ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 474 นายน้อยแห่งเมืองจวิ๋นเทียน (2)
ตอนที่474 นายน้อยแห่งเมืองจวิ๋นเทียน (2)
ตอนที่474 นายน้อยแห่งเมืองจวิ๋นเทียน (2)
รับจี้หยกชิ้นนั้นมา แรกสัมผัสที่เซียถงรู้สึกได้คือเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งมือ สะดุดตามอองจี้หยกชิ้นนั้นอยู่เล็กน้อย มันเป็นหยกขาวที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก ทั้งยังถูกแกะสลักเป็นลวดลายมังกรและหงสาอมตะอย่างละตัวพัลวันคาบเกี่ยวกัน งานศิลป์ชิ้นนี้มองปราดเดียวพึงทราบถึงความละเอียดและใส่ใจของผู้เป็นช่าง ดูเสมือนจริงเสียจนกลัวว่าพวกมันจะบินหนีไปจากจี้หยกในเวลาถัดมา
ส่วนล่างของจี้หยกผูกด้วยพู่สีขาวบพิสุทธิ์สวยงาม ดูท่าจี้หยกชิ้นนี้จะเป็นของล่ำค่าอย่างแท้จริง
นางเห็นดังนี้ก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง อีกฝ่ายต้องการมอบเจ้าของสิ่งนี้เพื่อเป็นสิ่งแทนใจ
แววความประหลาดใจฉายแววในดวงตาหงอวี๋ นางกล่าวขึ้นว่า
“นายน้อย! นั่นมัน…”
ขณะที่กำลังจะเอ่ยกล่าวอะไรบางอย่างออกมา ทว่ากลับต้องหุบปากโดยไวเมื่อเจอสายตาของจวิ๋นเส้าเข้าหยุด ริมฝีปากบางของหงอวี๋ขยับยุบยิบคล้ายไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่สุดท้ายก็ทำอันใดอื่นไม่ได้นอกจากต้องก้มหน้าลง และเงียบนิ่งไม่เอ่ยกล่าวอันใดอีก
เซียถงลอบสังเกตมองสีหน้าการแสดงออกของหงอวี๋อยู่หนึ่งปราด ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“เนื่องจากเป็นสมบัติล้ำค่าของตัวท่าน เช่นนั้นรับคืนไปเถิด ถึงแม้จี้หยกชิ้นนี้จะเป็นมณีชั้นดีเลิศ แต่ในดินแดนอี้เฉิง ก็มีของแบบนี้อีกมากมาย ทั้งในด้านคุณสมบัติความบริสุทธิ์และขนาด ดังนั้นข้าขอไม่รับไว้”
เมื่อเห็นว่านางพยายามจะคืนจี้หยกชิ้นนี้กลับมา จวิ๋นเส้าก็รีบกล่าวขึ้นแทรกทันที
“แม่นางโปรดรับไว้เถิด ตรามังกรหงสาด้านหัวของจี้หยกชิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองจวิ๋นเทียนของข้าเอง เผื่อวันใดแวะเวียนไปแถวนั้น มีสิ่งนี้ติดตัวย่อมดีกว่า”
จวิ๋นเส้าเว้นช่องไฟไปครึ่งจังหวะ และกล่าวเสริมอีกว่า
“จี้หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งล่ำค่า นับว่าเหมาะสมยิ่งแล้วกับบุญคุณที่แม่นางเมตตาชีวิตพวกเราในวันนี้”
กล่าวคือ ชีวิตของเขาล้ำค่ากว่าจี้หยกชิ้นนี้มหาศาล! จวิ๋นเส้าหวังจะใช้สิ่งนี้ซื้อใจสายสัมพันธ์กับเซียถง!
เมื่อได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย เซียถงครุ่นพินิจอยู่สักครู่ ส่งสายตามองชายหนุ่มที่ยกมือยกไม้ปฏิเสธที่จะรับคืนท่าเดียวตรงหน้า ลักษณะใบหน้าของเขา กล่าวตามสัตย์คือค่อนข้างหล่อเหลา ดวงตาสว่างไสวเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา และนี่ยังเป็นเสน่ห์ตามธรรมชาติที่ติดตัวเขามาเช่นกัน
หากว่าเจ้าตัวกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว และนางยังยืนกรานไม่รับจี้หยกเกรงว่าคงไม่เหมาะสม เก็บมันไว้กลับตัวไม่แน่สักวันอาจได้ใช้ประโยชน์ และอีกอย่าง นางเองก็เป็นคนเลือกที่จะไว้ชีวิตหงอวี๋ บางทีอีกฝ่ายอาจต้องการตอบแทนในเรื่องดังกล่าว คิดได้ดังนั้น เซียถงก็นำจี้หยกชิ้นนั้นผูกติดไว้กับเอว ประสานมือขอบคุณจวิ๋นเส้าพร้อมกล่าวว่า
“ทางนี้เองก็ขออภัย ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด หวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน หากไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน”
ทันทีที่เซียถงพูดจบ นางก็หมุนตัวก้าวย่างจากออกไป ส่วนฝูงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พ้วงท้ายอยู่เบื้องหลัง พวกมันเหล่านี้เป็นสัตว์อสูรที่นางได้มีโอกาสทำพันธสัญญากันระหว่างที่อยู่ในหุบเหวเทียมฟ้า พอไม่มีอะไรแล้ว นางก็เรียกทั้งหมดกลับเข้าห้วงมิติอสูรโดยส่วนตัวของนางไปนำพริบตา รวมไปถึงตัวอื่นๆที่คอยดักซุ่มอยู่ที่กับดักต่างๆตามเส้นทาง พวกมันเองก็ถูกเรียกกลับไปหมดเช่นกัน
จวิ๋นเส้ายกสองมือขึ้นประสานส่งให้พร้อมกล่าวขอบคุณทิ้งท้าย เขาเตรียมจะนำผู้ใต้บัญชาทั้งหมดมุ่งหน้าเดินทางไปต่อ
แต่ขณะที่จวิ๋นเส้ากำลังจากไป จู่ๆก็ได้ยินเสียงของเซียถงหยุดเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
จวิ๋นเส้าชะงักฝีเท้าชั่วครู่ เมื่อหันกลับไปก็พานพบเงาพิสดารสีขาวสายหนึ่งโฉบวาบปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา พร้อมกับส่งมอบอะไรบางอย่างยื่นมาให้ เขาเอื้อมมือขึ้นรับโดยตรง และพอแบออกมาดูปรากฏว่าเป็นโอสถเม็ดหนึ่ง
เงาพิสดารสายสีขาวของเซียถงไสววูบเคลื่อนห่างออกไปไกลโพ้น มีแค่สุ้มเสียงที่ดังทิ้งทวนลอยผ่านอากาศว่า
“อาการชาในร่างกายของท่านยังคงอยู่ เดินทางทั้งแบบนี้เกรงว่าไม่สะดวก กินมันไปก่อนน่าจะคล่องตัวกว่า”
เหม่อมองโอสถเม็ดกลมนอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือ ตัดสลับกับเงาร่างอรชรสีขาวที่ทะยานหายลับเส้นสายตาไปพลาง จวิ๋นเส้าอดยิ้มมุมปากมิได้กับตัวเอง
หงอวี๋ที่เห็นแบบนั้น นางต้องขมวดคิ้วแน่นและเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“หญิงแปลกหน้าไม่รู้จักภูมิหลัง เป็นมิตรหรือศัตรูก็ยังมิทราบแน่ชัด บางทีโอสถเม็ดนี้อาจเป็นยาพิษ!”
ก่อนหน้านี้ เขาแอบสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยว่า อิสตรีงามนางนี้เป็นหญิงมีเจ้าของแล้วรึยัง และหวังเพียงว่ายังไม่มีชายอื่นใดมาจับจอง
ยิ่งได้เห็นตอนที่นางยอมรับจี้หยกชิ้นนี้ไปในที่สุด มันก็ยิ่งบังเกิดความคาดหวังต่างๆมากมายขึ้นภายในใจของเขา ไม่รู้เลยว่า ในอนาคตข้าจะมีโอกาสได้พบเจอกับเจ้าอีกหรือไม่? แล้วพานพบกันครั้งหน้าจะเป็นเช่นไรกัน?
จวิ๋นเส้ากดสายตาจับจ้องไปที่โอสถเม็ดกลมบนฝ่ามือของตนอีกครา หลังจากเม็ดโอสถโดนกระตุ้นจากไออุ่นบนฝ่ามือของเขา กลิ่นสุคนธรสหอมก็ลอยฟุ้งออกมาทันที กลิ่นหอมชมชื่นนี้เพียงได้สูดดมก็ทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวยแล้ว เขาหาได้สนใจฟังคำเตือนใดๆของหงออวี๋เลยแม้สักนิด ตบโอสถเม็ดนั้นเข้าปากไปโดยตรง เสียงกลืนดังอึกใหญ่ลงคอ และไม่กี่อึดใจถัดมาเท่านั้น จวิ๋นเส้าถึงกับตาโตเป็นประกายระยิบระยับ รู้สึกได้ถึงสภาวะร่างกายที่กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง มาพร้อมกับจิตวิญญาณของเขาที่สดชื่นแจ่มใสขึ้นมากโข
นางไม่ได้โกหกเขาจริงด้วย!
“เป็นหญิงสาวที่น่าสนใจจริงๆ”
หงอวี๋เอะใจสงสัย น่าสนใจงั้นรึ? นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ได้ยินจวิ๋นเส้ากล่าวชื่นชมหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้ นางน่าสนใจขนาดนั้นเลยรึ? ให้ตายเถอะ! หงอวี๋ยังคงไม่ลืมเลือนภาพเหตุการณ์ในวันนี้ที่อีกฝ่ายฝากฝังแก่นาง! ภายในใจถึงกับขอร้องภาวนา อย่าได้พบอย่าได้เจอกับหญิงสาวแปลกหน้านางนี้อีก มิฉะนั้นครั้งต่อไป จักต้องล้างแค้นให้สาสม!
เซียถงเดินทางกลับไปยังส่วนลึกในหุบเหวเทียมฟ้า ซึ่งเป็นสถานที่ที่กลุ่มเดินทางของนางพักฟื้นตัวอยู่ ระหว่างทาง นางยังได้พบเจอกับพวกนักฆ่าที่ถูกส่งมาจากจักรวรรดิหน่านเฟิง หลังจากกวาดล้างเรียบร้อย ก็พึงสังเกตเห็นว่า ถนนเส้นเบื้องหน้าเงียบสงบจนผิดปกติ นางก็รีบเร่งฝีเท้ากลับไปโดยไว
แต่ทว่า ทันทีที่เซียถงกลับไปถึงจุดที่ชิงเยวี่ยและคนอื่นๆควรจะพักผ่อนกันอยู่ แต่ภายฉากตรงหน้ากลับทำให้นางตกใจอย่างมาก
ย้อนกลับไปตอนก่อนที่เซียถงจากออกมา เนื่องจากพวกเขาทั้งห้าต่างถูกลอบโจมตีตลอดเส้นทาง ส่งผลให้ทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บน้อยใหญ่กันถ้วนหน้า จะเว้นเสียแต่เซียถงที่ได้รับความช่วยเหลือจากเสี่ยวฮั่ว จึงมีสภาพสมบูรณ์แข็งแรงที่สุด
ดังนั้น เซียถงจึงอาสาเสาะหาสถานที่พักพิงสำหรับสองพี่น้องตระกูลเค่อและโม่ซวนได้นั่งพักปรับลมหายใจกัน และที่แห่งนั้นก็เป็นถ้ำลับแลแห่งหนึ่ง และก่อนที่นางจะจากออกมาก็ยังไปหาเถาวัลย์แห้งเหี่ยวรอบป่ามาทำเป็นกำบังปิดเอาไว้อีกชั้นหน้าปากถ้ำ แต่พอนางกลับมาถึงถ้ำที่ใช้ซ่อนตัวอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นจากระยะไกลแล้วว่า เถาวัลย์ที่ใช้ปิดปากถ้ำยามนี้กลับถูกลือกระจุยกระจายไปหมดแล้ว
เซียงสีหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลันและรีบเร่งฝีเท้าเป็นเท่าตัว
ภายในถ้ำว่าเปล่า จะมีก็แค่ร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลือไว้อยู่
กวาดมองไปรอบถ้ำ บริเวณปากทางเข้าถูกลมปราณอัดกระแทกจนกลายเป็นเว้าโหว่ บนกำแพงมีเต็มไปด้วยรอยกระบี่คมยาวฟันตัดกันไปมา และคลาบเลือดจำนวนหนึ่งบนพื้น บริเวณแผ่นหินที่นั่งพักยังปรากฏรอยคมมีดขีดขวดอยู่หลายจุด และส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือ ร่องรอยคมกระบี่ที่ดูหนาเป็นพิเศษบนกำแพงถ้ำด้านหนึ่ง แค่เห็นเซียถงก็จำขึ้นได้ทันควัน นี่เป็นร่องรอยกระบี่ของโม่ซวน!
ใครกันที่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้? การจะปราบทั้งสองพี่น้องตระกูลเค่อที่ผนึกกำลังกับโม่ซวนได้ในคราวเดียว ความแข็งแกร่งของบุคคลนั้นหาใช่ธรรมดาทั่วไปไม่!
และเมื่อก้มมองรอยเท้าที่แสนชุลมุนวุ่นวายไร้ระเบียบตามพื้น เซียถงถึงกับหน้าเสียในทันใด!