ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 491 ดวงไฟสีม่วงมรณะ (1)
ตอนที่ 491 ดวงไฟสีม่วงมรณะ (1)
ตอนที่ 491 ดวงไฟสีม่วงมรณะ (1)
เฉพาะยามนี้เท่านั้น เซียถงเข้าใจแจ่มแจ้งในทันใด! ชำเลืองเหลือบมองไป๋หลี่หานที่อยู่ข้างหนึ่ง นางสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปาก เขาเองก็ควรจะทราบประวัติเหล่านี้เช่นกัน ดังนั้นจึงวานให้โม่ซวนกล่าวเล่าอธิบายออกมาแทน!
อย่างไรเสีย ไอ้เรื่องจำพวกโลภะเคล้าโลกีย์หรือไปถ้ำมองผู้หญิงอาบน้ำ สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางหลุดออกมาจากปากไป๋หลี่หานแน่นอน
เซียถงปิดปากหัวเราะในทันใด
ณ เวลานี้ก็ว่าเริ่มพลบค่ำ แต่แสงจากโคมไฟที่ปักรอบที่พักค้างแรมชั่วคราวนับว่าเพียงพอ
เป็นองครักษ์หน่วยเงาที่เสาะพบสถานที่ปลอดภัยแห่งนี้ หลังจากจัดเตรียมค่ายขนาดย่อมเสร็จสรรพ ต่างก็นั่งพักหุงข้าวปลาอาหารทาน
เซียถงออกไปขุดหาสมุนไพรเสาะพบจำนวนหนึ่งแถวบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลจากกันนัก อาศัยเพลิงพิภพเก้าดุษณีใช้หล่อสร้าง จึงหลอมกลั่นโอสถแบบง่ายๆ ขึ้นมาจำนวนหนึ่งพร้อมส่งมอบแก่ฉีหมิงเยว่ หลังจากที่ฉีหมิงเยว่ป้อนโอสถให้เซี่ยหลู่ท่อยู่ในอาการวิกฤตยังมิได้สติ นางก็เอาแต่ลูบศีรษะอีกฝ่าย เฝ้าไข้ต่อไปอย่างไม่มีลดละ พินิจจากอาการบวมบริเวณรอบดวงตาคู่นั้น เซียงรู้ได้เลยว่า ตลอดทางที่ผ่านมานางเอาแต่ร้องไห้ แลเห็นดังนั้นอยากจะกล่าวปลอบโยนสักคำออกไป แต่กลับไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไร
ในเวลานี้ ไป๋หล่หานหยิบใช้ขุมพลังลมปราณในกายตนเองถ่ายทอดสู่ร่างของเซี่ยหลู่เฟิง ตามมาด้วยเซียถงที่ไล่จุดฝังเข็มเพื่อรักษาอย่างพิถีพิถัน
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวน เซียถงเหงื่อแตกพลั่กหมดเรี่ยวแรงไปไม่น้อย
จะว่าไปนี่ก็นานแล้วมิใช่รึ? ไยหลิวซูยังไม่กลับมาอีก?
นางเงยศีรยะกวาดมองไปโดยรอบ สักครู่หนึ่งพึงจำจดได้ว่า หลิวซูมันไปเล่นน้ำที่ในสระน้ำตกสายรุ้ง จึงมุ่งหน้าเดินทางออกไป สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศเงียบสงบมากและดูท่าจะไม่มีภัยอันตรายจริงๆ นางคิดเช่นนั้น ด้วยความเหนียวเนื้อเหนียวตัวจากเหงื่อที่โชกชุ่มร่างกาย นางหันซ้ายแลขวาอยู่สองสามครา ยามมั่นใจได้ว่าไม่มีใครติดตามมาด้วย จึงปลดเปลื้องเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างแช่มช้า
หลังเปลือยกายถอดทุกอย่างเสร็จสรรพ เซียถงก็ค่อยๆ เดินลงบ่อน้ำตกสายรุ้งแห่งนี้ ไม่น่าเชื่อ ภายในนี้เป็นน้ำอุ่นอุณหภูมิกำลังพอเหมาะ ล้างเนื้อล้างตัวอยู่ในนี้ได้สักพัก นางก็หลับตาคลายใจลง ตกสู่สภาวะทิ้งตัวแช่น้ำอุ่นด้วยความสุขสงบ
สักพักต่อมา เซียถงก็เริ่มว่ายสู่ส่วนลึกของบ่อน้ำตกแห่งนี้ อาการเมื่อยล้าที่ร่างกายต้องแบกรับก่อนหน้า คล้ายถูกปลดเปลื้องลงทั้งหมด กระแสน้ำอุ่นที่โอบอุ้มเคลื่อนผ่านอยู่ทั่วกายา มันทำให้นางรู้สึกสบายตัวเกินจะบรรยาย
แต่เมื่อเซียถงกำลังจะแหวกว่ายขึ้นฝั่งกลับไปเช็ดตัว ทันใดนั้น นางพลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างใกล้ฝ่าเท้า มันทั้งนุ่มลื่น และพลิ้วไสวราวกับเส้นไหม บางทีคงจะเป็นพืชไม้เลื้อยใต้น้ำกระมัง…
แต่เดี๋ยวก่อน พืชไม้เลื้อยบ้าอะไรจะเติบโตได้ภายใต้บ่อน้ำร้อนเช่นนี้?
นี่มันเส้นผมมนุษย์!!
เซียถงสะดุ้งโหย่งตกใตยิ่งยวด พริบตาต่อมาพลันรีบดำผุดลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือไปคว้าเส้นผมสายหนึ่งที่พัลวันอยู่บนข้อเท้าของนาง ทันทีที่ออกแรงกระชากขึ้นมา นางก็พบว่าตนกำลังกระตุกผมของเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นสู่เหนือน้ำ!
ทันทีที่เห็นร่างนั้นขึ้นจากน้ำ เซียถงร้องอุทานลั่น!
“อะไรเนี่ย!”
ท่ามกลางบรรยากาศยามรัตติกาลเงียบสงัด เสียงร้องของนางดังกึกก้องไปทั่วผืนป่า
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนที่กำลังพักผ่อนนั่งรอบกองไฟต่างสะดุ้งโหย่งกันเป็นแถว ก่อนที่จะมีปฏิกิริยาเคลื่อนไหวใดๆ กัน ก็เป็นไป๋หลี่หานที่โบกมือขึ้นหยุดเชิงสัญญาณอย่าได้ตื่นตระหนก สุ้มเสียงร้องอุทานนี้ของเซียถง ทำให้เขาอดคลี่กระตุกยิ้มมุมปากมิได้
“นายท่านสุดสวย! นายท่านสุดสวย! ฟังข้าก่อน! ข้ารู้ว่าข้าผิด…”
หลิวซูกล่าวเสียงสั่นเทา พลางจับจ้องเส้นผมสีเงินสลวยอันเป็นที่รักของมันโดนเซียถงกระชากอยู่ในมือ โชคยังดีที่ในเวลานี้ไม่มีกรรไกรอยู่ใกล้มือ มิฉะนั้นหัวของมันคงล้านไปแล้ว
เซียถงก็นึกไว้อยู่แล้ว นิสัยอย่างหลิวซูมันเป็นพวกเอาตัวรอดเป็นยอดดี มันหรือจะปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย? นางสันนิษฐานไว้ว่า ตัวมันน่าจะยังว่ายน้ำเล่นอยู่แถวนี้ไม่ไปไหน ซึ่งก็มันเป็นจริงอย่างที่คิด!
ตัดไปฝั่งของหลัวซี ขณะที่มันกำลังแหวกว่ายเล่นน้ำอยู่อย่างสบายอารมณ์ เมื่อสายตาสบชนเข้ากับเงาร่างของอิสตรีรูปงาม ถึงจะมองไม้ถนัดชัดเจนนัก แต่มันก็เห็นได้ถึงเรือนร่างโค้งเว้าไร้ที่ตินั่น แทบจะในทันทีทันใด มันจึงรนีบว่ายน้ำตรงดิ่งเข้ามาที่นี่
แต่ใครจะไปคาดคิด ยังไม่ทันได้เงยศีรษะขึ้นพ้นน้ำ มันกลับรู้สึกเจ็บหนังศีรษะฉับพลัน เสี้ยวพริบตาต่อมาก็มีมือของใครบางคนกระชากผมของมันขึ้นโผล่จากน้ำโดยตรง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากด่า มันกลับต้องชะงักหยุดโดยพลัน เพราะเงาหน้าของบุคคลตรงนั้นก็ชักคล้ายคลึงกับเซียถง และก็เป็นจริงอย่างที่จริงไว้ นางคือเซียถงจริงๆ!
ทันทีที่ได้กระตุกขึ้นจากน้ำ เสมือนได้เห็นมัจจุราชแห่งความตายกำลังจับจ้องอยู่ต่อหน้า หลิวซูถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือดในบัดดล
ขณะที่หลิวซูกำลังจะเอ่ยปากอ้อนวอนต่อด้วยสีหน้าท่าทีน่าสงสาร ทันใดนั้น ทั้งคู่ต่างก็เห็นดวงไฟสีม่วงกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากป่าข้างเคียง
ดวงไฟสีม่วงในเวลานี้บินผ่านหน้าทั้งคู่ด้วยความเร็วสูงสุด แทบจะทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน ประดุจฟ้าดินถูกย้อมกลายเป็นสีม่วง ความเข้มข้นของกลุ่มแสงนี้ค่อนข้างสดมาก และสว่างจ้าเสียจนทำให้ผู้คนไม่สามารถลืมตาขึ้นมองได้
และชั่วอึดใจเดียว ดวงไฟสีม่วงก็หายวับไป
หลิวซูรีบเร่งใช้โอกาสนี้คว้าผมสีเงินสลวยของตนเองกลับจากมือไม้ของเซียถงโดยไว แลเห็นว่านางเองก็ดูมีทีท่าต้องการจะไล่ตามดวงไฟกลุ่มนั้นไป มันก็กล่าวสนับสนุนขึ้นทันใด
“เร็วเข้า! เร็วเข้า! นั่นอาจเป็นเสี่ยวฮั่ว!”
เซียถงเคลื่อนสายตาหันขวับกลับมา จับจ้องหลิวซูตาเขม็ง
“เจ้าจะไปไหน?”
ถึงดวงไฟสม่วงกลุ่มนี้จะดูค่อนข้างคุ้นตา แต่ด้วยความสว่างที่มากผิดปกติขนาดนี้ ทำเอาเซียถงชักไม่แน่ใจว่าจะเป็นเสี่ยวฮั่วตัวจริงหรือไม่
หลิวซูเบี่ยงสายตาชำเลืองรอบหนึ่ง “เมื่อครู่…”
ทันทีทันใด นัยน์ตาสีแดงทับทิมของมันก็เป็นประกายเปล่งปลั่ง รีบชี้นิ้วไปทางบ่อน้ำอีกแห่งที่อยู่ไม่ใกล้ไกล ร้องอุทานเสียงดังว่า
“ดูนั่น!”
สิ่งที่มันพบเห็นคือร่องรอยของดวงไฟสีม่วงที่จมลึกผ่านผิวน้ำ คล้อยหลังโดนคลื่นน้ำกระเพื่อมลบล้าง ร่องรอยเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางอ่อนลง
“รีบไปดูกันเถอะ!”
มันกลัวจะโดนเซียถงรุมทึ้งเอาตาย หลิวซูจึงกระโจนขึ้นจากน้ำและรีบจำแลงกายเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้า บินทะยานไล่ติดตามดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นไป
สะดุดมองหลิวซูสับตีนแตกเตลิดหนีออกไปโดยไว เซียถงพึงทราบ นิสัยอย่างมันหรือจะมีความรู้สึกห่วงใยมิตรสหายกันจริง? ก็แค่ใช้เรื่องดวงไฟสีม่วงนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกระทำการหนีเพียงเท่านั้น โดยไม่รีรอให้เสียเวลา นางกระโดดขึ้นจากน้ำคว้ากองเสื้อผ้าแพรพรรณรีบวิ่งติดตามออกไป ระหว่างนั้นเอง คว้าอะไรขึ้นได้ก่อนก็รีบจับใส่ เร่งแต่งกายแบบหลวมๆ ขอไปที ทะยานไล่ล่าโดยไวจี๋
หลิวซูกระโดดลงบ่อน้ำนั้นลงซวบโดยตรง เซียถงยืนอยู่ริมบ่อมิได้ติดตามลงไป ร่องรอยแสงสีม่วงเหล่านั้นเบาบางลงเรื่อยๆ จนสลายหายไปหมดจด ผิวน้ำใสกลับมาเป็นสีเขียวน้ำทะเลปกติดังเดิม หลิวซูยกศีรษะขึ้นโผล่จากผิวน้ำอีกครั้ง พร้อมเสียงหอบหายใจถี่เร็ว
ร้องสบถอยู่คำหนึ่ง ก่อนมันจะพยายามปีนป่ายขึ้นมาบนฝั่ง ทรุดตัวนอนกางแขนกางขาแผ่ราบอยู่กับพื้นดิน
เซียถงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วว
“มาไม้ไหนอีก?”
ทีท่าการแสดงออกของหลิวซูที่ดูเหน็ดเหนื่อยราวกับสุนัขแก่หอบ เซียถงยอมทราบ มันแค่พยายามเล่นใหญ่ทำมาเป็นเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงประเด็นเท่านั้น
โดยปกติทั่วไป กับแค่การแสดงละครตบตาฉากเล็กฉากน้อยเท่านี้ กลับไม่ได้กินเซียถงลง มีหรือจะหลุดรอดล่อลวงสายตาของนางได้? โดยไม่รีรอ นางเดินตรงไปกระชากผมของหลิวซูขึ้นจากพื้นทันที ร่างกายของมันโดนกระชากถอนขึ้นอย่างแรง จากที่กำลังนอนอยู่จู่ๆ ก็อยู่ในท่ายืนเฉยเลย
หลิวซูยิ้มเฝื่อนด้วยทีท่าเก้อเขิน หัวเราะแห้งอยู่สองสามคำก่อนกล่าวขึ้นว่า
“อย่าใช้กำลังกันเลย! อย่าใช้กำลังกันเลย! ข้ายอมแล้ว!!”