ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 476 ใครที่ลักพาตัวชิงเยวี่ย (2)
ตอนที่476 ใครที่ลักพาตัวชิงเยวี่ย (2)
ตอนที่476 ใครที่ลักพาตัวชิงเยวี่ย (2)
“ใช้บิน?”
“ท่านลองสิ!”
ฟังตามคำแนะนำของเสี่ยวฮั่วทีละขั้นตอน เซียถงกรอกเทกระแสลมปราณสีม่วงของตนเข้าหล่อเลี้ยงบนตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้า จากนั้นก็ลองขึ้นไปยืนและพยายามรักษาเถรียรและสมดุลร่างกายให้นิ่งที่สุด
เจ้าของคนก่อนหลิวซู เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นสูง ถึงแม้ทักษะการต่อสู้จะประสบความสำเร็จอยู่ในระดับหนึ่ง แต่หากมิใช่ยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าเต็มขั้น เขาก็ไม่สามารถเหาะเหินบนฟากฟ้าได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นขี่บิน แต่หากใช่ว่าทันทีที่เขาได้กระบี่บรรพกาลเล่มนี้มาแล้วจะสามารถใช้บินได้ในทันทีทันใด เจ้าตัวทุ่มเทเวลาไปมากเพื่อฝึกบินกับกระบี่เล่มนี้อยู่เสียนานนม
แต่น่าเสียดายนักที่ต่อมา เขากลับพลาดท่าตายลงอย่างน่าอนาถภายใต้ไฟพลาญของมังกรเพลิงโลหิตตนนั้น แต่สิ่งที่ทิ้งทวนเอาไว้ให้หลิวซูล้วนเป็นของมีประโยชน์ทั้งสิ้น
ถึงแม้ความแข็งแกร่งของเซียถงในปัจจุบันยังขาดตกไม่ผ่านเกณฑ์ แต่ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวฮั่ว ทำให้นางสามารถขึ้นขี่กระบี่ได้อย่างไม่ยากเย็น และเมื่อสำแดงใช้เกราะแสงวิญญาณหลอมผสานคู่กับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่อยู่ใต้สองเท้า ทันใดนั้น ตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าก็ส่องแสงสีม่วงระยิบระยับแพรวพราว พร้อมส่งเสียงร้องกู่คำรนสนั่นหวั่นไหว
เมื่อตัวกระบี่ลอยขึ้นเหนือพื้น เสี้ยวพริบตาต่อมา มันก็พาเซียถงพุ่งทะยานเสียดฟ้าไปไกลโขด้วยความเร็วเหนือชั้น
ทิวทัศน์ทั้งหมดทั่วหุบเหวเทียมฟ้า ถูกทิ้งไว้อยู่เบื้องหลังในชั่วพริบตาถัดมา
ณ แห่งหนหนึ่งในหุบเขาเทียมฟ้า มีใครบางคนกำลังเงยมองไปบนท้องฟ้า แลเห็นประกายแสงสีม่วงสว่างวาบพุ่งผ่านตัดเวหา ด้วยความเร็วเหนือจินตนาการนี้ทำให้ดูราวกับดาวตกจรัสม่วงพุ่งใต้
ใครคนนั้นเป็นชายแต่งการในชุดคลุมสีดำ มีลายปักเส้นศิลป์วิจิตรสวยงามอยู่ด้านหน้าแผ่นอก แม้จะดูเรียบง่ายแต่วัสดุชุดค่อนข้างอู่ฟู้หรูหรา คล้อยหลังแลเห็นประกายแสงสีม่วงพุ่งโฉบตัดผ่านท้องนภาออกไป เขาก็ก้มศีรษะลงอีกครา ชำเลืองมองร่างหนึ่งที่โดนผูกติดไว้กับต้นไม้
ชายคนนั้นหยิบน้ำขึ้นสาดหน้าของอีกฝ่ายโดยตรง ซึ่งก็มิใช่ใครอื่นนอกจากชิงเยวี่ยที่โดนจับตัวมา พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาเขาก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ พบว่าตนเองกำลังถูกจับมัดอยู่ แล้วก็ยังมีชายนิรนามยืนอยู่เบื้องหน้าอีกด้วย
ชิงเยวี่ยสำลักไออยู่สองสามที จากนั้นไม่นานก็เงยหน้ามองชายผู้นั้นที่อยู่ต่อหน้า เอ่ยปากกล่าวคำหนึ่งเจือน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยว่า
“การที่เจ้าลักพาตัวข้าเช่นนี้ ก็เท่ากับคุกคามชีวิตของข้า องค์จกรพรรดิซีฉินไม่มีวันปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”
มุมปากเขากระตุกยิ้มเยาะจางๆ ดวงตาคู่นั้นแม้จะดูอ้างว้างไร้พลัง แต่ยังคงความสง่าราศีได้ไม่แปรเปลี่ยน
ทั้งที่ตกอยู่ในสภาพน่าอับอายปานนี้ แต่ก็ยังสามารถคงรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ ชายผู้นั้นที่ได้เห็นก็แอบนึกชื่นชมชิงเยวี่ยอยู่หนึ่งส่วน เขากล่าวตอบไปว่า
“อย่าได้กังวล ข้าเองพึงทราบดี เจ้าคืออบุตรบุญธรรมขององค์จักรพรรดิซีฉิน และตัวเจ้ายังถือเป็นสิ่งของสำคัญชิ้นหนึ่งของอีกฝ่ายเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังเป็นถึงศิษย์ของไป๋ปิง เห็นแก่หน้าสตรีนางนี้ ข้ายังเกรงใจอยู่สามส่วน แต่ก็อย่าได้พึงสำคัญตัวผิดไป สำหรับข้าเอง สถานะของเจ้ากลับไม่นับเป็นอันใดเลย”
ได้ฟังข้อเท็จจริงที่โหดร้ายเข้าบดขยี้ใส่จิตใจ ทว่าสีหน้าการแสดงออกของชิงเยวี่ยกลับไร้ซึ่งร่องรอยความเกรี้ยวโกรธใดๆ เขากล่าวตอบอย่างใจเย็นเพียงว่า
“ในเมื่อท่านเองก็ตระหนักทราบดีแล้ว จึงไม่แปลกเท่าไหร่ที่ยังไม่ดำเนินการจัดการกับข้าไป แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้หมายความอย่างไร? ต้องการจับข้าเป็นตัวประกัน?”
แต่จะเห็นได้ชัดว่า ชายผู้นี้มิได้ต้องการเอ่ยปากแพร่พรายข้อมูลใดไปมากกว่านี้แล้ว เขายกมือขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อย และหมุนตัวจากออกไปโดยไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ชิงเยวี่ยนั่งเก้อสงสัยต่อไป
เหม่อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เริ่มไกลห่าง ถึงสีหน้าพื้นผิวของชิงเยวี่ยจะราบเรียบสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับมากล้นไปด้วยข้อสงสัยสารพัด
ในเมื่อชายผู้นี้รู้เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาและองค์จักรพรรดิซีฉินดี รวมไปถึงบทบาทความสำคัญของเขาต่อจักรวรรดิซีฉิน แล้วต้องการลักพาตัวเขามาเพื่ออะไร? ใช้เป็นตัวประกัน? แล้วใช้กับใครล่ะ? อีกฝ่ายจะใช้เขาเป็นตัวประกันกับใครกัน?
ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็ปรากฏภาพใบหน้าอันงดงามของเซียถงผุดขึ้นกลางจิตใจของชิงเยวี่ย
เซียถง! ชายผู้นี้ต้องการจะใช้ข้าเป็นตัวต่อรองกับเซียถง!
หรือเป็นไปได้หรือไม่…เป้าหมายของเขาอาจเป็นตัวเซียถงเอง?
นึกถึงได้ดังนั้น ชิงเยวี่ยก็เริ่มออกแรงดิ้นอย่างสิ้นหวัง ทว่าสิ่งที่ถูกมัดตัวของเขาเอาไว้เป็นเถาวัลย์มังกรพิรุณ อีกทั้งยังถูกแช่น้ำยาเพิ่มความทนทานเป็นพิเศษ ส่งผลให้มีความแข็งแกร่งและยืดหยุนที่สูงมาก ยิ่งเขาพยายามดิ้นมากเท่าไหร่ เถาวัลย์มังกรพิรุณนี้ก็ยิ่งบีบตัวรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น ผ่านไปสักครู่ เจ้าสิ่งนี้มัดรัดแน่นซะจนชิงเยวี่ยเริ่มหายใจหายคอไม่ออกแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจสุดพรรณนา เหตุเพราะไม่ยอมตัดสินใจไม่ฝึกปรือทักษะการต่อสู้ตั้งแต่แรก มุ่งแต่ศึกษาศาสตร์แห่งการหลอมกลั่นโอสถเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้ในปัจจุบัน มิเพียงไม่สามารถปกป้องบุคคลอันเป็นที่รักได้เท่านั้น กระทั่งความปลอดภัยของตัวเขาเองก็ยังปกป้องไม่ได้ด้วยซ้ำ!
หากมิใช่เพราะว่า ในอดีตเขาไม่อยากโดนเคี่ยวกรำฝึกปรือทักษะการต่อสู้อย่างหนักโดยองค์จักรพรรดิซีฉิน ปานนี้เขาคงมีวิชาติดไม้ติดมืออยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็พอที่จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนให้เซียถงที่ตามมาเจอระวังตัวได้!
ชายผู้นั้นในชุดคลุมดำอยู่เฝ้ามองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เห็นว่าชิงเยวี่ยยังพยายามดิ้นให้หยุดจากพันธนาการนี้ไม่มีเหน็ดเหนื่อย ทันใดนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มแปลกๆขึ้นบนมุมปาก
ณ พระราชวังตงหลี่ เมืองเฟิงหลี่
เซี่ยหลู่เฟิงกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ในปัจจุบันเขาคุกเข่าอยู่หน้าสวนหลังตำหนักแห่งนี้เป็นเวลากว่าสองชั่วยามแล้ว สายฝนไม่มีร่วงโปรย จะมีก็แต่แสงตะวันแผดเผาเจ้าจรัส สาดส่องลงมาอย่างต่อเนื่อง
เขารู้สึกร้อนแทบเป็นลม แต่กลับไม่กล้าลุกขึ้น
คล้ายได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านในตำหนักกำลังตรงออกมา เขาลอบแลบลิ้นเลียผิวปากที่แตกระแหงแห้งแตกทีหนึ่ง เปล่งเสียงแหบดังแฝงซ่อนแววความดื้อรั้นอยู่หนึ่งส่วน
“ได้โปรดเอาชีวิตข้าน้อยไปแทนเถิด!!”
แต่ทันทีที่สิ้นเสียงกล่าวจบ ก็มีวัตถุบางอย่างพุ่งเข้าชนกระแทกกลางอกของเซี่ยหลู่เฟิงอย่างแรงปราศจากปราณีใดๆ และด้วยแรงมหาศาลไม่มีเมตตาปานนี้ หากเซี่ยหลู่เฟิงรวบรวมพลังลมปราณเข้าป้องกันได้ไม่ทันการ เกรงว่าซี่โครงของเขาคงแตกละเอียดไปแล้ว
ถึงกระนั่น ถ้วยชาที่พุ่งเข่ากระแทกกลางหน้าก็ร่วงแตกกับพื้นไป เศษซากถ้วยชากระจายไปคนละทิศละทาง พร้อมธารน้ำชาที่สาดกระเซ็นลวกใส่อกของเขาเช่นกัน
เซี่ยหลู่เฟิงยังคงกัดฟันระงับโทสะ กล่าวว่า
“องค์รัชทยาท เสวี่ยเหลียนกลายเป็นคนบ้าสติไม่ดีไปแล้ว ได้โปรดปล่อยน้องสาวของข้าน้อยไปเถิด!”
ในแววตาคู่นั้นมีทั้งแววความโศกและไม่พอใจฉาบคลุมอยู่
ไป๋หลี่เย่เดินฝ่ากลุ่มทหารองค์รักษ์เข้ามาใกล้ แลเห็นเซี่ยหลู่เฟิงคุกเข่าลงอยู่ต่อหน้า เขาก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก ราวกับได้เห็นเซียถงกำลังคุกเข่าขอความเมตตาอยู่ใต้แทบเท้าของตน!
เซี่ยหลู่เฟิงโขกศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรง เสียงกระแทกดังกึกก้อง
“ท่านองค์รัชทยาท ได้โปรดเถิด!!”