ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 499 วิถีหนึ่งสวรรค์ (1)
ตอนที่499 วิถีหนึ่งสวรรค์ (1)
ตอนที่499 วิถีหนึ่งสวรรค์ (1)
ประตูหิน ณ มุมหนึ่งเปิดอ้างออก ลำแสงตะวันสดใสสาดเข้ามาจากด้านนอก
ชิงเยวี่ยสัมผัสได้ว่า มีแสงจ้ากระทบใส่ใบหน้าของตนก็หรี่ตาปิดสนิท พลันมุ่นคิ้วโดยมิทันรู้ตัว และพอเริ่มจะเคยชินกับแสงสว่างเหล่านี้จึงค่อยลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครา และภาพฉากเบื้องหน้าที่เห็นก็คือเงาร่างบุรุษผู้หนึ่ง นั่นก็คือ ไป๋หลี่หานตัวจริงเสียงจริง
“ราชาหมาป่าสวรรค์…”
สุ้มเสียงของเขาทั้งสั่นเทาและแหบแห้งสุดแสน
ไป๋หลี่หานยืนมองอีกฝ่ายอยู่หนึ่งปราด เป็นโม่ซวนที่รุดตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ช่วยแกะเชือกที่พันธนาบนร่างกายและมือเท้าของชิงเยวี่ย
เขาถูกปล่อยตัวคืนสู่อิสรภาพในเวลาต่อมา แต่เนื่องจากเขาถูกมัดแขนมัดขาไว้เสียจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เป็นเวลานาน ส่งผลให้ชิงเยวี่เกิดสภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงชั่วขณะ ไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะหยัดยืน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของโม่ซซนที่ช่วยประคองร่างทรงตัวให้ ใช้มือค้ำยันไปตามกำแพงอีกแรง เขาตรงเข้าหาไป๋หลี่หานที่กำลังหมุนตัวเดินจากออกไป เหม่อมองแผ่นหลังอยู่สักครู่จึงค่อยถามขึ้นว่า
“เซียถงอยู่ไหน?”
เมื่อได้ยินชายอื่นเรียกชื่อศตรีภรรยาของตนหวนๆ แบบนี้ สีหน้าการแสดงออกของไป๋หลี่หานก็หม่นทมิฬลงทันทีหลายส่วน
ชิงเยวี่ยเพิ่งตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสม จึงเร่งละสายตาเคลื่อนออกไปหาโม่ซวนแทน รีบตัดบทเปลี่ยนคำถามโดยไว
“แล้วเค่อฮั่วล่ะ?”
น่าแปลกที่ในเวลานี้อีกฝ่ายมิได้อยู่ที่นี่ด้วย
โม่ซวนหันซ้ายแลขวาอยู่สักครู่ ก่อนกล่าวตอบไปว่า
“หื้ม? เมื่อครู่ยังอยู่ด้วยกันอยู่เลย?”
ชิงเยวี่ยสีหน้าแปรเปลี่ยน เอ่ยว่า
“หากจำไม่ผิด ระหว่างทางเค่อมู่หนีไม่พ้นจึงโดนเย่หลีเทียนจับเป็นตัวประกันมาด้วย บางทีเค่อฮั่วอาจแยกออกไปตามหาผู้เป็นน้อง?”
โม่ซวนพยักหน้ารับทราบ และกล่าวขยายความคำถามก่อนหน้าที่ขิงเยวี่ยว่า
“นายหญิงถูกเย่หลีเทียนลักพาตัวไปแล้ว ส่วนที่นายท่านของข้าบุกมาช่วยเหลือท่าน เพราะเห็นแก่ที่ท่านเป็นสหายสนิทของนายหญิง จะอย่างไร ก่อนที่พวกเราจะเดินทางไปต่อ วานขอความช่วยเหลือจากเจ้าสักครา…”
กล่าวถึงตรงนี้ ก็เป็นไป๋หลี่หานก็พาทั้งสองออกมาจากถ้ำที่ซ่อน กลับเข้ารถม้าที่จอดอยู่ข้างเคียง
ชิงเยวี่ยถูกนำตัวให้เข้าไปในเกี้ยวรถม้าเพื่อช่วยรักษาคน ขณะนี้อยู่ต่อหน้าเซี่ยหลู่เฟิง กำลังใช้สมาธิสูงสุดจับชีพจรตรวจวินิจฉัยอาการในปัจจุบันของอีกฝ่าย
ฉีหมิงเยว่คว้าแขนเสื้อชิงเยวี่ยเบาๆ กล่าวน้ำเสียงสุภาพว่า
“ท่านองค์รัชทายาทชิงเยวี่ย! ตลอดที่ผ่านมา ข้าน้อยมักได้ยินเซียถงกล่าวถึงท่านอยู่เสมอ นางชื่นชมและเคารพในความสามารถของท่านอย่างมาก เช่นนั้นแล้วได้โปรดเถิด! ได้โปรดรักษาเขาเพื่อนาง!”
กล่าวจบ ฉีหมิงเยว่ก็โค้งศีรษะจรดพื้นเพื่อขอความเมตตาความเห็นใจโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ อีก
พินิจมองรูปทรงใบหน้าและคู่คิ้วของเซี่ยหลู่เฟิงที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเซียถงอยู่หลายส่วน ชิงเยวี่ยพอจะคาดเดาได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายและเซียถงได้ในทันที ในเมื่อชายที่นอนหมดสติอยู่ตรงหน้าเป็นถึงพี่ชายของเซียถง ชิงเยวี่ยย่อมทุ่มกำลังสุดตัวเพื่อรักษาแน่นอน เพียงแต่ว่า….
“แม่นายชิงเยว่ โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย! หาใช่ว่าข้ามิอยากจะช่วยเหลือ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่สิ่งของไม่พร้อม หากยังมีพลังลมปราณของชายคนนั้นคอยหล่อเลี้ยงยังพอทำเนา อย่างไรตอนนี้เกรงว่าคงทำอะไรไม่ได้มาก…”
เพราะตอนนี้ไป๋หลี่หานก็ไม่อยู่แล้ว หลังจากส่งชิงเยวี่ยขึ้นรถม้าเสร็จสรรพ เจ้าตัวก็ควบม้าขับทะยานฝุ่นตลบออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อตามช่วยเหลือเซียถง นั่นเท่ากับว่า ปราศจากพลังลมปราณของเขาคอยรักษาอีกต่อไปแล้ว และหากยังปล่อยไปแบบนี้ เกรงว่าชีพจรของเซี่ยหลู่เฟิงจะหยุดเต้นในอีกไม่ช้า
ชิงเยวี่ยทราบดีถึงจุดประสงค์ที่ไป๋หลี่หานรีบรุดมาช่วยเหลือตนก่อน ทั้งหมดก็เพื่อให้เขาเข้ามาดูแลเซี่ยหลู่เฟิงแทน ส่วนตนจะได้มีอิสระออกไปช่วยเซียถงที่ถูกลักพาตัวได้อย่างหมดห่วง
แต่ถึงแบบนั้นก็เถอะ…ภายใต้สถานการณ์ไม่มีอะไรพร้อมเลยเช่นนี้ ต่อให้เป็นชิงเยวี่ยก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“ข้ามีสมุนไพรวัตถุดิบติดตัวมาเพียงสองสามชนิด ถามว่าสามารถหลอมกลั่นโอสถสักเม็ดขึ้นมาได้หรือไม่ แน่นอนว่าย่อมได้ แต่ประสิทธิภาพจะเบาบางมาก ไม่รับประกันผลลัพธ์ที่ได้ออกมา”
โม่ซวนเร่งกล่าวแทรกขึ้นทันที
“ท่านชิงเยวี่ย ไม่จำต้องกังวลเรื่องสมุนไพรวัตุดิบไป หากต้องการสิ่งใดขอเพียงให้บอกมา ข้าจะรีบออกไปเสาะหามาให้ดดี๋ยวนี้!”
ชิงเยวี่ยพยักหน้าให้เล็กน้อย แต่กลับไม่มีผู้ใดเลยสังเกตเห็นร่องรอยความเศร้าที่เจือปนอยู่ในดวงตาของเขา
“ไม่เอาน่า! หากเจ้ายังไม่ยอมพาขึ้นไป ข้าจะตัดแขนตัดขาของเจ้าทีละข้าง!”
ระหว่างทางนี้ เย่หลีเทียนจับไป๋ปี้ตนหนึ่งเป็นเขลยเอาไว้ และตอนนี้เขาเองก็กำลังขู่ไป๋ตนนั้น พร้อมทันฟันกระบี่ใส่อุ้งเท้าหน้าของมันอย่างแรง ธารเลือดโลหติแดงฉานสาดกระเซ็นทันใด
เท้าหน้าของไป๋ปี้ตนนั้นอ่อนแรงทรุกฮวบชั่วขณะ ร่างกลมอ้วนของมันล้มลงกับพื้นทันที
เซียถงก้าวตรงออกไป โน้มตัวหาไป๋ปี้ตนนั้นทันที แลเห็นอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งของมันมีเลือดออกเป็นปริมาณมาก และหากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องตน เกรงว่ามันจะต้องสิ้นใจตายเนื่องจากเสียเลือดมากเกินไปในอีกไม่ช้า
“นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
เย่หลีเทียนอดขมวดคิ้วมิได้ เห็นเซียถงฉีกมุมผ้าแพรรพรรณจุดหนึ่งออกมาเป็นทางยาว และเข้าพันแผลบริเวณอุ้งเท้าหน้าที่โดนฟันของไป๋ปี้ตนนั้น
“หากมันเสียเลือดหนักจนตายขึ้นมาระหว่างทาง แล้วใครจะพาเจ้าไปหาบัญชาสี่พิภพ?”
เซียถงกล่าวต่อโดนไม่แม้แต่เหลียวหน้าหันมอง น้ำเสียงวาจาของนางยังเย็นชาจนผิดปกติ
เย่หลีเทียนตระหนักดี นางเกลียดชังตัวเขาขนาดนี้ก็เพราะการตายของไป๋หลี่หาน แต่อย่างไร หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์เมื่อครู่ นางดูสงบมากแล้ว เขาก็แอบคิดกับตัวเองอยู่เช่นกัน ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไป๋หลี่หาน บางทีอาจยังมิได้ลึกซึ้งอย่างที่คิดจินตนาการเอาไว้ ควรจะให้เวลานางทำใจกับเรื่องไป๋หลี่หานก่อนสักพักหนึ่ง หลังจากได้บัญชาสี่พิภพมาแล้ว ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง
บางทีเขายังมีโอกาส! โอกาสที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับเซียถงอีกครั้ง!
คิดขึ้นได้ดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของเย่หลีเทียนพละนดูผ่อนคลายลงมาก อันเนื่องมาด้วยเหตุผลมากมายที่เข้าสนับสนุนความคิดนี้ เขาค่อนๆ ย่อตัวนั่งยองอยู่ด้านข้างเซียถง ยกมือขึ้นตบไหล่ของนางอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล
“อย่าได้กังวลไปเลย ทันทีที่ข้าได้บัญชาสี่พิภพมาครอง ข้าจะบัญชาให้องค์จักรพรรดิซีฉินตกอยู่ใต้อาณัติ เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าเจ้าจะต้องการผลบัวศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไหร่ ข้าจะมอบมันให้ทั้งหมด!”
เขาเอ่ยเสียงแผ่วส่งกระซิบอยู่ข้างหู ลมหายใจระทวยหวานฉ่ำแผดพ่นกระจายเข้าสู่หูของเซียถง
เย่หลีเทียนรู้นิสัยของเซียถงดี คนอย่างนางไม่ยอมให้ใครผู้อยู่ใกล้เกินจำเป็น ดังนั้นทันทีที่สิ้นเสียงกล่าวจบ เขาก็ผละตัวลุกหนีออกไปทันที
เซียถง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงไปเลย ต่อจากนี้ไป ข้าจะคอยดูแลเจ้าเป็นอย่างดี และจะพิสูจน์ให้เห็นว่า บนผืนพิภพแห่งนี้มีเพียงข้าเท่านั้น ที่รักและห่วงใยเจ้าที่สุดในชีวิต!
เย่หลีเทียนคิดเช่นนั้น แต่หาใช่กับเซียถง ยามที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ทันทีที่นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่พ่นออกมาจากอีกฝ่าย สิ่งเดียวที่นางรู้สึกคือความขยะแขยงและรังเกียจ!
แต่อย่างไรตอนนี้ อาศัยเพียงพละกำลังทางกายภาพของนางกลับไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย แถมจุดด่านพลังสำคัญในร่างกายของนางก็เหมือนจะโดนเย่หลีเทียนปิดผนึกอยู่ ควรจะเป็นตอนนั้นที่อีกฝ่ายใช้ด้ามกระบี่พุ่งกระแทกใส่กระดูกไหปลาร้าของนาง
มิทราบว่าเป็นตราผนึกและวิชาอะไรสักอย่าง มันสามารถผนึกพลังลมปราณของนางได้!
ขณะนี้เองนางกำลังม่วนอยู่กับการทำแผลให้ไป๋ปี้ตนดังกล่าว ส่งผลให้เย่หลีเทียนมิทันสังเกตแววตาสื่ออารมณ์ของนางในขณะนี้ได้ แต่ไม่ใช่กับไป๋ปี้ตนนั้น ทันทีที่สบมองกับเซียถงซึ่งกำลังก้มหน้าทำแผลให้อยู่นั้น มันถึงกับตะลึงงัน รัศมีอาฆาตพยาบาทที่อัดแน่นอยู่ในดวงตาของนาง มันไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์ร้ายเลย!
เย่หลีเทียนคิดแค่ว่า เซียถงเพียงต้องการปฐมพยาบาลให้ไป๋ปี้เท่านั้นเพราะสงสาร จึงมิได้ใส่ใจอันใดนัก ลุกขึ้นยืนเตรียมมุ่งหน้าเดินทางต่อไป
“ไปกันต่อเถอะ!”
เซียถงยกมือไม้ขึ้นตบปัดฝุ่น และเดินทางขึ้นหน้าต่อไป
อย่างไรเสีย ในห้วงความคิดของเซียถงกลับหลงเหลือแต่ความว่างเปล่า หลิวซูหายตัวไปสักพักใหญ่แล้ว
โดยมีไป๋ปี้คอยเดินสี่ขานำทาง ถนนหนทางเบื้องหน้าของพวกเขาก็ดูราบเรียบไมม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ อีกเลย
การเดินทางคราวนี้ใช้เวลาประมาณสองวันเต็ม ใกล้ไปถึงยอดเขาคุนหลุนเต็มที บรรยากาศโดยรอบในปัจจุบันแตกต่างจากช่วงตีนเขาค่อนข้างมาก กล่าวคือยิ่งสูงเท่าไหร่ ภูมิอากาศบนนี้ก็ยิ่งหนาวเหน็บเท่านั้น ต้นไม้ใบหญ้าปกคลุมไปด้วยธารหิมะขาวโพลน