ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 483 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (1)
ตอนที่483 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (1)
ตอนที่483 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (1)
ไป๋หลี่หานเหม่อมองทอดสายตาข้ามหุบเขาซึ่งอยู่ห่างไกลโพ้นสายตา แห่งนั้นมีชั้นหมอกเมฆาสีดำปิดปกคลุมกลมกลืนกับความมืดมิด แววความอ่อนล้าในดวงตาถูกซ่อนแฝงมิดชิดสนิทสมบูรณ์ภายใต้หน้ากาก เขาเดินทางตลอดทั้งวันคืนติดต่อกัน และในที่สุดก็เห็นหุบเขาคุนหลุนอยู่เบื้องหน้าเสียที
แลเห็นหุบเขาลูกไกลโพ้นเบื้องหน้าคล้ายมีเงาดำทมิฬปกคลุมดั่งเกิดลางสังหรณ์คล้ายจะมีเภทภัย ไป๋หลี่หานก็เริ่มรู้สึกกังวลในเรื่องความปลอดภัยของเซียถงเล็กน้อย
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง จึงปริปากเอ่ยออกไปโดยไม่มีแลเหลียวมอง
“สถานการณ์เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“นายหญิงถูกถนนสายพิษบุปผาขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ และยังทราบมาด้วยว่า หลัวซีกำลังมุ่งหน้าไปที่หุบเขาคุนหลุนเช่นกัน จากที่สันนิษฐาน อีกฝ่ายน่าจะพบกับนายหญิงแล้วในเวลานี้”
“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงหมอนั่น เราเร่งรุดไปต่อโดยเร็ว เข้าสมทบกับเซียถงแล้วค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง”
ไป๋หลี่หานเขานวาจาสั่งการ
ทว่าชั่วขณะหนึ่ง เขากลับสังเกตเห็นแววความลังเลปกคลุมอยู่บนสีหน้าของผู้ใต้บัญชานายนั้น
“มีอะไรกระมัง?”
“เรียนนายท่าน ณ ปัจจุบันนี้ ทุกจักรวรรดิล้วนส่งกลุ่มนักฆฆ่ามากฝีมือไปที่หุบเขาคุนหลุนกันถ้วนหน้า บ้างถึงขั้นวางแผลลอบสังหารนายหญิง บ้างกำลังวางแผนเฝ้าสังเกตการณ์ตามเนื้องาน มีหลายหลากความเป็นไปได้มากมาย หากนายหญิงไม่ได้บัญชาสี่พิภพมาครอบครองยังพอทำเนา แต่หากได้มันมา ทุกจักรวรรดิล้วนเกิดคลั่งไคล้โกลาหลแน่นอน ดีไม่ดีทวีเทียนหลางอาจกลายมาเป็นพายุนองเลือดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ กระทั่งพวกตงหลี่เองก็ไม่มีข้อยกเว้น เช่นนี้แล้ว หากปล่อยให้ก่อเกิด อาจไม่ส่งผลดีต่อดินแดนอี้เฉิง”
มีหรือที่ไป๋หลี่หานจะไม่ทราบว่า อีกฝ่ายกำลังหมายความอย่างไรอยู่
การที่เซียถงเดินทางสู่หุบเขาคุนหลุนครั้งนี้ นับเป็นชนวนมหาสงครามครั้งใหญ่อย่างเลี่ยงมิได้! แต่เนื่องด้วยนี่เป็นเจตนาที่นางต้องการจากใจจริง ในฐานะผู้เป็นสามีของนาง ไป๋หลี่หานยอมเต็มใจเติมเต็มความปรารถนานี้ของนางให้เป็นจริงแน่นอน ส่วนที่ว่าทั้งสี่จักรวรรดิใหญ่จะเคลื่อนไหวอย่างไร เรื่องนี้รอดูกันต่อไป
“เจ้าเฝ้าระวังอยู่ที่นี่ รอจนกว่าหน่วยเงาจะส่งสาสน์ตอบกลับมา”
“ขอรับ!”
ผู้ใต้บัญชาคนนั้นโค้งคำนับและเดินออกไป ในเวลานี้กองกำลังของไป๋หลี่หานแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกเฝ้าระวังอยู่แถวนี้ และอีกกลุ่มติดตามเขามุ่งหน้าไปสมทบกับเซียถง
ถึงแม้หลัวซีจะตามมาสมทบอีกแรง แต่ทั้งเซียถงและที่เหลือไม่ว่าจะเสาะหาวิธีการใด ก็ไม่สามารถข้ามพ้นเส้นทางบุปผาพิษสายนี้ได้เลย ซึ่งไพ่ตายเดียวของนางอย่างเสี่ยวฮั่ว ก็ดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องอย
หลิวซูเป็นจิตวิญญาณยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล สิ่งที่มันแพ้ทางคือพิษจากเส้นทางบุปผาเหล่านี้น กล่าวคือ พิษดังกล่าวมิใช่เพียงสร้างความเสียหายแก่กายเนื้อ แต่ยังส่งผลกระทบถึงจิตวิญญาณโดยตรงอีกด้วย ทันทีที่มันขยับเข้าใกล้ พลังวิญญาณของมันก็ถูกกัดกร่อนบ่อนทำลาย
หลังจากพยายามกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทุกคนต่างตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันพักใหญ่
“นี่เป็นเส้นทางขึ้นเขาเพียงแห่งเดียวรึ?”
เซียถงหันไปเอ่ยถามโม่ซวน
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่ด้านบนหุบเขาคุนหลุน นี่คือสิ่งที่เค่อฮั่วรู้ทั้งหมด แต่โม่ซวนนั่นแตกต่างออกไป เขาเคยมีประสบการณ์เดินทางมาที่หุบเขาคุนหลุนแล้วครั้งหนึ่ง คือตอนที่ติดตามราชาหมาป่าสวรรค์มา และในเมื่อตอนนั้น สามารถไปถึงด่านม่านพลังไร้สภาพได้ ก็แสดงว่าจะต้องมีหนทางอื่นอยู่เพื่อนำพวกเขาไปสู่จุดต่อไป
โม่ซวนกล่าวตอบไปตามตรงไม่มีคิดปิดบัง
“มีหนทางอื่นอยู่ก็จรอิง แต่เส้นทางสายดั่งว่ากลับไม่สามารถผ่านได้ในเวลานี้”
“เพราะเหตุใด?”
“ยังจำดวงไฟสีม่วงในตอนนั้นได้หรือไม่นายหญิง?”
เซียถงเข้าใจได้ในทันควัน โม่ซวนกำลังพูดถึงเสี่ยวฮั่วอยู่ นางจึงพยักหน้าตอบ
“เราใช้หนทางนั้นเดินทางขึ้นไปจนพบเจอกับดวงไฟสีม่วง แต่ในปัจจุบันได้ถูกดวงไฟสีม่วงดังกล่าวตัดขาดเส้นทางไปแล้ว”
เส้นทางที่โม่ซวนกำลังพูดถึงคือ เส้นทางจากนาบขนานมาจากหุบเขาที่อยู่ข้างเคียง ระหว่างกลางของสองเนินเขาจะมีหน้าผาที่ยื่นเข้าหากัน ในจุดนั้นจะมีโซ่เหล็กอยู่เส้นหนึ่งที่ถูกสร้างเป็นทางให้ปีนป่ายข้ามไปได้ แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์ตามล่าดวงไฟสีม่วงในตอนนั้นทำให้โซ่ดังกล่าวขาดจากกัน จะให้โยนโซ่ไปคล่องใหม่ก็นับว่ายากเย็น เนื่องด้วยกระแสลมรุนแรงบนนั้น ซึ่งเส้นทางที่ว่านี้มีน้อยคนนักที่รู้จัก เว้นเสียแต่เจ้าถิ่นที่ใช้หุบเขาที่อยู่ขนาบข้างหุบเขาคุนหลุนเท่านั้นที่ถึงจะรู้
เซียถงลืมตาตื่นทอดมองไปแสนไกล เฝ้ามองตลอดเส้นทางที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา นางทุ่มเททั้งความพยายามและเวลามากมายใส่ลงกับการเดินทางไปจักรวรรดิซีฉินในเที่ยวนี้ เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมโอสถ และต่อจากนี้ นางจะไม่เสียเวลาชีวิตให้กับเรื่องออกทะเลเฉกเช่นนี้อีกต่อไป ดังนั้น นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ดังนั้นจะให้ยอมแพ้กลางคันคงไม่ได้เข่นกัน เรื่องจำพวกครึ่งๆ กลางๆ กลับหาใช่หลักการดำเนินชีวิตของเซียถง
หลัวซีเหม่อจับจ้องหญิงสาวที่ได้พบเจอตรงหน้า ขณะเดียวกันก็นึกย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่เขาได้ยินว่านางกำลังมุ่งน้าไปหุบเขาคุนหลุนโดยลำพัง หลัวซีตัดสินใจฉับพลัน ออกเดินทางตามมาสมทบอย่างไม่มีลังเลใดๆ สำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา ตัวเขาก็ยังสลักจำจดถึงความผิดพลาดของตนเองไว้ได้อย่างแม่นยำ และยังเป็นกังวลอยู่ในใจเสมอมาว่า เซียถงจะไม่มีวันยกโทษแก่เขาอีกแล้วชั่วชีวิต เพราะเหตุนี้เอง ทำให้เขาไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเซียถง ถึงแม้จะมาถึงแล้วก็ตามที
แต่อันเนื่องมาด้วยอุปสรรคที่ขวางกั้นเบื้องหน้า ต่อให้เป็นเซียถงก็ไม่สามารถเสาะหาวิธีแก้ไขได้ หลัวซีที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ตลอดมาจึงเปิดเผยตัวลงมาช่วยโดยไม่มีลังเล แต่ถึงกระนั้นก็ยังเปล่าประโยชน์อยู่ดี
สายตาคู่อ่อนโยนของเขามุ่งมองไปที่เซียถง เขารู้จักและคุ้นเคยกับนางดี แน่นอนเราสองเคยสนิทกันถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม แต่อย่างไรตอนนี้ นางก็กลายเป็นพระชายาของไป๋หลี่หานไปแล้ว
และตามชื่อเสียงเลื่องลือที่เคยได้ยินมา ไป๋หลี่หานหาใช่คนดีอะไรไม่
ทั้งสองเผชิญหน้าสบมองกัน เป็นฝ่ายหลัวซีที่รู้สึกประหม่าขึ้นมาจนอดใจเอ่ยถามขึ้นมิได้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วเขาดูแล…”
ได้ยินคำว่า ‘เขา’ เซียถงพึงทราบทันทีว่าหมายถึงใคร แต่อย่างไรฟังจากน้ำเสียงของหลัวซี นางสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านออกมาได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงความจริงใจที่มีต่อนางอย่างไม่เคยแปรผัน ดังนั้นจึงรีบกล่าวแทรกสวนทันที เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องกล่ำกลืนฝืนพูดต่อไป นางยิ้มกว้างกล่าวตอบทันที
“ไม่ต้องห่วง! หลัวซี พวกเราสบายดี!”
นางบอกว่าพวกเรา? หมายถึงว่า ‘เขา’ คนนั้นกับตัวนางเอง?
เมื่อนึกถึงดังนั้น หลัวซีรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเล็กน้อย เพราะหลัวซีรู้ดีกว่าใครๆ ทั้งปวง นิสัยของนางเป็นพวกหัวรั้นหัวแข็ง และหยิ่งทะนงเป็นที่สุด การที่นางใช้คำว่า ‘พวกเรา’ แทนตัวนางแค่คนเดียว มันแสดงให้เห็นแล้วว่า หัวใจดวงนี้ที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็งของเซียถงถูกไป๋หลี่หานพิชิตได้สำเร็จเรียบร้อย นางยอมรับในตัวชายคนนั้นแล้ว
ถึงจะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอยู่บ้าง แต่ได้ยินว่านางสบายดี หลัวซีเองก็อุ่นใจขึ้นหลานส่วนเช่นกัน
เขาระบายยิ้มคลี่ออกมาทั้งเศร้าและดีใจในเวลาเดียวกัน
เขาไม่ต้องการเผยแสดงความรู้สึกที่น่าอับอายนี้ให้คนอื่นได้เห็น จึงเร่งหันศีรษะมองดูไปทางอื่น จับจ้องเหล่าดอกบุปผาสีสันสวยงามที่ขึ้นชอนไชตามเศษซากกระดูกมนุษย์ตรงหน้า กล่าวขึ้นประโยคหนึ่งว่า
“ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถข้ามผ่านตรงนี้ไปได้ พิษจากดอกบุปผาเหล่านี้มีฤทธิ์รุนแรง พิฆาตได้ยันจิตวิญญาณของคนเรา เหอะ ดอกไม้ที่ไหนขึ้นที่กระดูกกัน น่าแปลกโดยแท้”
สิ้นเสียงกล่าวจบ หลัวซีเผลอถอนหายใจเฮือกหนึ่งโดยมิตั้งใจแต่นั่นทำให้เซียถงที่ได้ยินนึกอะไรขึ้นได้ทันควัน!
นางเบิกตาโตเป็นประกาย มุ่งมองทางเขาเขม็ง
“เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าอันใด?”
“ข้ารึ? ยังไม่ทันพูดอะไรเลย แค่บอกว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดผ่านไปได้ กระทั่งอินทรีโลหิตของข้าเองก็ไม่สามารถบินผ่านจุดนี้ไปได้ ไอพิษที่ตีขึ้นมารุนแรงเกินไป”
นางกวาดสายตามองกองภูเขาที่ทับทมขึ้นจากกองกระดูก ตัดสลับไปต้นไม้ใบหญ้าข้างเคียง ทันใดนั้น ดวงตานางก็เปล่งประกายระยิบระยับสว่างไสวกว่าเดิม และยกกำปั้นขึ้นชกไปที่แผ่นอกของหลัวซีเบาๆ ทีหนึ่ง
หารู้ไม่ว่า หมัดนี้สามารถขจัดความเศร้าโศกทั้งหมดที่อยู่ในใจของหลัวซีได้ในพริบตา เพราะเขาทราบดี เซียถงจะไม่มีทางเล่นแบบนี้กับคนที่ไม่สนิทหรือบุคคลไม่รู้สึกปลอดภัยด้วยเป็นอันขาด