ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 492 ดวงไฟสีม่วงมรณะ (2)
ตอนที่ 492 ดวงไฟสีม่วงมรณะ (2)
ตอนที่ 492 ดวงไฟสีม่วงมรณะ (2)
“ข้าว่าต้องใช่เสี่ยวฮั่วเป็นแน่! เป็นมันจริงๆ! แต่ไม่ว่าข้าจะตะโกนเรียกมันอย่างไร กลับไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนอง ราวกับมันไม่รู้จักข้าเลย! หรือ…หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะมีดวงวิญญาณแบบเดียวกันมัน ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่า?!”
ช่างเป็นคำพูดที่ฟังดูไม่สร้างสวรรค์เอาเสียเลย
ยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน ทั้งยังรู้สึกน่าเป็นห่วงเหลือเกิน ราวกับเรื่องนี้ย่อมมีตื้นลึกหนาบางเกินที่นางจินตนาการ…
ครึ่งชั่วยามพ้นผ่าน
เย่หลีเทียนจดจ่อเขม็งไปยังบางสิ่งที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ดวงตาของเขายามนี้โกรธเกรี้ยวสุดขีด เสมือนมีเปลวไฟสองดวงกำลังลุกโชน!
ครั้นนี้ เขานำทัพเหล่าผู้ใต้บัญชารวมร้อยกว่านาย ซึ่งทั้งทุกคนกว่าร้อยก็กำลังพัลวันสัปนะยุทธ์อย่างเดือดดุกับบางสิ่งอยู่ เจ้านี่เป็นศัตรูที่ประหลาดยิ่งนัก ร่างกายคือดวงไฟสีม่วง ฉาดฉายธารแสงสีม่วงประกายเจิดจรัสจ้า
และทุกสถานที่บริเวณที่ดวงไฟกลุ่มนี้เคลื่อนผ่าน เหล่านั้นล้วนกลายมาเป็นพายุนองเลือดบ้าคลั่ง
เพิ่งจะจับตาเห็นดวงไฟสีม่วงถนัดตา แต่สักครู่หนึ่งมันก็อันตรธานหายวับไปอีกครั้ง เหล่าผู้ใต้บัญชานับร้อยต่างมองหน้าสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเผยแววสยดสยองหวาดผวากันสุดขั้ว
ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกันหมดว่า ตนเองกำลังต่อสู้กับภูตผี!
ในขณะเดียวกัน แลสังเกตเห็นว่า จู่ๆ หน้าอกข้างซ้ายของผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งก็เกิดอาการโป่งพองโตกะทันหัน หัวใจของชายคนนั้นกระหน่ำเต้นแรงขึ้นและแรงขึ้น ซึ่งมันรุนแรงเสียจนแทบจะพุ่งทะลุออกมาจากหน้าอกซ้ายของเขาอยู่แล้ว และที่ดูน่าพิศวงที่สุดคือ หัวใจของชายคนที่ว่าเกิดเรืองแสงสีม่วงแดงวูบวาบส่องออกมา
ช่างเป็นภาพฉากผิดแผดพิกล!
สีม่วงแดงเปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผนวกคู่กับหน้าอกที่โป่งนูนราวกับลูกโป่งขยายใหญ่ต่อเนื่อง และท้ายที่สุดนั้นเอง
เสียงแตกดัง ‘โพละ’ สนั่นหวั่นไหว ชายคนนั้นอกแตกหัวใจระเบิดเป็นก้อนเลือดในพริบตา
ทุกคนในเหตุการณ์ถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือดในทันใด ดวงใจแทบร่วงกระแทบตกลงตาตุ่มไปชั่วขณะ และเมื่อดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นกำลังกวาดมองเพื่อเสาะหาเป้าหมายต่อไป ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มแสงใหม่ลอยออกมาจากศพของชายคนนั้น เข้ามาหลอมรวมกับดวงไฟสีม่วงกลายเป็นมีขนาดใหญ่โตขึ้น เมื่อเสาะเจอเป้าหมายต่อไป มันก็พุ่งโฉบเข้าโจมตีทันที
ทั้งหมดทั้งมวลขนลุกซู่วเสียวสะท้านไปยันไขกระดูกสันหลัง ไม่มีใครอยากตายทรมานในสภาพอเนจอนาถปานนั้น!
เย่หลีเทียนก้มมองศพของชายคนนั้นที่อกระเบิดแตกตายอยู่ชั่วครู่ เพียงพริบตาต่อมา กำลังทัพที่เขาขนมาก็ตายไปเกือบครึ่งแล้ว กล่าวคือ ตราบใดที่ดวงไฟสีม่วงสัมผัสโดนตัวผู้ใด มันผู้นั้นจะตายทันที
และไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถต่อกรกับดวงไฟสีม่วงนี้ได้เลย
กระทั่งเย่หลีเทียนเองก็ทำได้เพียงหลบเลี่ยงมิให้มันเข้าสัมผัสตัว และอย่างไร เมื่อดวงไฟสีม่วงยิ่งฆ่าผู้คนไปมากเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ขนาดเท่านั้น แต่ทั้งความเร็วและการเคลื่อนที่ยังสูงเป็นลำดับขั้น และหากปล่อยไปเช่นนี้ ไม่เพียงกำลังทัพทั้งหมดที่นำมาจะตายยกกอง แต่ตัวเขาเองก็คงหนีไม่รอดเช่นกัน
เย่หลีเทียนระเบิดพลังลมปราณในกายเพิ่มสูงเป็นเท่าทวี รัศมีแสงสีม่วงประกายเงินสว่างระยิบระยับ ส่องแสงสว่างไสวคล้ายกับดวงไฟตรงหน้าอยู่หนึ่งส่วน วิธีเดียวในการรับมือกับมัน บางทีอาจจำเป็นจะต้องแข่งเบ่งพลังเพื่อเข้าทัดทานกับดวงไฟสีม่วงประหลาดนี้!
และเหตุการณ์น่าแปลกก็บังเกิดขึ้น เมื่อดวงไฟสีม่วงได้เห็นขุมพลังความแกร่งกร้าวในกายเย่หลีเทียนระเบิดออกมา มันก็ดูจะสนใจมิใช่น้อย เวลานี้เจตนาของมันเริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงไฟสีม่วงพยายามจะเข้าสิงสู่ในร่างกายของเย่หลีเทียนให้ได้
และทันใดนั้นก็พลันมีสุ้มเสียงหนึ่งลอยดังมาจากดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นว่า
“นี่มันลมหายใจมังกร?”
สุ้มเสียงนี้เสมือนพัดผ่านมาจากสายลมทางไกลล่องลอยมาตามกระแสอากาศ ทว่าในความเป็นจริง กลับมีต้นกำเนิดเสียงมาจากดวงไฟสีม่วงกลุ่มนี้ทั้งสิ้น
เย่หลีเทียนยื่งรู้สึกประหลาดใจหนักขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการมีอยู่ของเจ้าดวงไฟสีม่วงนี้ มันสามารถจำลองเสียงมนุษย์และกล่าวสื่อสารออกมาได้? หากปล่อยมันไว้เกรงว่าไม่ได้การ ไม่ว่ายังไงเขาจักต้องนำใช้พลังทั้งหมดที่มีเร่งพิฆาตเจ้าดวงไฟสีม่วงโดยไว!
ความเร็วของดวงไฟสีม่วงยามนี้สูงจัดจนทำให้เย่หลีเทียนดูช้าตกเป็นรองหนึ่งส่วน และมันก็อาศัยจังหวะที่เย่หลีเทียนตกเป็นรองนี้เอง ขยับขยายกลุ่มแสงใหญ่แผดใหญ่ขึ้น หันเล็งไปที่อีกฝ่ายขอเพียงแตะสัมผัสได้เพียงเล็กน้อย เท่ากับภารกิจลุล่วงแล้ว!
ในพริบตาเบ็ดเสร็จ ดวงไฟสีม่วงก็โหมพลังทั้งหมดปราดพุ่งเข้าใส่เย่หลีเทียนโดยตรง
แต่เย่หลีเทียนเองก็เตรียมการไว้แล้ว จึงรีบระดมพลังลมปราณลูกยักษ์เข้าสกัดต้านไว้ พยายามผลักลูกพลังทำลายล้างนี้เข้าบดขยี้ดวงไฟสีม่วงให้แหลกเละมิให้เหลือซาก! ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ชิงเยวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นจากไหนมิทราบ แลเห็นลูกพลังลมปราณมหึมาอันทรงอำนาจทำลายล้างอยู่ไม่ไกล ก็รีบตีฝีเท้าวิ่งเข้าใส่ทันทีอย่างไม่คิดชีวิต หวังจะใช้สิ่งนี้ปลิดชีพตนเองให้ดับสูญไปเสีย และพลังลมปราณภายในกายของชิงเยวี่ยนับว่าอ่อนแอมาก หากกระโจนเข้าใส่มัน เกรงว่าร่างกายจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาแน่นอน!
ทว่าชิงเยวี่ยกลับหาได้สนใจอันใดไม่แล้ว หากต้องมีชีวิตอยู่ต่อในฐานะตัวประกันเพื่อใช้ข่มขู่เซียถง เขาขอตายเสียตรงนี้ให้จบๆ ไปเลยดีกว่า!
เบื้องต้นแล้ว การตายของชิงเยวี่ยแทบไม่มีผลกระทบอะไรเลยกับตัวเย่หลีเทียน แต่ทันใดนั้น จู่ๆ เย่หลีเทียนก็พลันหวนนึกถึงคำกล่าวประโยคหนึ่งของเซียถงได้ว่า
‘ใครกล้าแตะต้องมิตรสหายเซียถงผู้นี้ มันผู้นั้นไม่ตายดี!’
โดยเฉพาะกับมิตรสหายคนสนิทอย่างชิงเยวี่ยแล้วล่ะก็…
แน่นอน เย่หลีเทียนไม่กลัวถูกนางฆ่า แต่กลัวถูกนางเกลียด!
ทันทีที่เย่หลีเทียนคิดได้ดังนั้น เขาก็พยายามจะชักดึงลูกพลังลมปราณทำลายล้างในมือกลับเข้ามา แต่นั่นกลับสายเกินไปเสียแล้ว อีกเพียงปลายนิ้วสัมผัส ชิงเยวี่ยก็จะเอื้อมเตะลูกพลังดังกล่าวเป็นอันสำฤทธิ์ผล!
ทว่าในชั่วพริบตานั้นเอง ดวงไฟสีม่วงก็รีบพุ่งตัวออกไป หวังจะเข้าสิงสู่ในร่างกายของชิงเยวี่ย ขณะที่เย่หลีเทียนกำลังจะพลายลูกพลังลมปราณทำลายล้างลงพอดี
ดวงไฟสีม่วงหายเข้าไปในร่างกายของชิงเยวี่ยอย่างรวดเร็ว
เป็นเวลาเดียวกับที่ชิงเยวี่ยรู้สึกได้ว่า มีเงาดำของบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ก็หลงนึกไปว่านี่คือรสชาติของความตาย ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ชิงเยวี่ยต้องการเก็บงำความทรงจำสุดท้ายให้ตายไปพร้อมกับชีวิตตัวเอง ภาพใบหน้าของเซียถงในแต่ละเหตุการณ์ค่อยๆ ร้อยเรียงฉายปรากฏในห้วงความคิดของเขา พร้อมกับรอยยิ้มที่เผยปรากฏขั้นบนใบหน้า!
ท่ามกลางความทรงจำทั้งหมดในหัวของเขามีเพียงบุคคลเดียวที่จับจองพื้นที่อยู่ และนั่นก็คือเซียถง!
เชายังจำจดได้แม่น ถึงเหตุการณ์ระหว่างเขาและนางพบเจอกันเป็นครั้งแรก ทุกอย่างยังคงชัดเจนดั่งเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
ดวงไฟสีม่วงสั่นจู่ๆ ก็เปล่งแสงกะพริบวิบวับในร่างกายของชิงเยวี่ยอย่างต่อเนื่อง ราวกับบังเกิดการต่อสู้ต่อต้านกันเป็นศึกภายใน ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะหลอมรวมกับชิงเยวี่ยจนกลายเป็นหนึ่งเดียว
ดวงไฟสีม่วงกลุ่มนี้ลอยออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง แต่กลับมิได้ทำร้ายตัวชิงเยวี่ย มันกำลังจะพุ่งเข้าไปโจมตีเย่หลีเทียนที่อยู่ข้างเคียงแทน แต่พริบตาต่อมา ร่างแสงของมันพลันเลือนรางและหายวับไปอย่างไร้สาเหตุ
เย่หลีเทียนกวาดมองค้นหาไปทั่วทุกที่ด้วยความงุนงงปนตกใจ แต่กลับไม่พบพานดวงไฟสีม่วงอีกเลย เขาทอดมองกองศพเกลื่อนกลาดเหล่านั้น จะเห็นก็แค่ชิงเยวี่ยที่นั่งทรุดตัวในท่าคุกเข่า เขาโกรธเกรี้ยวจัดเดินเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นจากพื้นทันที และกล่าวว่า
“บัดซบ! เจ้าอยากตายนักใช่ไหม!? รอจนกว่าเซียถงจะได้บัญชาสี่พิภพมาครอง วันนั้นข้าจะสนองให้เจ้าเอง!”
หลังจากสบถด่าไปทั้งหมด เย่หลีเทียนก็ผลักชิงเยวี่ยเหวี่ยงลงพื้นไปสุดแรงทั้งหมดที่มี ขณะที่เขากำลังจะล้มตัวกระแทกพื้นนั้นเอง ก็รีบใช้มือค้ำพื้นเอาไว้โดยสัญชาตญาณ สัมผัสได้ถึงของเหลวกระแสอุ่นไหลบ่าออกมา เมื่อเหลียวศีรษะเหลือบมองก็พบธารเลือดสีแดงสดไหลอาบผืนดิน…