ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 478 ติดตามไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว (2)
ตอนที่478 ติดตามไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว (2)
ตอนที่478 ติดตามไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว (2)
“คุณชายใหญ่! ไยท่านถึงบาดเจ็บปานนี้ได้!?”
อิ๋งเอ๋อร์ร้องอุทานด้วยความตกใจ ตรวจทานอาการและบาดแผลทั่วร่างกายของเซี่ยหลู่เฟิงอีกครา จึงค่อยกล่าวอีกว่า
“ข้าเคยช่วยองค์ราชินีทำแผลเช่นนี้มาก่อน คุณหนูฉีโปรดอยู่ดูแลคุณชายใหญ่สักครู่ ข้าจะรีบออกไปซื้อสมุนไพร!”
กล่าวจบนางก็รีบวิ่งออกไปทันที
ฉีหมิงเยว่เฝ้าจับจ้องเซี่ยหลู่เฟิงในอ้อมแขน ยามนี้เขาสวมชุดสีเขียว แต่ด้วยธารเลือดสดที่ชุ่มชโลมทั้งตัว ทำให้แทบมองไม่เห็นสีชุดเดิมอีกต่อไป ราวกับหัวใจของนางถูกโยนจนแตกสลาย กระทั่งหายใจเข้าออกยังรู้สึกเจ็บระบม
ท้ายที่สุด นางมิสามารถข่มกลั้นน้ำตาได้อีก เอื้อมมือไปปลดชุดแก้เสื้อผ้าแก่เขาอย่างระมัดระวัง แต่ยิ่งเห็นแผลฉกรรจ์ทั่วร่างกายเหล่านั้น น้ำตาของนางก็ยิ่งไหลไม่หยุด หนึ่งหยาดหยดตกกระทบลงบนหลังมือของเซี่ยหลู่เฟิง จึงยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาของอิสตรีผู้เป็นที่รักให้อย่างแช่มช้า ฝ่ามือหนาช่างร้อนรุ่ม เขาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาและอ้าปากพยายามสะกดคำเอ่ยขึ้นว่า
“อย่า.อย่าร้องไห้เลย…”
ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เซี่ยหลู่เฟิงก็เกิดสำลักรุนแรง ไอเป็นเลือดสีสดทะลักไหลออกมา
ฉีหมิงเยว่รีบยกมือตนเองขึ้นปิดป้องปากอีกฝ่าย แต่ธารเลือดเหล่านั้นก็มากเสียจนล้นทะลักออกตามง่ามนิ้วมือ
อิ๋งเอฮ๋อร์แบกนำสมุนไพรชุดหนึ่งมาใส่ในอ่างแช่น้ำ จัดเตรียมตัวยาผงบางชนิดที่เซียถงมอบให้ก่อนแยกย้ายออกมาเทผสมโดยไว จากนั้นนางทั้งคู่ก็ช่วยกันหามร่างขอองเซี่ยหลู่เฟิงลงไปแช่ในอ่างดังกล่าวทันที
พริบตาที่บาดแผลทั่วร่างถูกแช่ในอ่างยาสมุนไพรจมมิด กระแสความเจ็บปวดเกินพรรณนาพลันโฉบแล่นกระจายทั้งตัว เซี่ยหลู่เฟิงเกิดอาการชักเกร็งอย่างแรง ร่างการสั่นกระตุกเกินควบคุม
อิ๋งเอ๋อร์รีบปรี่ออกไปและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับโอสถเม็ดหนึ่งเข้ายื่นให้ฉีหมิงเยว่
“นี่เป็นโอสถรักษาแผลที่องค์ราชินนีของบ่าวเป็นคนหลอมกลั่นเองเจ้าค่ะ! สรรพคุณของมันเหนือชั้นมหัศจรรย์มาก!”
และตลอดทั้งคืนนั้น ฉีหมิงเยว่ก็อยู่ดูแลเซี่ยหลู่เฟิงอยู่ข้างอ่างแช่แบบนั้นไม่ไปไหน เมื่อใกล้รุ่งสางวันถัดมา ก่อนแรกอรุณเบิกม่านฟ้า ก็เป็นเซี่ยหลู่เฟิงที่ลืมตาได้สติขึ้นก่อน พบพานกับแสงอ่อนทองอร่ามของเช้าอันสดใส
ด้วยความช่วยเหลือจากอ่างน้ำยาสมุนไพรที่แช่ตลอดทั้งคืน และโอสถอันทรงประสิทธิภาพของเซียถง ส่งผลให้เขาหายดีไปแล้วกว่าครึ่งต่อครึ่ง
แวบแรกรู้สึก เขาชำเลืองมองไปทางฉีหมิงเยว่ที่ผล็อยหลับตรงขอบอ่างเนื่องด้วยความอ่อนเพลียจัด แววตาที่ฉายสะท้อนออกมาเจือผสมคำขอโทษอยู่หนึ่งส่วน แต่ขณะเดียวกัน ภาพฉากนี้กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
เซี่ยหลู่เฟิงอดใจเอื้อมเรียวนิ้วแตะสัมผัสอีกฝ่ายมิได้ ช่วยปัดคราบเขมาขี้เถ้าดำที่เลอะบนผิวแก้มน้อยๆของฉีหมิงเยว่ ตลอดคืนที่ผ่านมา เพื่อให้แน่ใจว่าอุณหภูมิของน้ำยาสมุนไพรในอ่างคงเสถียรไม่ตกลง ฉีหมิงเยว่จึงไปนำเตาอั้งโล่ใบหนึ่งมาวางตั้งไว้อยู่ข้างตนเพื่อนำก้อนหินไปเผา พอตัวหินเปลี่ยนเป็นสีแดงฉ่า จึงค่อยนำไปใส่ลงในอ่างหวังรักษาอุณภูมิมิให้ตกหล่น
คล้ายสัมผัสถึงบางสิ่งขยับดุ๊กดิ๊กบนใบหน้าพลันรู้สึกระคายคันขึ้นมา ฉีหมิงเยว่จึงลืมตาตื่นขึ้นทันใด
เมื่อเห็นว่าเซี่ยหลู่เฟิงได้สติแล้ว ถึงแม้สีหน้าของเขายังคงซีดเซียวอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ได้เห็นริมฝีปากของเขาที่เริ่มกลับมามีน้ำมีนวลอีกครั้ง นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี ฉีหมิงเยว่ก็ค่อยโล่งใจขึ้นหนึ่งเปาะ
ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยกล่าว ดันปรายหางตาชำเลืองเห็นแผ่นอกอันเปลือยเปล่าของเซี่ยหลู่เฟิง เนื่องด้วยตลอดคืนวัน นางมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรักษาบาดแผลทั่วร่างของเขา จึงมิได้ให้ความสนใจกับสิ่งอื่นใด แต่ยามนี้เมื่อได้เห็นอีกครา ผิวแก้มทั้งสองข้างของนางก็เห่อร้อนแดงก่ำขึ้นในทันใด ก่อนจะเร่งส่ายศีรษะเบี่ยงหลบเล็กน้อยด้วยความขวยเขิน
แทบจะทันควัน ก็มีเสียงดังของอิ๋งเอ๋อร์ดังลั่นจากทางประตู
“เยี่ยมเลย! คุณชายใหญ่ ในที่สุดท่านก็ได้สติเสียที! เพพราะหากยังไม่ได้สติอีกสักพัก เกรงว่าคุณหนูฉีคงวิตกจริตหนักจนขาดใจตายเป็นแน่!”
เซี่ยหลู่เฟิงหันไปส่งยิ้มบางให้ฉีหมิงเยว่ด้วยความขอบคุณ แต่ทันทีทันใด รอยยิ้มนั่นก็จางหายลงในเวลาต่อมา เขากล่าวน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นว่า
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
“อีกครึ่งชั่วยามก็เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
อิ๋งเอ๋อร์กล่าวตอบไปคำหนึ่งพลางเงยหน้ามองฟ้า
เซี่ยหลู่เฟิงรีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว ร้องอุทานคำโตเปี่ยมกังวล
“แย่แล้ว!”
ฉีหมิงเยว่ที่เห็นอากัปกิริยารีบร้อนปานนี้ของอีกฝ่ายก็ถึงกับตาลุกโตตื่นตื่นตระหนกเช่นกัน สังเกตเห็นแววความกังวลฉายผ่านใบหน้าของเซี่ยหลู่เฟิง นางอดใจเอ่ยถามขึ้นมาได้ว่า
“เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอันใดกัน?”
“ข้าต้องรีบพาเสวี่ยเหลียนออกจากเมืองเฟิงหลี่เดี๋ยวนี้!”
เสวี่ยเหลียน? หมายถึงเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว? แล้วจะพาหนีออกไปเพื่ออันใดกัน?
คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวอิ๋งเอ๋อร์ไม่มีหยุด ทั้งแปลกใจและไม่พอใจในเวลาเดียวกัน ไม่นาน นางก็เริ่มปั้นสีหน้าบูดบึ้ง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวนางเอง เซี่ยเสวี่ยเหลียนหาใช่คนดีอันใดไม่เลย วันๆชอบเอาแต่กล่นแกล้งรังแกองค์ราชินีในช่วงแรกเริ่ม จะอย่างไร อิ๋งเอ๋อร์ก็พยายามปล่อยวาง ไม่มุ่งคิดจิตอาฆาตใส่ เพราะอีกฝ่ายก็เป็นบ้าไปแล้ว นับเป็นผลกรรมที่สมควรได้รับอย่างสาสม แต่ไฉนตอนนี้จู่ๆคุณชายใหญ่ถึงต้องการจะพานางหนีไปล่ะ?
“ไป๋ลี่เย่บอกว่า เขาต้องการให้เสวี่ยเหลียนอภิเษกสมรสกับตนในฐานะพระสนมชั้นสาม ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่า เสวี่ยเหลียนตอนนี้กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว แต่เขาก็ยังต้องการจับนางไปทรมานทำร้าย! ถึงแม้เสวี่ยเหลียนจะไม่มีสายเลือดตระกูลเซียอยู่เลยก็ตามที แต่อย่างไร นางก็ยังคงเป็นน้องสาวของข้าคนหนึ่ง!”
ขณะที่เขากำลังรีบวิ่งไปที่ประตูทางออกคฤหาสน์ ทันใดนั้น ก็เหลือบชำเลืองเห็นประกายตาคู่สวยกำลังจับจ้องมาทางนี้ ดั่งหัวใจดวงนี้โอนอ่อนลงในทันใด เซี่ยหลู่เฟิงจับมือฉีหมิงเยว่กุมแน่นและยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าอยากมากับข้าด้วยหรือไม่?”
ฉีหมิงเยว่ยิ้มกว้างในทันที ความอ่อนโยนที่พลิบานงดงามเสียยิ่งกว่าทุ่งบุปผาพันหมื่น นางยกมือขึ้นวางประกบบนฝ่ามือของอีกฝ่ายโดยไม่มีลังเล
“ไม่ว่าท่านต้องการไปแห่งหนใด ข้าคนนี้จะขอติดตามไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว กระทั่งปลายสุดผืนพิภพก็หาได้หวั่นเกรง ต่อให้เบื้องหน้าคือขุมนรก ย่อมเต็มใจไม่มีลังเล”
“ขอบคุณ!”
เซี่ยหลู่เฟิงกุมมือฉีหมิงเยว่ไว้แน่นยิ่งขึ้น
พวกเขาทั้งคู่รีบมุ่งหน้ากลับเข้าจวนมหาเสนาบดีเซี่ย ยามนี้เป็นเวลาก่องรุ่งอรุณฟ้าเปิดสนิท เพียงย่างเท้าก้าวผ่านเข้าธรณีประตูเท่านั้น ก็รู้สึกผิดสังเกตทันควันที่เห็นบ่าวรับใช้ทุกคนในเวลานี้ดูเป็นกังวลตื่นตระหนกยิ่งยวด เขาเปล่งเสียงตะโกนถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อบ่าวรับใช้เหล่านั้นเห็นว่าเป็นคุณชายใหญ่ ก็มีคนหนึ่งรีบชิงกล่าวทันที
“คุณชายใหญ่แย่แล้วขอรับ! เย็นวานนี้มีขันทีจากตำหนักองค์รัชทายาทพาตัวคุณหนูรองออกไป จนตอนนี้นางก็ยังไม่กลับมาเลย! ฮูหยินใหญ่จึงสั่งให้เราออกค้นหาเป็นการเร่งด่วน โชคดีจริงๆในที่สุดคุณชายใหญ่ก็กลับมา! ไม่แน่บางทีคุณหนูรองอาจตกอยู่ในอันตราย!”
ได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลู่เฟิงถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือดในบัดดล!
เวลาเดียวกัน พลันได้ยินเสียงสามลมกระโชกรุนแรงกระหน่ำพัดใส่ เซี่ยหลู่เฟิงตื่นตัวฉับพลัน แทบจะในเสี้ยวอึดใจเดียวกัน เขาพุ่งเข้าคว้าเอวฉีหมิงเยว่เบี่ยงตัวหมุนเลี่ยงหลบโดยไว ปกป้องนางเอาไว้ได้ทันท่วงที ส่วนอีกมือคว้าจับบางสิ่งที่พุ่งเข้าโจมตีเอาไว้อย่างแม่นยำ และเมื่อคลายมือมาดู ก็พบเป็นศรธนูดอกหนึ่งที่มีสาสน์ฉบับหนึ่งติดมาด้วย
เซี่ยหลู่เฟิงไม่รอช้า รีบคลี่กางเปิดอ่านข้อความภายในนั้นโดยไว เนื้อความระบุสั้นกระชับแค่ว่า ‘ศาลาห่างไปจากนอกเมืองสิบลี้’
สายตาแสนเย็นเยียบของเขาหันขวับไปทางต้นสายที่ศรธนูถูกยิงออกมา พลันบรรจบเข้ากับเงาดำในมุมมืดไม่ไกลนัก ทันใดนั้นมันก็เปล่งเสียงหนึ่งดังกังวานผ่านอากาศขึ้นว่า
“รีบไปช่วยชีวิตคนเสีย ข้าทำได้เพียงแค่นี้”
สิ้นเสียงดังนั้น บุคคลปริศนาก็ควบม้าทะยานจากไปโดยตรง
เซี่ยหลู่เฟิงและฉีหมิงเยว่ ต่างฝ่ายต่างมองหน้าสบมองกันอยู่สักครู่ ก่อนจะรีบบึ่งไปยังศาลาที่อยู่ห่างไปจากนอกเมืองสิบลี้ดั่งว่า