรงพลังวงหนึ่ง จากนั้นก็ผลักลอยเข้าใส่ศีรษะของอสรพิษเหล่านั้น หวังประทับตราผนึกทับเจ้าของเดิมโดยตรง
สีหน้าการแสดงออกของเซียถงแปรเปลี่ยนในบัดดล สัตว์อสูรวิญญาณในใต้อาณัติของตนเองกำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นของอีกฝ่ายแล้ว
ในปัจจุบันทันด่วน เซียถงลุกขึ้นพรวดอยู่บนลำต้น เร่งริบใบไม้บนกิ่งก้านแถวนั้นเด็ดติดมือและประกบติดริมฝีปาก เป่าเสียงคล้ายนกหวัดแสบแก้วหูดังกังวาน ท้วงทำนองฟังดูขนหัวลุกอยู่หลายส่วน นอกจากนี้เอง นางยังอัดพลังลมปราณลงไปขุมหนึ่งผ่านการเป่าออกไปด้วย ส่งผลให้ส่งเสียงโจมตีดังกึกก้องทั่วผืนป่าสารทิศ แต่เมื่อเสียงเป่าคล้ายนกหวีดนี้ดังขึ้น มันก็เท่ากับว่า นางเปิดเผยตำแหน่งซ่อนตัวเช่นกัน
ทันทีที่ได้ยินเสียงเป่าเสียดแหลมแทบบาดใจ จวิ๋นเส้าถึงกับสะดุ้งตกใจไปชั่วขณะ หยุดทุกกระบวนมือเคลื่อนไหว เงยแหงนศีรษะกวาดขึ้นมองไปทางต้นเสียงฉับพลัน เพียงเท่านั้นก็ปรากฏให้เห็นอิสตรีงามในชุดสีดำทมิฬกำลังยืนตระหง่านอยู่บนลำต้นไม้อย่างแสนภาคภูมิ ท่ามกลางพงไพรใบหญ้าแน่นหนา ร่างอรชรไร้ที่ตินี้ช่างโดดเด่นเป็นสง่าราศีเหนือสรรพสิ่งใด
ผมยาวสลวยสีดำดุจน้ำหมึก ชายผ้าแพรพรรณโปร่งแสงพลิ้วสะบัดไปตามสายลมพร้อมปอยผมปลิดปลิว ในขณะนี้เอง ใบหน้าที่สวยงามตัดกับขั้วอารมณ์อันแสนเย็นชาของอิสตรีนางนี้ได้ตราตรึงฝังลึกอยู่ในจิตใจของจวิ๋นเส้าเป็นที่เรียบร้อย