ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 48 ปราณสีม่วง
ตอนที่48 ปราณสีม่วง
หลังเดินตามติดชายคนนั้นได้สักระยะประมาณครึ่งชั่วยาม ฝีเท้าของเขาพลันหยุดกะทันหัน มองย้อนกลับไปหาเซียถง โบกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเป็นสัญญาณให้เงียบ มีดสั้นเล่มใหม่เงาวิบไหลออกมาจากใต้แขนเสื้อนาง เล็ดลอดสอดใส่บนฝ่ามือโดยไว ประการแรกเพื่อตั้งรับขับสู่กับสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้น และประการที่สอง เผื่อว่าชายคนนั้นจะเบ่งเป้าหมายมาโจมตีตนแทน
พอเซียถงเคลื่อนคลานเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น ชายคนนั้นก็กวักมือ กดลงบนไหล่ซ้ายของเซียถงให้ย่อตัวต่ำลงกว่านี้ จนสุดท้ายต้องส่งสัญญาณให้หมอบลงแนบกับพื้น นางทอดสายตามองออกไปสุดขอบทะเลสาบ ก่อนจะเอนกายหมอบลงพื้นอย่างเชื่อฟัง
“มันอยู่ในทะเลสาบจันทราแน่นอน ในไม่ช้ามันจะปรากฏตัวออกมาแล้ว คาดได้ว่ายามนี้ ถึงเวลาที่มันต้องมาอาบน้ำล้างตัว”
ชายคนนั้นนั่งย่องๆ อยู่เคียงข้างนางที่หมอบต่ำแนบพื้น เอ่ยกระซิบเสียงแผ่วต่ำ
ห่างออกไปประมาณสามเมตร มีทุ่งราบกว้างไพศาล อุดมไปด้วยผืนหญ้าเขียวขจี บุปผาป่าพลิ้วไหวตามกระแสลมยามดึก
ท่ามกลางแสงจันทราสว่างเฉิดฉาย ผิวน้ำเรียบใจกลางทะเลสาบใสบริสุทธิ์ดั่งกระจกเงาสะท้อน
ผนวกกับเงาสะท้อนจากดวงดาราประดับประดาเคียงจันทร์ ทำให้สุดขอบฟ้าทะเลสาบกลายเป็นเส้นสีเงินสว่างงดงาม สมแล้วที่ได้ชื่อว่า ทะเลสาบจันทรา อย่างแท้จริง เซียถงมองดูภาพฉากเบื้องหน้าด้วยความหลงใหล นางไม่เคยพบเห็นทิวทัศน์ใดที่งดงามปานนี้มาก่อนเลย
“อีกไม่นาน มันจะออกมาแล้ว”
ชายคนนั้นกดศีรษะลงไปมองเซียถง เท่าที่เขามองเห็นในขณะนี้คือ แววตาของหญิงสาวคู่สวย นัยน์ตาสีดำขลับเสมือนหมึกดำ ยามนี้ปราศจากแววอาฆาตเย็นชา กระทั่งร่องรอยจิตสังหารเจนจัดโดยทั่วไปยังไม่มี เวลาปกติแบบนี้นางช่างงดงามอย่างแท้จริง ประกายแสงระยิบระยับที่ส่องสะท้อนจากทะเลสาบจันทรา ฉายแววปรากฏบนดวงตาคู่นั้นแวววับ ริมฝีปากเงางามอวบอิ่มน่าสัมผัส ทั้งยังรอยยิ้มพริมใจที่ค่อยๆ พลิบานนั่นอีก
สายตาของชายผู้นั้นเป็นประกายสดใส จากนั้นพลันปรากฏรอยยิ้มบาง ผุดขึ้นใต้หน้ากากที่สวมใส่อยู่
“มีอะไร?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคน เซียถงละทิ้งรอยยิ้มหุบมุมปากในทันใด เงยหน้าหันไปมองชายคนนั้น แลเห็นแววตาเสน่ห์หาปานนั้น ถึงกับเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเป็นเท่าตัว
ทั้งรอยยิ้มและประกายสายตาเมื่อครู่ของชายคนนั้นอันตรธานหายวับไปในชั่วขณะอึดใจ แทนที่ด้วยแววตาสุดเย่อหยิ่งลำพองตน แววตาสายเย็นของเซียถงยังคงจับจ้องไม่เสื่อมคลาย ก่อนในท้ายที่สุดจะเคลื่อนกลับไปเฝ้าสังเกตทะเลสาบจันทราเบื้องหน้าดังเดิม
เซียถงคิดรำพึงกับตัวเองในใจ ไฉนชายคนนั้นถึงต้องส่งสายตาแปลกๆ ให้แก่นาง? ทั้งนี้นางก็มั่นใจว่า ตัวเองมิได้งดงามหรือพราวเสน่ห์ยั่วยวนตรงไหน หรือชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาผู้นี้จะมีรสนิยมชอบของแปลกกัน?
หลังระดมความคิดไปหลายตลบ ไม่ว่ายังไงนางก็นึกสาเหตุไม่ออก ส่ายหัวพลางยักไหล่ไปทีหนึ่ง พร้อมมุ่งความสนใจไปที่ทะเลสาบจันทราต่อไป
ชั่วขณะต่อมา มีสุ้มเสียงดังกรอบแกรบดังขึ้นจากในป่าฝั่งขวา เซียถงค่อยๆ เคลื่อนสายตามองไปยังทิศทางดังกล่าว จนได้พบกับสัตว์สี่ขาร่างขาวบริสุทธิ์ตนหนึ่งคล้ายม้า ย้ำเท้าเดินแช่มออกมาจากทุ่งหญ้า
นี่มันสัตว์อสูรปราณวิญญาณ! เซียถงถึงกับกระชับกำมีดสั้นในมือแน่นทันที
ในฐานะสัตว์อสูรปราณวิญญาณ ตอนที่มันเดินออกจากทุ่งหญ้ากว้าง ถึงกับยืนนิ่งหันซ้ายแลขวาอยู่หลายรอบ มีท่าทีระแวดระวังสุดขีด หลังมั่นใจแล้วว่า ไม่มีภัยอันตรายใดๆ จึงยกกีบเท้าย่างก้าวเคลื่อนออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ตรงเข้าใกล้ทะเลสาบจันทราภายใต้เงาจันทร์ส่องสว่าง เขาปราณวิญญาณตั้งตระหง่านบนศีรษะ ลักษณธเขาของมันใสบริสุทธิ์ดุจเพชร เปล่งประกายวิบวับงดงามจรัส
หลังจากที่มันย่างเท้าก้าวลงไปในทะเลสาบ ท่าทีระแวดระวังของสัตว์อสูรปราณวิญญาณก็ดูผ่อนปรนหละหลวมลงหลายส่วน มันแช่ตัวอยู่ในทะเลสาบจันทราอย่างสบายใจเฉิบ บ้างยังมีก้มศีรษะดำน้ำใสสะอาด เพื่อล้างหน้าล้างเขาของมัน
ซึ่งเสี้ยวจังหวะที่มันก้มศีรษะลงไปดำน้ำเล่น ชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาก็ส่งสัญญาณให้เซียถงบุกจู่โจมทันควัน ร่างเงาสองสายปราดพุ่งออกมาจากที่ซ่อน ตรงเข้าหาสัตว์อสูรปราณวิญญาณด้วยความเร็วสูงสุด มือข้างขวาของชายคนนั้นกระตุกวูบส่องแสงประกายสีเงินสาดสะท้อน ปรากฏเป็นกระบี่อ่อนเล่มเรียวยาวในมือ ชั่วขณะเดียวกัน พลันปรากฏร่างเงาอีกหลายหลากสายกระโจนพุ่งออกมาจากสารทิศ พุ่งเข้าหาสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นโดยพร้อมเพรียง
ปรากฏว่า ที่นี่มีคนของเขาซุ่มโจมตีรออยู่แล้ว!
เซียถงปราดสายตาจับจ้องเงาร่างหลากหลายสายเหล่านั้นที่พุ่งเข้าใส่เป้าหมายเดียวกัน พวกเขาล้วนมีพลังฝีมืออยู่ในขอบเขตเสาหลักเขียวทั้งสิ้น มีอาวุธคมมือเป็นกระบี่ยาว ใครจะไปรู้กันว่า มีคนดักซุ่มโจมตีรอไว้อยู่แล้วมากขนาดนี้? ตั้งใจไว้ว่า หากต้านรับไม่ไหวและหมดแรงไปก่อน จะเปลี่ยนตัวสลับให้คนอื่นลงมาต้านรับแทน?
สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นกลับมิได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนแต่อย่างใด คมกระบี่อ่อนสีเงินวาววับในมือชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาทะลวงเสียบใต้ซี่โครงล่างขวาของมันเข้าอย่างเต็มๆ จนมือที่กระชับจับด้ามกระบี่สัมผัสได้ถึงเรียวขนอันอ่อนนุ่มของมัน
ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นถึงกับกรีดร้องคร่ำครวญระงม รีบกระโจนขึ้นจากน้ำโดยไว
ทันใดนั้นก็เปิดปากอ้ากว้างหันเข้าใส่ชายคนนั้น ปรากฏเปลวเพลิงลุกโชนพวยพุ่งออกมาจากปากของมัน
ชั่วอึดใจขณะ ชายคนนั้นเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วร่าง ระเบิดคลื่นรัศมีสีครามฟ้าออกมาเป็นวงแหวนโคจรอยู่รอบกาย ปิดกั้นเปลวไฟเดือดดุที่ผลาญพุ่งกระหน่ำเข้าใส่ เบี่ยงกระบี่อ่อนในมือขวา เปลี่ยนทิศทางการฟันเป็นจากล่างสวนขึ้นบน ผ่าบริเวณซี่โครงของสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นจนก่อเกิดเป็นรอยแผลลากยาว แต่ชั่วพริบตานั้น ร่างกายาสีขาวของมันกลับกระแสพลังวิญญาณลึกลับระดมเข้าปกคลุมเนื้อหนังเอาไว้
ดวงตาคู่นั้นของสัตว์อสูรปราณวิญญาณกลายเป็นสีแดงเลือด ชูศีรษะแผดเสียงคำรนเสียดฟ้า และจู่ๆ ก็มีเปลวเพลิงสีทองพวยพุ่งปะทุออกมาจากร่างของมัน ไม่ว่าเงาร่างของชายคนนั้นจะพยายามเลี่ยงหลบไปยังทิศทางใด แต่เปลวเพลิงสีทองดังกล่าวกลับติดตามเขาไม่มีลดละ หากถูกเพลิงสีทองเหล่านี้จับได้เพียงปลายเท้า อาจต้องกลายเป็นเถ้าถ่านพริบตา
เพียงไม่นาน ทะเลสาบจันทราสีเย็นแห่งนี้ก็กลายมาเป็นทะเลเพลิงสีทองอันร้อนแรง
ชายคนนั้นกระชับกระบี่หลบกระแสเพลิงสีทองอย่างไม่ลดละ แต่ทันใดนั้น กระแสพลังลมปราณสีครามบนร่างก็พุ่งทะยานผงาดง้ำฟ้าดินอีกครา! ระเบิดพลังแผดรัศมีทรงพลานุภาพไพศาล จากสีครามฟ้าเริ่มไล่ระดับไปเข้มจัด จนสุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง! ดวงตาสีขลับเข้มจับจ้องไปที่สัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นที่วิ่งอยู่เหนือน้ำ ครั้งนี้กรอกเทพลังสายใหญ่อัดแน่นลงในคมกระบี่อ่อน พร้อมฟาดฟันออกไปสุดแรงเต็มพิกัดใส่มัน คลื่นกระบี่วินาศทรงคลื่นจันทร์เสี้ยวสีม่วงทอประกายจัดจ้าน ฉีกกระชากห้วงเวหาดังเสียดหู พวยพุ่งเข้าใส่ทางสัตว์อสูรปราณวิญญาณตนนั้นโดยไร้ปรานี!
เซียถงที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่เคียงข้าง พอเห็นสีสันคลื่นพลังม่วงจัดจ้านที่โหมกระพือบนร่างของชายคนนั้น ชั่วขณะอึดใจ นางถึงกับตกสู่ภวังค์ความตื่นตะลึงไปสักครู่ใหญ่
ขอบเขตราชันย์ม่วง! ราชันย์ม่วงจริงๆ!!
ชายคนนี้คือยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วง!
ลมปราณสีม่วงประกายในตำนาน!
นางกระชับมีดสั้นในมือกำแน่น แอบคิดกับตัวเองไปว่า โชคดีแล้วที่นางมิได้ยั่วยุหรือล้ำเส้นอะไรอีกฝ่ายไป มิฉะนั้นนางอาจตายไม่รู้ตัว! แต่ยังไม่ทันคิดจินตนาการไปไกล ทันใดนั้นนางก็ปั้นหน้าฉงนงุนงงอีกครั้ง เพียงพริบตาต่อมา ชายคนนั้นก็สามารถฆ่าสัตว์อสูรปราณวิญญาณได้แล้ว ราวกับว่าหลับตาฆ่ายังได้!
เช่นนั้น…ไฉนเขาถึงต้องลากนางมาที่นี่ด้วย? จู่ๆ ก็ยอมมอบเขาปราณวิญญาณซึ่งเป็นส่วนที่มีค่าที่สุดของสัตว์อสูรปราณวิญญาณให้โดยที่นางไม่ต้องเปลืองแรง? หรือทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะ…คัมภีร์วรยุทธลับในมือนาง?