ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 482 เขาวงกตลึกลับ (2)
ตอนที่482 เขาวงกตลึกลับ (2)
ตอนที่482 เขาวงกตลึกลับ (2)
เค่อฮั่วมัวมองเถาวัลย์และไม้เลื่อยคลานชอนไชกะโหลกศีรษะชิ้นหนึ่งที่มีดอกบุปผาผลิบาน อารมณ์ความรู้สึกของเขายามนี้ขุ่นหมองปนเศร้าเล็กน้อย เพราะในภารกิจลับครั้งนั้น ก็มีคนตระกูลเค่อเข้าร่วมหนึ่งในกองทหารยอดฝีมือหนึ่งแสนนายเช่นกัน ข่าวสุดท้ายที่ได้รับคือ การเดินทางของพวกเขาสิ้นสุดลงที่นี่ และเหล่ารุ่นลายครามตระกูลเค่อก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ในเวลานั้น พวกเขาต้องการเสาะหาเศษซากกระดูกของคนในตระกูลมาประกอบพิธีกรรม และสร้างสุสานให้อย่างสมเกียรติ แต่จนแล้วจนรอด กลับหาไม่ได้เลยสักชิ้น พอมาปัจจุบัน ใครจะไปคิดว่ากลับมีเกลื่อนกลาดอยู่ที่นี่
กระบี่ทัณฑ์ฟ้ายังคงอยู่ในมือเซียถง แต่หลิวซูก็สื่อจิตส่งผ่านห้วงความคิดหานางว่า
“ข้าสัมผัสอะไรบางอย่างได้! นี่มันกลิ่นตราผนึกอยู่ไม่ไกลตรงนี้นัก!”
เนื่องด้วยตัวมันเคยถูกพันธนาการผนึกเอาไว้นานนับไม่รู้กี่ทศวรรษ ดังนั้นประสาทสัมผัสของหลิวซูจึงไวต่อกลิ่นอายของสิ่งผนึกเป็นพิเศษ
หลิวซูในเวลานี้มันดูจริงจังอย่างมาก สักครู่ค่อยกล่าวต่ออีกว่า
“ตราผนึกดังกล่าวถูกทำลายลงแล้ว สิ่งนี้ต้องถูกขุมพลังของผู้คนนับแสนรวมพลังทำลายลงไม่ผิดเพี้ยน! มันต้องอยู่แถวนี้แน่นอน! เพียงว่ามันยังไม่สิ้นฤทธิ์โดยสมบูรณ์ และหลงเหลือเศษซากพลังผนึกพันธนาอยู่หนึ่งส่วน และด้วยพลังที่เหลือนี้เอง กลับไม่เพียงพอสำหรับสร้างม่านพลังไร้สภาพปกป้องครอบคลุมได้ทั่วหุบเขาคุนหลุน! ซึ่งเขาวงกตที่เราอยู่ในขณะนี้คือจุดสร้างพลังม่านไร้สภาพดังกล่าว แหล่งตัวหลักน่าจะอยู่ที่จุดศูนย์กลาง!”
“อืม พลังที่หลงเหลืออยู่น่าจะอ่อนกำลังลงมากแล้ว ควรง่ายต่อการทำลาย ขอเพียงหาให้เจอแล้วลงมือซะ การจะขึ้นไปบนหุบเขาคุนหลุนก็หาใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป!”
เซียถงกล่าวประเมินการณ์
“ง่าย? แม้ว่าพลังที่หลงเหลือจะเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นถึงค่ายกลปราการที่หลอมสร้างขึ้นจากอสูรบรรพกาลระดับชั้นเทพอสูร! แล้วเจ้าคิดว่า ขุมพลังความแข็งแกร่งของพวกเทพอสูรมันง่ายจะต่อแยนักกระมัง? ตัวเจ้าไม่มีวันทำลายมันลงได้!”
จริงจังได้ไม่ทันไร หลิวซูก็หาเรื่องย้อนกลับมาพูดวาจาถมถุยใส่เซียถงอีกครา
“เสี่ยวฮั่ว แล้วเจ้าคิดเช่นไร? เสี่ยวฮั่ว? เสี่ยวฮั่ว?”
ได้ฟังคำกล่าวของหลิวซู เซียถงก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อทั้งหมดจึงหันมาไถถามความเห็นจากเสี่ยวฮั่ว แต่ไม่ว่าพยายามเรียกเท่าไหร่ กลับปราศจากเสียงตอบรับจากมัน
“ข้าจะช่วยเรียกมันเอง!”
ในห้วงความคิด หลิวซูหันไปเห็นดวงไฟสีม่วงที่กำลังคอยเคว้งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงคิดสนุก กระโดดเหยียบดวงไฟสีม่วงที่อยู่ด้านข้างโดยตรง!
นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่หลิวซูสามารถกลั่นแกล้งเสี่ยวฮั่วได้ แต่ทันทีที่มันเหยียบย่ำลงไป คู่เท้าของมันก็หลุดทะลุผ่านกับตา ดวงไฟสีม่วงแตกสลายและหายไปในพริบตาต่อมา!
ภายในห้วงความคิด เซียถงสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปรเปลี่ยนทันควัน ส่วนทางด้านหลิวซูถึงกับหน้าเสียถอดสีซีดเซียว มันอุทานร้องเสียงสั่นว่า
“ขะ-ข้า…ข้าเหยียบเสี่ยวฮั่ว มะ-มันตายแล้ว?”
มันเบิกตาโพล่งโต ปั้นหน้าตะลึงเหลือเชื่อขีดสุด
สักพักหนึ่ง เซียถงก็เริ่มรู้สึกว่า พลังชีวิตของเสี่ยวฮั่วค่อยๆ จางหายไปจากในร่างกายของตน
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวฮั่ว?”
“ขะ-ข้า…ข้าไม่รู้!”
หลิวซูพูดตะกุกตะกักสะกดคำแทบไม่เป็นภาษา มันกำลังตื่นตูมหนักจริงๆ ถึงแม้มันกับเสี่ยวฮั่วจะชอบทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง สร้างความลำบากใจให้กันมิใช่น้อย แต่ตัวมันก็ไม่เคยคิดถึงขั้นฆ่าแก่งเสี่ยวฮั่วเลยจริงๆ สักครั้ง ในทางตรงข้าม ลึกๆ ในใจของหลิวซู มันก็เห็นอีกฝ่ายเป็นสหายคนหนึ่งเช่นกัน
“เมื่อครู่ตอนที่ข้าบอกจะไปเรียก ก็หันไปเห็นดวงไฟสีม่วงลอยนิ่งอยู่แบบนั้น ก็พลางคิดไปว่าเสี่ยวฮั่วมันแอบอู๋ขี้เกียจ ก็เลยอยากจะแกล้งสักทีให้ตกใจ แต่…แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเป็นแบบนี้!!”
ตกใจเรื่องเสี่ยวฮั่วหายตัวไปก็เรื่องหนึ่ง แต่หลิวซูเองก็วิตกอย่างหนัก กลัวเซียถงจะโทษว่าเป็นความผิดของมันที่กระโดดเหยียบมันจนร่างแตกสลาย และมันอาจโดน…ถอนผมจนหมดหัวเป็นแน่!
ภายในใจเซียถงตอนนี้รู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก
“หากเราต้องการขึ้นหุบเขาคุนหลุนจริงๆ สิ่งแรกก็ต้องผ่านเส้นทางกระดูกพวกนี้ไปให้ได้ก่อน!”
เค่อฮั่วมุ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อน!”
ก่อนที่เค่อฮั่วจะทันย่างเท้าก้าวออกไปข้างหน้า เซียถงรีบกล่าวหยุดโดยไว
เบื้องหน้ายามนี้กอปรพฤกษาพันธุ์บุปผาหลากสีสันสดใส เสมือนกับพรมดอกไม้ที่ถูกปูทับเศษซากกองกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นความงามที่เจือผสมความสยดสยองไม่น้อย และสิ่งหนึ่งที่ควรพึงระวังยิ่งยวดคือ สิ่งสวยงามในสถานการณ์อันตราย มันมิได้สวยงามดั่งที่เห็น
เค่อฮั่วชักเท้าถอนกลับออกมาอย่างรวดเร็ว เซียถงชำเลืองมองต้นไม้เคียงข้าง นางกระโดดขึ้นไปอยู่สักครู่ค่อยกลับลงมาพร้อมกับอสรพิษน้อยสีครามม่วงตนหนึ่งในมือ ซึ่งอสรพิษน้อยตนนี้คือ อสรพิษไผ่ครามมีพิษเหลือร้าย
เซียถงกำอสรพิษไผ่ครามไว้แน่น ก่อนพริบตาต่อมา นางจะเขวี่ยงโยนมันลงในเส้นทางดอกบุปผาหลากสีสันสุดแรง
ทันทีที่อสรพิษไผ่ครามร่วงตกบนเส้นถนนสายตรงหน้า ก็ราวกับมันพบเจอศัตรูตามสัญชาตญาณ พยายามดิ้นรนเลื่อยหนีออกมาสุดชีวิต แต่เพียงจะเริ่มเคลื่อนตัวเลื้อยคลานออกมาไม่ทันไร ผิวเนื้อบริเวณท้องของมันก็เริ่มเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง และพริบตาต่อจากนั้น มันก็สิ้นใจตายในเวลาต่อมา ด้วยพิษที่เข้ากีดกร่อนรุนแรง อีกหนึ่งชั่วอึดใจ ร่างกายของมันโดนย่อยสลายไม่มีเหลือ สุดท้ายทิ้งไว้แค่ซากกระดูกชิ้นหนึ่งไว้ดูต่างหน้า
ภาพฉากน่าสะพรึงขวัญเกิดขึ้นฉับพลัน พวกเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นพลันตกใจกันสุดขีด
เค่อฮั่วหยุดมองไปที่เซียถง แววสายตาเต็มไปด้วยความซับซ้อนเหลือเชื่อ หากนางไม่ตะโกนหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน ปานนี้มีหวังตายตามบรรพบุรุษไป ณ ที่นี่แล้ว!
กลืนน้ำลายหนึ่งอึกใหญ่แสนยากลำบาก เค่อฮั่วรีบหดขาถอยกรูออกห่างตามสัญชาตญาณ
โม่ซวนเองก็ลากเซียถงถอยห่างออกมาด้วยเช่นกัน
นางใช้กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือหลอมผนึกกับเกราะแสงวิญญาณ เพื่อใช้สร้างลมพายุลมปราณขนาดมหึมา เป่าเศษฝุ่นเศษใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนให้ทับถมปิดคลุมเส้นทางดอกบุปผาหลากสีสันและโครงกระดูกตรงหน้านี้
สีสันความงดงามเหล่านั้นถูกกลบทับจนมืดสนิทแล้วก็จริง แต่เมื่อพยายามจะลองก้าวเดินดู ทันใดนั้นลมอุ่นจากไอพิษเข้มข้นก็พลันตีโปร่งพวยพุ่งขึ้นมาขวางไว้!
สุดท้ายไม่ว่านางจะพยายามนำใช้ด้วยวิธีใดกลับเปล่าประโยชน์
ท้องนภายามนี้เริ่มครึมมืด แสงทอตะวันจวนเจียนอัสดงลาลับ ถึงกระนั้นแล้วพวกเขาก็ยังไม่พบหนทางที่จะนำไปสู่จุดศูนย์กลางของเขาวงกตแห่งนี้เลย เนื่องจากการเดินทางในช่วงกลางดึกค่อนข้างอันตราย ในท้ายที่สุดนี้ ทั้งสามจึงตัดสินใจกันหยุดพักผ่อน
ต่างคนต่างเข้ามุมมีโลกส่วนตัวของตนเอง ถึงจะนั่งอยู่หน้ากองไฟ แต่กลับปราศจากสุ้มเสียงพูดคุยกันใดๆ
จันทราซีกเสี้ยวบินล่องลอยสูง ผลัดเปลี่ยนจากเวลากลางวันเป็นกลางคืนโดยสมบูรณ์ สักครู่ต่อมา ก็เริ่มมีเสียงเห่าหอนจากเหล่าสรรพสัตว์มากมายดังกึกก้องทั่วผืนป่าเป็นระยะ ค่ำคืนรัตติกาล ทว่าบนฟากฟ้าม่านนภาแห่งนี้กลับมีบางสิ่งไม่เข้าพวก นั่นคือเงาทมิฬที่กำลังสยายปียักษ์ท่ามกลางแสงดาราที่ส่องระยิบระยับลงมา ควบคู่กันกลิ่นอายแกร่งกร้าวขุมหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
ในปัจจุบัน กำลังมีนกอินทรียักษ์ตนหนึ่งบินเหินอยู่เหนือศีรษะของทั้งสาม วนเวียนเป็นวงกลมอยู่แบบนั้นก็หลายรอบ คล้ายว่ากำลังหาจุดร่อนจอดลงมา
เซียถงเงยหน้าแผงนมอง ก็พบร่างเงาดำนั่งขี่อยู่บนอินทรีจยักษ์ดังกล่าวอยู่
นกอินทรีตนนั้นยังคงตีปีกบินวนไม่หยุด เพียงลดความสูงลงต่ำจากเดิมอยู่หลายส่วน และในทันทีทันใด ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากบนอินตรีดังกล่าว ดิ่งพสุธาร่อนลงบนพื้นอย่างสง่างดงาม ชายหนุ่มคนนี้สวมเสื้อคลุมสีทมิฬดำ สายลมพัดชายเสื้อคลุมกระพือลอย เสมือนกำลังกายปีกวิหคสยาย
หลังจากที่ชายหนุ่มคนนี้ดิ่งร่อนลงจอด เขาก็เงยหน้ามองเซียถงและส่งรอยยิ้มอันสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ให้
“มาหุบเขาคุนหลุนเที่ยวนี้เพื่อล่าขุมทรัพย์ แต่หากไม่พาข้ามาด้วย เกรงว่างานนี้มีกร่อย!”
พอเซียถงได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงชัดๆ นางถึงกับอดหัวเราะมิได้ อุทานขึ้นคำหนึ่งด้วยความตกใจ
“ไฉนถึงเป็นเจ้า!”