ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 477 ติดตามไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว (1)
ตอนที่477 ติดตามไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว (1)
ตอนที่477 ติดตามไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว (1)
รอยยิ้มชั่วร้ายผุดปรากฏบนใบหน้าเย็นเยียบของไป๋หลี่เย่ ตบเท้าขึ้นหน้าสองสามก้าว เขาหยุดยืนต่อหน้าเซี่ยหลู่เฟิงอย่างภาคภูมิ สองพี่น้องคู่นี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งเซี่ยหลู่เฟิงหรือเซียถง พวกมันมักทำตัวหยิ่งยโสอยู่ตลอด แล้วตอนนี้เป็นเยี่ยงไร? สุดท้ายก็ต้องยอมสิโรราบคุกเข่าต่อหน้าข้าเยี่ยงสุนัข!
ไป๋หลี่เย่ส่งสายตาหาได้แยแสต่อสิ่งใด พริบตานั้นเอง จู่ๆเขาก็ยกเท้าขึ้นและประทับเหยียบลงบนศีรษะของเซี่ยหลู่เฟิงอย่าวแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆออกแรงบดขยี้แรงขึ้นและแรงขึ้น มองดูอีกฝ่ายเกร็งตัวดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด
เซี่ยหลู่เฟิงสัมผัสได้ถึงกระแสความเจ็บปวดรุนแรง โฉบแล่นผ่านกะโหลกศีรษะลงมาได้ชัดแจ้ง เจ้าตัวกัดฟันกรอดข่มกลั้นอดทน ไป๋หลี่เย่แอบเพิ่มพูนพละกำลังลงไปใต้เท้าอย่างช้าๆ สักครู่ต่อมาเท่านั้น ก็มีธารเลือดสีแดงสดรินไหลลงมาจากบริเวณศีรษะ
ดวงตาสองข้างข่มกลั้นปิดสนิทด้วยความขมขื่น ปล่อยให้ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นผ่านศีรษะไปทั้งแบบนั้น
“องค์รัชทายาท! ได้โปรด…ได้โปรด…”
น้ำเสียงเซี่ยหลู่เฟิงสั่นเทาเกินควบคุม เขายังคงฝืนร่างกายมิให้ล้มลงติดพื้น แต่ก็มิสามารถเงยขึ้นมองได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเกิดมีปากเสียงทะเลาะกับเซี่ยอี้เฉิงอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อเซี่ยหลู่เฟิงได้เห็นถึงทัศนคติและตรรกะแสนป่วยของผู้เป็นพ่อ เขาเองก็ถึงกับยอมแพ้ตัดใจและไม่คิดเถียงต่อ ขณะเดียวกัน ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมเซียถงถึงปฏิบัติกับเซี่ยอี้เฉิงราวกับแทบไม่ใช่พ่อตัวเองแล้ว หาใช่ว่านิสัยของนางแข็งกระด้างกร้านโลก แต่เป็นเพราะคนรอบข้างที่บีบบังคับกดดัน จนต้องหาทางเอาตัวรอดต่างหาก เพราะผู้ใดใคร่เอาชีวิตรอดจากพวกคนเห็นแก่ตัวพวกนี้ หากไม่ใช้ไม้แข็งให้เด็ดขาด เกรงว่าเหยื่อรายต่อไปที่ต้องขึ้นเขียงอาจเป็นเรา!
“ไม่มีทาง! เซี่ยหลู่เฟิง เจ้าตัดใจเสีย! พ่อได้ให้สัญญาไปแล้ว! เนื่องด้วยปัจจุบัน เซียถงกลายเป็นองค์ราชินีแห่งดินแดนอี้เฉินแล้ว ดังนั้นสถานศักดิ์ของตระกูลเซี่ยเราจึงถือเป็นหนึ่งในผู้ทรงอำนาจอิทธิพล! ไม่ว่ายังไง เสวี่ยเหลียนก็ต้องเข้าอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท! ส่วนเจ้าเองก็เช่นกัน! ห้ามแต่งงานกับพวกชาวบ้านต่ำต้อยโดยเด็ดขาด! และถึงแม้นางจะเข้าอภิเษกสมรสในฐานะพระสนมชั้นสาม แต่อย่างไร ก็ถือเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ตงหลี่คนหนึ่ง นี่ไม่ถือเป็นการรังแกกลั่นแกล้งเสวี่ยเหลียนแต่อย่างใด หนำซ้ำยังถือเป็นเกียรติต่อตัวนางเอง! ที่ตระกูลเซี่ยของเรามีอย่างทุกวันนี้ได้ก็หาใช่เพราะบุญญาธิการของฝ่าบาทหรอกรึ? หัดสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของท่านเสียบ้าง!!”
ไป๋หลี่เย่ยิ้มกระหยิ่มด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นเซี่ยหลู่เฟิงรู้สึกเจ็บปวดปานแตกสลายขนาดนี้ เขายังกล่าวเยาะเย้ยขึ้นอีกว่า
“ถึงแม้ยังไม่มีพระราชโองการป่าวประกาศ แต่จะบอกอะไรดีๆให้เจ้าฟังสักอย่าง ท่านพี่เขยในอนาคตของข้า พึงทราบดีอยู่แล้วกระมัง? ถึงบัญชีความแค้นระหว่างข้ากับเซียถง คราวนี้แหละจะเป็นโอกาสของข้า ได้ระบายอารมณ์สมใจนึก! น้องสาวของเจ้าคนนี้ ไม่ว่าองค์ชายคนใดต่างปรารถนาหมายปอง เช่นนั้นก็เตรียมกลายเป็นอีตัวประจำวังหลวงได้เลย! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
สิ้นเสียงไป๋หลี่เย่กล่าวจบ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งดังสนั่น ราวกับว่าความเกลียดชังต่อเซียถงที่อัดแน่นออยู่ในใจดวงนี้ค่อยได้ระบายออกมาบ้างทีละเล็กละน้อย
ขณะที่ไป๋หลี่เย่กำลังเอ่ยกล่าวดังนั้น เขาก็ได้รับข้อความจากทหารองค์รักษ์นายหนึ่งที่อยู่ด้านข้างระบุว่า ไป๋หลี่อวี๋อิงเรียกตัวด่วน เช่นนั้นจึงละความสนใจออกจากเซี่ยหลู่เฟิง หาได้แยแสเหลียวมองใดๆอีก ก่อนเดินจากไป ยังไม่ลืมชำเลืองหาเหล่าทหารองค์รักษ์พร้อมส่งสายตาดุร้ายเชิงสั่งการ
เงาร่างของไป๋หลี่เย่ลาลับไกลโพ้น ทว่าเบื้องหน้าเซี่ยหลู่เฟิงที่นั่งโทรมในท่าคุกเข่า จู่ๆมีเงาดำของเหล่าทหารองค์รักษ์เข้ารุมล้อม พร้อมแสงตะวันฉาดฉายที่เริ่มมืดหม่นลง…
ตลอดทั้งวันนี้ ฉีหมิงเยว่มัวแต่กำลังยุ่งกับการจัดสนามหลังเรือน โดยมีอิ๋งเอ๋อร์คอยเป็นลูกมือช่วยเหลือเป็นระยะ โยกย้ายเคลื่อนสิ่งของต่างๆนานา ขณะเดียวกัน ก็ยังวานให้บ่าวรับใช้ในคฤหาสน์ราชาหมาป่าสวรรค์เข้าแบ่งเบาภาระบางส่วน เช่นเรื่องใช้กำลังคนงานเป็นต้น
ลานแห่งนี้อยู่ถัดจากเรือนพักหลักของราชาหมาป่าสวรรค์ไม่ไกลจากกันนัก ถูกแยกตัวออกมาทำเป็นบ้านและสวนหลังเล็กๆให้สำหรับเซี่ยหลู่เฟิงและฉีหมิงเยว่ที่กำลังตั้งรกรากกันใหม่ ระหว่างที่สองแห่งไม่มีการล้อมรั้วหรือสร้างกำแพงกั้นไว้แต่อย่างใด อนึ่งเพื่อรับประกันความปลอดภัยของตัวฉีหมิงเยว่ และสอง ไม่ต้องการสร้างความอดอัดให้แก่นางในระหว่างอยู่อาศัย
ทุกอย่างได้รับการจัดเตรียมอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดโดยอิ๋งเอ๋อร์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฉีหมิงเยว่เป็นพิเศษ
ทุกคนในคฤหาสน์ของราชาหมาป่าสวรรค์ล้วนทราบดีว่า อิ๋งเอ๋อร์เป็นสาวรับใช้คนสนิทขององค์ราชินี ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของนางแม้สักคน และใช้เวลาเพียงไม่นาน เรือนบ้านอาศัยขนาดย่อมหลังใหม่ก็สร้างเสร็จเรียบร้อย ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกนาง
ทุกคนต่างช่วยกันเก็บกวาดและทำความสะอาดเรือนบ้านอาศัยหลังใหม่ทุกซอกมุม เพื่อทำให้ที่แห่งนี้เป็นระบบระเบียบดูน่าอยู่ยิ่งขึ้น
อิ๋งเอ๋อร์ทราบดี คุณหนูฉีเป็นคนที่ชอบดอกไม้พืชพรรณ จึงวานให้สาวรับใช้ในคฤหสาน์นางหนึ่งออกไปซื้อต้นกล้วยไม้มาเพิ่มสักสองสามกระถาง
ไม่นานเกินรอ สวมหน้าบ้านหลังน้อยก็เต็มไปด้วยกลิ่นบุปผาต้นไม้หอมอบอวน
อิ๋งเอ๋อร์ยกมือขึ้นปรบเบาๆอย่างสุขอกสุขใจ นั่งพักเหนื่อยบนชิงช้าประดับสวน หันมากล่าวคำหนึ่งว่า
“คุณหนูฉี ทั้งตัวบ้านและสวนช่างสวยงามรื่นสายตายิ่งนัก กระทั่งข้าที่ได้เห็นยังต้องอิจฉา!”
ฉีหมิงเยว่ระบายยิ้มอ่อน พลางยกมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ทุกท่วงท่าเปี่ยมล้นความสง่าอ่อนโยนอย่างแท้จริง
“หากชอบก็มาอยู่ด้วยกันสิ”
เหม่อมองทุกท่วงท่าการกระทำของอีกฝ่ายอยู่นานแล้ว จนตอนนี้อิ๋งเอ๋อร์อดใจกล่าวมิได้ว่า
“คุณหนูฉี รู้หรือไม่…ท่านสวยมากเลย”
“ข้าน่ะรึ? หากกล่าวถึงเรื่องความสวยความงามกลับเป็นเซียถงของเจ้าเสียมากกว่า รายนั้นเรียกได้ว่า โฉมงามล่มเมืองของจริง!”
“องค์ราชินีของบ่าวงดงามเกินพรรณนาก็จริงอยู่ แต่ในด้านความอ่อนหวาน กลับเป็นท่านที่เหนือกว่าขุมหนึ่ง เฉกเช่นท่าปาดเหงื่อขของเมื่อสักครู่ ขอกล่าวตามสัตย์ องค์ราชินีของบ่าวยังต้องแพ้ให้!”
ฉีหมิงเยว่ได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะขึ้นมิได้ อิ๋งเอ๋อร์นางนี้ดูท่าจะ‘ปีกกล้าขาแข็ง’ขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก อาจเป็นเพราะยู่รับใช้มานาน ทำให้นับวันนางก็ยิ่งเหมือนเซียถงเข้าไปทุกที! บ่าวไพร่ที่ไหนกล้านำเจ้านายตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นลับหลังกัน!
“แต่ข้ากลับรู้สึกอิจฉาเซียถงเสียมากกว่า ทั้งในด้านความแข็งแกร่งของนางก็ดี ความมั่นใจที่หาผู้ใดเปรียบไม่ก็ดี สิ่งเหล่านี้กลับมีค่ายิ่งกว่าความสวยความงาม”
อิ๋งเอ๋อร์เร่งพยักหน้างึกงัก อุทานตอบ
“ใช่! ใช่! ใช่แล้วเจ้าค่ะ!”
หากเซียถงอ่อนโยนลงกว่านี้เสียหน่อย อิ๋งเอ๋อร์คิดว่า นางจะดูมีเสน่ห์แพรวพราวกว่านี้อีกหลายเท่าทวีในทันที
ทั้งสองร่วนสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบ้านสวนและชีวิตความเป้นอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินสุ้มเสียงของใครบางคนร่วงกระแทกอัดหน้าประตูอย่างแรง ก่อนจะสะดุดขาล้มเข้ามาด้านใน
ทั้งฉีหมิงเยว่และอิ๋งเอ๋อร์ล้วนตกตะลึงสุดขีดทันทีที่เห็น ติดตามสายตาเคลื่อนมองปรากฏเป็นชายหนุ่มผู้แสนคุ้นเคยเป็นอย่างดี อีกฝ่ายพยายามลากสังขารร่างชุ่มเลือดคลานเข้าใกล้ทีละเล็กละน้อย ท่าทางดูยากลำบากยิ่งยวด
“คุณชายใหญ่!”
“ท่านพี่เซี่ย!”
เนื้อตัวเซี่ยหลู่เฟิงเปียกชุ่มไปด้วยธารเลือดอาบ บาดแผลสาหัสนับไม่ถ้วนบนร่างกาย มิทราบเช่นกันว่า จิตใจของอีกฝ่ายต้องแรงกล้าปานใด ถึงยังมีปัญญาลากสังขารตนเองจนมาถึงที่นี่ได้
ฉีหมิงเยว่รีบพยุงเขาขึ้นทันที เหลือบหางตามองเส้นทางที่อยู่ด้านหลัง ท้องถนนเสมือนปูพรมแดงเป็นทางยาว แต่แท้จริงกลับเป็นธารเลือดสดที่ชโลมฉาบ
ฉีหมิงเยว่ดวงตาเห่อร้อนพร้อมน้ำตาที่รินไหล
นางและอิ๋งเอ๋อร์ต่างช่วยกันประคองร่างของเซี่ยหลู่เฟิงเพื่อกลับเข้าบ้านโดยไว