ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 5 เย้าหยอก
ตอนที่5 เย้าหยอก
ชายชุดดำคนนั้นเลิกคิ้วเหลือบสายตามองเซียถงที่นั่งแทะไก่ย่างอยู่ด้านข้างอย่างเฉยเมย เห็นเพียงหญิงสาวในชุดสีเงิน บริเวณใบหน้าปกคลุมด้วยผ้าสีขาว เผยให้เห็นเพียงดวงตงทรงเรียวเล็กประกายใสบริสุทธิ์อยู่คู่หนึ่งเท่านั้น ประดุจกับดวงดาราสุกไสวยามค่ำคืน
แต่ไม่ทันที่ชายชุดดำจะมีเวลาครุ่นพินิจกับตัวเองไปมากกว่านี้ คมแสงกระบี่ของบรรดามือสังหารกลุ่มนั้นโดยรอบก็พุ่งทะยานฟาดฟันเข้าจู่โจมอีกระลอกใหญ่
เห็นเพียงชายชุดดำล่อนเวหาขึ้นเหยียบย่างบนคมกระบี่เหล่านั้นพลางเลี่ยงหลบตามจังหวะ เซียถึงค้นพบความไม่ปกติได้อย่างหนึ่งในทันใด แม้ชายชุดดำผู้นี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ไฉน…ปฏิกิริยาตอบสนองถึงดูช้าแปลกๆ?
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
ทันทีทันใดอีกหนึ่งสิ่งที่นางสังเกตเห็นก็คือ ชายชุดดำผู้นี้สีหน้าซีดขาวผิดปกติชัดเจน ราวกับว่ากำลังได้รับบาดเจ็บเป็นทุนเดิม และในเวลานี้เขากำลังรับมือกระบวนกระบี่เพลงประสานของเหลือมือสังหารอย่างดุเดือด
ทันใดนั้นเอง พลันมีมือสังหารคนหนึ่งล้มลงอยู่ข้างกองไฟ ไก่ย่างหอมกรุ่นปลิวกระเด็นหล่นมาทับใบหน้าของมัน แต่พอลุกขึ้นได้ อีกฝ่ายก็ถ่มน้ำลายใส่ไก่ย่างตัวนั้นของเซียถงด้วยความหงุดหงิด
“ถุย! ไอ้ไก่บัดซบ!”
เซียถงที่เห็นเช่นนั้นถึงกับเลิกคิ้วขึ้นทันที แววตาเรียวเล็กยิ่งหรี่แคบลงเข้าไปใหญ่ด้วยความโมโห พร้อมดีดตัวขึ้นมาจากพื้นและคว้าคอของมือสังหารคนนั้นมีจับยกจนตัวลอย ทุ่มลงใส่กองไฟที่มีไม้ไผ่คมปลายแหลมสำหรับใช้เสียบไก่ย่างชูตะหง่าน ขั้วหัวใจของมันโดนไม้ไผ่ปลายแหลมเสียบทะลุในพริบตา ธารเลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณประดุจน้ำพุเลือดกระจาย
สือสังหารคนนั้นสิ้นใจตายในทันที โดยมิทันรู้ตัวเลยว่า เหตุที่ตัวเองถึงแก่กรรมเพียงเพราะไก่ย่างตัวหนึ่ง
มือสังหารชุดคลุมดำที่อยู่เคียงข้างเห็นสหายถูกไม้เสียบประหาร ก็รีบเร่งชี้กระบี่ใส่นางโดยตรงพร้อมคำรามเสียงดังลั่นว่า
“นางเป็นพวกเดียวกับมัน! ฆ่าทิ้งซะ!”
เซียถงคว้าศพที่ถูกเสียบขั้นมาใช้ป้องกันเป็นโล่มนุษย์ พลางคิดแบบแผนต่อสู้ในหัวโดยไว ตอนนี้นางไม่มีลมปราณหรือเคล็ดวิชาอะไรทั้งนั้น คงต้องอาศัยทักษะนักฆ่าเก่าที่ถนัดหยิบใช้ออกไปก่อน
อีกด้านหนึ่ง ชายชุดดำเองก็เพิ่งเด็ดชีพมือสังหารสองคนที่เป็นคู่ต่อสู้เมื่อครู่ในพริบตา ยามนี้สถานการณ์ผ่อนคลายลงไม่น้อย หลังจากจัดการเสร็จสรรพ ทางฝั่งเซียถงเองก็สังหารมือสังหารอีกคนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ทันทีทันใด ป่าสนอันกว้างขวางพลันเงียบสงบลงทันตา เหลือเพียงสุ้มเสียงสายลมโชที่พัดผ่านเสียดกิ่งไม้ใบหญ้า ทั้งสองยืนเผชิญหน้าอยู่ตรงกันข้าม เงาส่องสะท้อนจากแววตาสาดประกายแวววับดูน่าประหลาด ต่างคนต่างเงียบอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน
“เจ้าช่วยข้าไว้ หากต้องการสิ่งใดจงกล่าวมาได้เลย”
ชายชุดดำคนหนึ่งเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าภายในเนื้อเสียงนั่นกลับดูเย็นชาไร้ปฏิสัมพันธ์ใดๆ นัยน์ตาสีแดงเพลิงเรียวยาวฉายแววหวาดระแวงแฝงไว้อยู่หนึ่งส่วน อนึ่งคล้ายต้องการหยั่งเชิงและตื่นตกใจในเวลาเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็น คนธรรมดาที่สามารถสังหารผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเขียวได้โดยไม่ต้องใช้ลมปราณใดๆ
หญิงสาวในชุดสีเงินนางนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน หากภายในจักรวรรดิเทียนหลู่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านการต่อสู้ปานนี้ เขาเองก็ควรจะรู้จักหรือรับทราบข่าวเช่นนี้มาบ้าง แต่สำหรับการปรากฏตัวของหญิงสาวนางนี้ เสมือนว่านางโผล่มาจากอากาศโดยไม่มีให้สุ่มให้เสียงใดๆ
เซียถงปรายสายตามองอีกฝ่ายอยู่แวบหนึ่ง ชายหนุ่มคนนี้คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงหลงตัวเองคิดว่าที่นางลงมือไปเพื่อช่วยมัน?
“ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดช่วยเหลือเจ้า”
เซียถึงทิ้งทวนประโยคหนึ่งออกไป น้ำเสียงทั้งไม่เค็มไม่หวาน เพียงคำกล่าวจืดชืดไร้อารมณ์ ขณะที่กำลังจะหมุนตัวเตรียมเดินจากออกไป แต่ในเวลานั้น กลับมีกลุ่มคนในชุดสีเขียวรุดแห่กันเข้ามาพร้อมสีหน้าร้อนรนเหลือเกิน
พวกเขาเหล่านี้ต่างวิ่งไปหาชายชุดดำ คล้อยหลังสำนวจจนแน่ใจแล้วว่า อีกฝ่ายไม่เป็นอะไร จึงลอบถอนหายใจไปทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า
“นายท่าน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? อาการบาดเจ็บของท่าน….”
“ข้าไม่เป็นอะไร”
ชายชุดดำโบกมือปัด ทว่าสายตายังคงจ้องมองเซียถงไม่คลายอ่อน
ทุกคนต่างเหลือบสายตาตาม จนไปเห็นศพทั้งสองร่างที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเซียถง ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองคล้ายกับเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าของแต่ละคนดูหวาดระแวงอย่างยิ่ง ก่อนรีบรุดหน้าตรงเข้าไปปิดล้อมเซียถงเอาไว้ แล้วคำรามถามออกไปว่า
“ใครส่งเจ้ามา?”
ดวงตาคู่นั้นของเซียถงฉายแววเหี้ยมออกมา กวาดมองบรรดาผผู้คนชุดเขียวโดยรอบจนพวกเขาร่นถอยหนีออกไปสองก้าวโดยมิตั้งใจ สุดท้ายค่อยหยุดอยู่ที่ใบหน้าของชายชุดดำที่อยู่ฝั่งโน้น
“ลูกสุนัขจรยังรู้จักกตัญญู อย่าว่าแต่คนเลย”
ชายชุดดำคนนั้นหนี่ตาแคบลงเล็กน้อย ส่อแววอันตรายออกมา นางกล้าดียังไงถึงนำเขาไปเปรียบกับสุนัขจร?
ใต้หล้าแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยข่านวาจาต่ำตมแก่ข้า ถึงไม่รู้ว่าเหตุใด ทั้งที่ภายในใจรู้สึกโกรธเกรี้ยว ทว่าก็ยังรู้สึกสนใจหญิงสาวนางนี้อย่างยิ่ง ช่างเป็นสตรีที่พิเศษที่สุดตั้งแต่เคยพบเคยเจอมา
บรรดาผู้คนชุดเขียวทั้งหลายที่ล้อมเซียถงไว้อยู่ กลับหันมองหน้าสบตากันไปมาด้วยความสับสน สีหน้าซันซ้อนรวนเรไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก ไฉนหญิงสาวนางนี้ถึงกล้าด่าทอนายท่านของพวกเขา? แต่พอเหลือบไปสังเกตเห็นสีหน้าการแสดงออกที่ประดับประดารอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มของนายท่าน แต่ละคนยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ นายท่านของพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เซียถงส่งสายตาระแวดระวังสุดขีด ราวกับเตรียมพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ ทว่ากลับเป็นชายชุดดำคนนั้นที่โบกมือและสั่งให้ทุกคนถอยออกมา ทั้งยังเอ่ยถามขึ้นว่า
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังจับไม่ได้เลยขอรับ! พวกเรายินดีรับโทษ!”
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”
ขณะที่ชายชุดดำกล่าวจบ จู่ๆเขาก็หันสายตาจ้องเซียถงเขม็ง จากนั้นก็ค่อยๆย่างเท้าก้าวตรงไปหานาง
เซียถงหรี่ตาแคบ ท่าทางดูระวังตัวสุดขีด อีกฝ่ายตรงเข้ามาใกล้โดยไม่มีเหตุผลนี่ผิดวิสัยปกติไปมาก! นางถึงกับร่นเท้าก้าวถอยออกไปก้าวหนึ่ง
พอเข้ามาเริ่มใกล้ เซียถงก็สังเกตเห็นบริเวณปกและแขนเสื้อของชายชายชุดดำผู้นี้ คล้ายถูกทักทออย่างประณีตด้วยผ้าไหมชั้นเลิศสีทอง ลวดลายงดงามปละสลักซับซ้อน
ท่ามกลางดวงตะวันสาดส่อง บนใบหน้าของชายคนนี้ปรากฏแสงสีทองรัศมีอ่อนสาดสะท้อน เผยให้เห็นถึงใบหน้าอันหล่อเหลาและผิวพรรณอันขาวผ่อง คู่คิ้วและดวงตาเผยความหยิ่งผยองขึ้นหลายส่วน
ชายคนนี้หาใช่คนดีแน่นอน! ชั่วอึดใจขณะเซียถงร้องอุทานคำนี้ขึ้นภายในใจ
ท่ามกลางป่าสนแสนเงียบสงัด สายลมเย็นสงบพัดผ่าน กลับเพิ่มเสริมบรรยากาศเย็นยะเยือกกดดันขึ้นเป็นทวีเท่า!
เซียถงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เงยหน้าสบสายตาเย็นชามองหน้าอีกฝ่าย หากเมื่อใดที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวใส่ตัวนาง ต่อให้ต้องต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นางก็ไม่มีทางปล่อยให้มันกลับไปได้แบบครบสามสิบสองแน่นอน!
สาวตาของชายหนุ่มชุดดำเคลื่อนลงสำรวจเรียวนิ้วยาวสีขาวผ่องของเซียถงอย่างเฉยเมย คู่คิ้วเรียวงามของเขาขมวดมุ่นขึ้นเล็กน้อย ทว่าทันใดนั้นเอง เห็นเพียงร่างของเขากระตุกวูบปราดพุ่งออกไปกระทันหัน ตรงเข้าหาเซียถงด้วยความเร็วสุดขีด แขนเสื้อยาวโบกสะบัดปะทะแรงลมดังพึบพับ เอื้อมมือหวังออกไปคว้าร่างของนางโดยตรง
สีหน้าของเซียถงยังคงเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน นางคิดคำนวณรูปแบบการต่อสู้ไว้นานแล้ว พออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาถึงระยะหวังผล นางก็ยกขาซ้ายเสยขึ้นมาด้วยกำลังทั้งหมดที่มี หวังใช้แข่งขาแตะกล่องดวงใจที่อยู่หว่างขาของชายหนุ่มให้แตกในพริบตา!
สีหน้าของชายหนุ่มชุดดำถึงกับมืดทมิฬลงทันใด หญิงสาวนางนี้…ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่หรือไม่? ถึงกับใช้วิธีนอกรีตเช่นนี้จัดการกับตนเชียว?! หรือนางคิดจะทำหมั่นสดมิให้เขามีลูกสืบสกุลได้เลยในชาตินี้?!!
ตั้งแต่เกิดมาจวบจนตอนนี้ นางเป็นคนแรกที่กล้าล่วงละเมิดส่วนลับของเขา!
กลุ่มคนชุดเขียวที่กำลังเดินทางถอยออกไป พอพบเห็นภาพฉากนี้เข้าถึงกับยืนตื่นตะลึงค้างเป็นเสาหินทั่วหน้า แต่ละคนอ้าปากจนค้างเติ่ง เสมือนแค่ได้เห็นก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งผ่านจากกล่องดวงใจแล่นขึ้นมายังสมอง! หญิงสาวนางนี้บ้าไปแล้วงั้นรึ?! กล้าดียังไงถึงมาแตะสมบัติล่ำค่าของนายท่านของพวกเขา…