ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 484 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (2)
ตอนที่484 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (2)
ตอนที่484 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ (2)
เขาระเบิดหัวเราะเริงร่าขึ้นทันใด
“ข้าคิดว่า เจ้าจะเกลียดกันเสียแล้ว!”
“เจ้าบ้านี่ เจ้าคือสหายของข้า! ผู้ใดเป็นมิตรสหายกับเซียถงคนนี้ ผู้นั้นเป็นมิตรสหายตลอดไป มิอนุญาตให้เปลี่ยน!”
เขามุ่งสายตาจับจ้องนางจริงจัง ดูเหมือนว่าตอนนี้หมอกควันที่โรยตัวปิดคลุมจิตใจของเขาจะถูกสายลมพัดปลิวไปโดยสิ้นแล้ว ถึงชาตินี้จะไม่มีหวังครองคู่ชีวิตของนาง แต่การได้คบค้าเป็นมิตรสหายคนสนิท เขาเองก็รู้สึกยินดีจนเปี่ยมล้นแล้ว!
“แน่นอน! ขึ้นชื่อว่ามิตรสหายมิอนุญาตถอยหนีหรือทรยศหักหลัง ต่อให้เบื้องหน้าคือทะเลเพลิง อย่าได้หวั่นลังเลช่วยเหลือ!”
หลัวซีกล่าวสัตย์วาจาพร้อมยื่นมือออกไปจับกับเซียถง
เซียถงหัวเราะคิกคัก ขณะที่จะยื่นมือออกไปตอบรับจับเขย่า นางพลันนึกอะไรซุกซนขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนเป็นเกี่ยวก้อยสัญญากันแทน
“ตัวข้ามิใช่คนใหญ่คนโตอันใด จับมือชัดจะดูทางการเกินไป เกี่ยวก้อยเช่นนี้นับเป็นสัญญาใจแล้ว เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร?”
หลัวซีระเบิดหัวเราะเช่นกัน ทั้งเขาและนางต่างโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ไยยังเล่นเป็นเด็กเช่นนี้? อย่างไรเสีย การจะได้มีโอกาสพบเห็นรอยยิ้มที่จริงใจของหญิงสาวตรงหน้านับว่าหายากยิ่ง ได้เห็นดังนั้นเขาก็พลันยิ้มตอบ และเปลี่ยนไปเป็นเกี่ยวก้อยกับเซียถงแทน
จากที่นี่ไม่ไกลนัก ปรากฏรถม้าเกวียนหนึ่งกำลังควบขี่แล่นผ่าน ทั้งยังมีกลุ่มทหารม้าจำนวนนับหลายสิบกำลังไล่ล่าตามติดอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ทหารม้านายหนึ่งที่อยู่ใกล้สุดตะโกนว่า
“เซี่ยหลู่เฟิง! เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว! กล้าลักพาตัวผู้คนและขัดคำสั่งต่อพระราชโองการ รู้หรือไม่ว่านี่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงปานใด!! ไม่เพียงแต่ชีวิตของเจ้าที่จะตกอยู่ในอันตราย แต่ครอบครัวทั้งโคตรของเจ้าเองก็เช่นกัน! อยากให้เป็นเช่นนั้นหรือยังไง? หากยอดศิโรราบหยุดหนีแต่โดยดี ครั้งนี้ข้าจะลองทูลช่วยเหลือต่อองค์รัชทายาทเพื่อขอความเมตตาแก่เจ้า!”
ได้ยินดังนั้น เซี่ยหลู่เฟิงเร่งสะบัดสายบังเหียนคุมม้าเร่งความเร็วตีห่างออกไปเป็นทวีเท่า ความเกลียดชังที่อัดล้นในใจของเขายามนี้มีมหาศาลเกินกักเก็บอีกต่อไป หากเป็นไปได้เขาอยากจะหันรถม้ากลับไปและโจมตีสวนพวกมันให้ราบคาบ!
แต่เหตุผลเดียวที่เขาต้องเลือกถอยหนีเป็นเพราะ คนที่โดยสารอยู่ภายในตัวรถม้ามิได้มีเพียงเซี่ยเสวี่ยเหลียนผู้ซึ่งเป็นน้องสาว แต่ยังรวมไปถึงคนรักและสาวรับใช้ที่ต่อสู้ไม่เป็นอีกคน ดังนั้น ไม่ว่าการหนีครั้งนี้จะทำให้เขารู้สึกอัปยศอดสูปานใด แต่เขาจำต้องทน!
แต่เพลิงอาฆาตที่สุมทรวงกลางอกช่างรุนแรงเกินไป มันกำลังแผดผลาญหัวใจดวงนี้ของเขาทั้งเป็น!
เขากัดกรามฟันกระทบดังกรอด ความโกรธทั้งหมดสั่งสมอยู่บนมือที่กำลังคุมเชือกบังเหียน
ฉีหมิงเยว่กอดร่างเซี่ยเสวี่ยเหลียนไว้แน่น ด้วยวิธีการนี้เองทำให้ตัวเซี่ยเสวี่ยเหลียนยังคงหลับปุ๋ยอยู่ในรถม้า ถึงเส้นทางจะขรุขระเป็นหลุมบ่อมากเพียงใด ก็ไม่ทำให้นางตกใจตื่นขึ้นได้
สีหน้าอิ๋งเอฮ๋อร์ถอดสีซีดเผือดหนัก พยายามใช้สองมือกุมจับประสานอยู่ที่บานหน้าต่างรถม้าเอาไว้แน่นหนา ป้องกันมิให้ร่างตัวพลัดตกปลิวกระเด็นออกไปจากแรงเหวี่ยง
นายทหารม้าทั้งหลายที่ไล่ล่าติดตามเร็วมาก โดยเฉพาะกับม้าสี่ตัวที่เป็นผู้นำกลุ่ม ยามนี้พวกมันกำลังตามมาทันแล้ว
ทันใดนั้นเอง พลันมีศรธรูดอกหนึ่งยิงใส่ พุ่งเสียบทะลุรถม้าเข้ามาโดยตรง ทะยานเฉียดหัวไหล่ของฉีหมิงเยว่ ธารเลือดซิบกระเซ็นสาด ก่อนจะทะยานปักทะลวงกลางแผ่นหลังของเซี่ยหลู่เฟิงที่กำลังควบขับม้าอยู่อย่างจัง
ยังไม่ทันที่ฉีหมิงเยว่จะได้ร้องอุทานสักคำออกมา ญาณสัมผัสก็รับรู้ได้ถึงภัยอันตรายในระบอกถัดไป ปฏิกิริยาการตอบสนองของนางนับว่าเร็วใช้ได้ ศรธนูดอกที่สองพวยพุ่งเข้ามา ฉีหมิงเยวี่ตบฝ่ามือควบแน่นลมปราณเข้าสกัดเอาไว้ แต่ศรธนูดังกล่าวกลับทรงพลังและแกร่งกล้ายิ่งยวด กระแสลมปราณบนฝ่ามือของนางแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ศรธนูอันตรายเจาะเข้าใส่ฝ่ามือของนางจนเป็นรูลึกในพริบตา
แต่อย่างไร ความแรงของศรธนูยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น
หลังจากเจาะทะลุฝ่ามือของฉีหมิงเยว่ไป มันก็พุ่งเข้าเสียบกลางแผ่นหลังของเซี่ยหลู่เฟิงเป็นดอกที่สอง โชคยังดีอยู่บ้างที่มิได้โดนตำแหน่งขั้วหัวใจ แต่นับว่าสาหัสสากรรจ์
กระแสความเจ็บปวดรุมเร้าทำร้ายรุนแรง เชือกบังเหียนพลันหลุดจากสองมือในทันใด รถม้าเริ่มเสียกระบวนวิ่งแหกเส้นทาง ควบทะยานไปทางหน้าผาแทนอย่างมิอาจควบคุม พริบตาต่อมา กีบม้าทั้งสี่ลอยเคว้งเบาหวิว พื้นด้านล่างจากที่ควรเป็นผืนดินกลับกลายเป็นอากาศว่างเปล่า รถม้าทั้งคันร่วงตกลงไปในพริบตา
ด้วยน้ำหนักของรถม้าและคนโดยสาร ยิ่งฉุดให้ดิ่งพสุธาร่วงล่นเร็วขึ้น
เซี่ยหลู่เฟิงกระชากสายคุมบังเหียนอย่างไร ยามนี้กลับไม่ช่วยแล้ว
ธารเลือดแดงสดไหลอาบทั่วแผ่นหลัง เขารีบหันมาตะโกนเรียกพวกเขาในรถม้าโดยไม่แลสนความเจ็บปวดใดๆ
“ออกมาเร็ว!”
อิ๋งเอ๋ร์ตกใจมากจนอะไรไม่ถูก สุดท้ายโดนฉีหมิงเยว่ตบฝ่ามือเข้าใส่กระเด็นออกไป พร้อมกับนางที่กอดกุมร่างเซี่ยเสวี่ยเหลียนกระโจนออกไปในเวลาเดียวกัน ทั้งสาวกลิ้งไถลตัวตามผาที่ลาดลง
ส่วนรถม้าดิ่งร่วงกระแทกพื้นอย่างแรงถูกทำลายเป็นผุยผง ก่อเกิดเป็นเสียงดังสนั่นลั่นผืนป่าขึ้นมา และเป็นเซียถงที่หันขวับจับจ้องไปทางนั้นโดยไวด้วยความสงสัย
ต่อให้มีกลุ่มนักฆ่าที่ต้องการล่าตัวนางติดตามมา พวกมันก็ไม่น่าส่งเสียงดังทำตัวเอิกเกริกปานนี้ สักครู่ต่อมา เซียถงก็ได้ยินเสียงร้องกังวานไปทั่วหุบเขา
“หลู่เฟิง! หลู่เฟิง…!!”
น้ำเสียงสั่นเครือดูตื่นตระหนกเสียสติดังลั่นสารทิศต่อเนื่อง ถึงจะอยู่ห่างระดับหนึ่ง แต่มีหรือที่เซียถงจะไม่ได้ยิน!
“นั่นมัน…ฉีหมิงเยว่?”
หากจำไม่ผิด นางเป็นคนสั่งให้อิ๋งเอ๋อร์กับฉีหมิงเยว่เดินทางไปยังเมืองเฟิงหลี่เพื่อเจอกับเซี่ยหลู่เฟิงมิใช่รึ? แล้วไฉนพวกเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ณ เวลานี้ได้?
ทีแรกต้องการคิดหาวิธีข้ามพ้นถนนสายดอกบุปผาพิษแห่งนี้ แต่พอได้ยินเสียง นางต้องรีบเปลี่ยนแผนโดยทันที เซียถงหันไปกล่าวกับหลัวซีว่า
“อินทรีโลหิตยักษ์ตนนั้นอยู่กับเจ้ากระมัง?”
หลัวซีพยักหน้าตอบ โดยไม่รีรอใดๆ ก็รีบเม้นปากเป่าเป็นเสียงนกหวีดออกไปทันที พริบตาเดียวเท่านั้น ก็ปรากฏอินทรีโลหิตขนาดยักษ์ร่อนลงมาจากฟากฟ้า
เซียถงและหลัวซีกระโดดขึ้นนั่งบนหลังของมัน เป็นหลัวซีที่ยกมือขึ้นตบอินทรีโลหิตอย่างแผ่วเบาสองสามที กล่าวว่า
“เซวียอิ๋ง ไปดูกันเถอะ!”
รับคำสั่งดังนั้น อินทรีโลหิตก็ตีปีกสยายกว้างขึ้นทะยานสู่เวหาสูง พาเซียถงและหลัวซีบินข้ามตรงไปยังที่เกิดเหตุทันที