ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 501 ทุ่งดอกไม้ชมพู (1)
ตอนที่501 ทุ่งดอกไม้ชมพู (1)
ตอนที่501 ทุ่งดอกไม้ชมพู (1)
ตัวเซียถงตระหนักแจ่มแจ้งดี นางควรจะรีบหนีออกไปจากที่นี่ แต่มิทราบเพราะเหตุใด ถึงยังสะกดสายตามองย้อนกลับไปเย่หลีเทียนเช่นนี้
เย่หลีเทียนในตอนนี้กำลังจับจ้องมองมาที่นางเช่นกัน ทว่าสายตาคู่นั้นกลับมีแต่ความโศกเศร้าและขมขื่น
เพราะเหตุใดกัน?
ถึงแม้ว่าคมมีดที่เซียถงทิ่มแทงไปเมื่อครู่จะไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้ในทันที แต่เนื่องด้วยกับดักกำแพงหินผาที่บีบตัวเข้าหากัน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า เย่หลีเทียนกำลังจะตายอยู่ที่นี่ในอีกไม่ช้า
เซียถงจ้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็พลันปรากฏภาพฉากทั้งหมดระหว่างเขาและนางที่เคยพานพบเจอกันไหลบ่าเข้ามา กล่าวกันตามสัตย์จริง นางแทบจะไม่มีความจำเป็นต้องทำร้ายอีกฝ่ายถึงตายเลย ตั้งแต่ตอนที่เขาและนางช่วยกันฝ่าฟันฝูงตะขาบอันตรายในฐานใต้ดินลับของเสนาบดีเคราขาวแล้ว ทั้งที่เขามีโอกาสรอดตายออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่กลับเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเป็นตายเพื่อหนีรอดออกมาด้วยกัน แต่จะอย่างไร สุดท้ายนี้กลับเป็นเขาที่ฆ่าไป๋หลี่หาน
ทันทีที่นึกถึงภาพฉากตอนที่ไป๋หลี่หานร่วงตกในถ้ำหมื่นอสรพิษ สายตาคู่นั้นของเซียถงพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาหม่นมืดอีกครั้ง นางหันหลังกลับและจากไปโดยไม่มีเหลียวแลอีกเลย
ในขณะเดียวกันฝูงผึ้งเหล็กในพิษก็กำลังแห่โจมตีใส่เย่หลีเทียนเช่นกัน…
ช่วงเวลาความเป็นความตาย เซียถงและไป๋ปี้ตนนั้นก็หลุดออกจากด่านกับดักทางแคบ กำแพงหินผามหึมาทั้งสองด้านปิดกระแทกดัง ‘ปัง’ ติดชนกันอย่างแรง ส่งเสียงดังสนั่นไปทั่วหุบเขาราวกับผืนนภาวินาศถล่มลง
กระทั่งเซียถงเองยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้พื้นที่ยังไม่หยุดหย่อน เมื่อลองเงยหน้าแหงนขึ้นมอง ก็ปรากฏเพียงชั้นฝุ่นตลบหนาทึบแผ่กระจายทั่วรัศมีกว่าหลายฉื่อ ภายใต้วิสัยทัศน์พล่ามัวเฉกเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครผู้ใดก็มิกล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าตามต้องการ
ยืนรั้งรอเวลาอย่างเงียบงัน ชั้นฝุ่นรอบสารทิศก็ค่อยๆ สลายตัวไป
ไป๋ปี้ยกอุ้งเท้าหน้าปุกปุยสีดำขาวขึ้นถูไถเบ้าตาข้างนั้นที่โดยเย่หลีเทียนเสียบทะลุไปมา ดูท่าตัวมันจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว และในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มันยังอุตส่าห์ชี้กรงเล็บไปที่หนทางเบื้องหน้าต่อไป
เมื่อเซียถงเคลื่อนมองติดตามทิศทางนั้นตามที่มันชี้ ก็เสาะพบสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลเป็นจุดเล็กๆ สีชมพู!
หากมุ่งสายตาพินิจมองให้จงดี จุดสีชมพูตรงนั้นแท้จริงแล้วคือ ทุ่งพฤกษาดอกไม้สีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนอันอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ท่ามกลางหิมะบนนี้ เหล่านั้นกำลังเบ่งบานเป็นกระจุกหนึ่ง มองผ่านจากตรงนี้ช่าสงเป็นภาพฉากที่สวยงามอย่างมาก
ตรงกันข้ามกับภาพฉากแสนสะเทือนใจตรงหน้าของนาง เซียถงได้ยินแต่เสียงหอบหายใจหนักอึ้งปนเสียงก่นร้องด้วยความจ็บปวดจากลำคอของมัน ทุกครั้งที่มันพยายามสูดอากาศหายใจ มักจะมีธารเลือดสีแดงสดปริมาณมากไหลทะลักออกจากเบ้าตาของมัน
ตัวมันสิ้นหวังแล้ว ทั้งยังตระหนักดีว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของตนกำต้องตายลงภายใต้ความทรมานนี้
นอกจากเสียงร้องหอบหายใจอย่างยากลำบากของไป๋ปี้ เซียถงยังได้ยินเสียงร้องที่คล้ายคลึงกันอยู่ข้างเคียง และเมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็น หลิวซูที่กำลังนั่งน้ำตาซึมอยู่
หลิวซูทนมองมันไม่ไหวแล้ว มันเบี่ยงหน้าหนีพลางถอดถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และหยิบมีดสั้นฝังอัญมณีเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อสีแดงเพลิง กวาดมองแค่ปราดเดียวก็พึงทราบ มีดสั้นเล่มนี้มันล้ำค่าปานใด ทันใดนั้น หลิวซูก็ส่งมีดสั้นฝังอัญมณีเล่มนี้ยื่นให้เซียถงและกล่าวว่า
“ช่วยที จบชีวิตมันเสีย อย่าให้มันต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้”
เซียถงชำเลืองมองเล็กน้อย ก่อนจะหยิบมีดสั้นฝังอัญมณีเล่มนั้นมา และหันหน้าไปมองไป๋ปี้อีกครั้ง ในชั่วพริบตาต่อมา คมมีดดังกล่าวเจาะทะลวงขั้วหัวใจของมันอย่างแม่นยำ ไป๋ปี้ตนนั้นปราศจากลมหายใจอีกต่อไป
“แล้วจะเอายังไงต่อ?”
หลิวซูเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง
ระหว่างนั้นเอง เซียถงก็ทอดสายตามองย้อนกลับไปยังเส้นทางวิถีหนึ่งสวรรค์ที่อยู่ท้ายหลัง กำแพงหินผามหึมาทั้งสองด้านถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับกองเลือดสีจางๆ ที่ถูกทิ้งไว้สักแห่งหนในนั้น…
ระหว่างทางขึ้นไปสู่บนยอดเขาคุนหลุน ไป๋หลี่หานได้นำพาทุกคนผ่านด่านผนึกที่สองอย่างถ้ำหมื่นอสรพิษมาได้ และเดินทางตามคำชี้แนะที่ฝูงไป๋ปี้ในตอนนั้นได้ให้มา มันเป็นทางลัดที่สามารถหลีกเลี่ยงมิให้เผชิญพบกับด่านผนึกอื่นๆ ที่อยู่รอบหุบเขาคุนหลุนได้ แต่ใช่ว่าระหว่างนั้นจะไม่มีอุปสรรค อย่างไร ขณะนั้นเองพวกไป๋หลี่หานก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงจากบนยอดเขาแห่งนี้ได้ ทุกคนต่างเงยหน้ามองโดยพร้อมเพรียง ทว่าอย่างไรกลับทำได้เพียงกัดฟันอย่างจนใจ หากพวกเขาสามารถบินร่อนบนท้องนภาได้ ปานนี้คงเร่งเหินทะยานเข้าสมทบกับเซียถงที่น่าจะอยู่บนนั้นแล้ว!
เฉพาะยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสามารถเหาะเหินบินบนอากาศได้อย่างอิสระใจนึก! คิดได้ดังนั้น ทุกคนต่างมุ่งสายตาจับจ้องมาที่ไป๋หลี่หานจนเป็นตาเดียว เพราะมีเพียงไป๋หลี่หานเท่านั้นที่จะสามารถไปต่อได้! และยังเป็นแค่คนเดียวที่ทรงพลังมากพอที่จะพิชิตหุบเขาคุนหลุนแห่งนี้ได้!
ไป๋หลี่หานไม่รอช้าเร่งเหินทะยานบินขึ้นสู่เวหา พยายามกวาดสายตาสอดส่องลงมา ค้นหาร่างของเซียถงที่อยู่ใต้ล่างอย่างขยันขันแข็ง แต่สักครู่หนึ่งต่อมา เขาก็ได้ตระหนักได้ว่า ถึงแม้ตนเองจะสามารถบินข้ามฟากฟ้าได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นใต้ล่างกลับมีแต่เส้นทางน้อยๆ นับหมื่นแสนนับไม่ถ้วนขดตัวสลักทับซ้อนไปมาเป็นเขาวงกตขนาดใหญ่!
ทั้งยังมีม่านเมฆาหมอกหนาค่อยปกคลุม เป็นอุปสรรคต่อวิสัยทัศน์การมองเห็นอย่างมาก
และทันใดนั้นเอง ก็มีดวงไฟสีม่วงสายหนึ่งพุ่งเฉียวหน้าของเขาด้วยความเร็วสูงสุด หากปฏิกิริยาตอนสนองของเขาช้าลงอีกสักหน่อย เกรงว่าคงประสานงาชนเข้ากับสิ่งนี้ไปแล้ว
ไป๋หลี่หานสะดุ้งเฮือก แลเห็นดวงไฟสีม่วงนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงสิ่งแปลกประหลาดที่อยู่ในกายของเซียถง เช่นนั้นจึงระเบิดกระแสลมปราณขุมใหญ่ โหมทะลักทลายไล่ติดตามดวงไฟสีม่วงดังกล่าวทันทีโดยไม่มีลังเล เวลาผ่านไปได้สักพัก ดวงไฟสีม่วงก็เริ่มร่อนลงต่ำ และหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในทุ่งพฤกษาที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีชมพู่เบ่งบาน
ดอกไม้สีชมพูทั้งมวลชุบตัวอยู่รวมกันเป็นกระจุกไพศาลเกือบสิบลี้ เหล่านั้นบานสะพรั่งเพรียงพร้อมประดุจทะเลบุปผาชมพูกว้างใหญ่
ในขณะเดียวกัน หลิวซูกับเซียถงก็กำลังเดินทางอยู่ท่ามกลางทุ่งพฤกษาดอกไม้ชมพู จู่ๆ ทั้งคู่พลันสัมผัสได้ถึงมวลคลื่นมหาลมปราณที่ทะลักทลายอยู่บนท้องนภา ทำเอาซะจนกลีบดอกไม้ชมพูเหล่านั้นปลิดปลิวว่อนไปตามแรงลมโหมกระหน่ำ เหล่านี้โปรยปรายลงมเติมเต็มสีสันให้แก่สถานที่แห่งนี้สวยสดงดงามยิ่งขึ้น ราวกับแดนสวรรค์ก็มิปาน
หลิวซูชะงักหยุดฉับพลัน ร้องอุทานขึ้นลั่น
“มีคนบุกมาที่นี่!”
“เย่หลีเทียนงั้นรึ? แต่มันน่าจะตายไปแล้ว?”
เซียถงขมวดคิ้วถักแน่น ปั้นหน้าฉงนสงสัย อีกฝ่ายที่บุกมายังจะเป็นใครได้อีก? นางถามสวนขึ้นไปว่า
“หรือจะเป็นกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานตนนั้น?”
“ไม่ใช่ มันมิใช่กลิ่นอายของอสูรบรรพกาล”
เว้นหยุดหนึ่งช่องไฟ หลิวซูสูดหายใจแช่มลึกและกล่าวน้ำเสียงคมเข้มเป็นกังวลว่า
“อีกฝ่ายเป็นมนุษย์!”
สิ้นเสียงเพียงเท่านั้น จู่ๆ ก็มีดวงไฟสีม่วงจากไหนมิทราบดิ่งพสุธาพุ่งลงมา เซียถงที่ปฏิกิริยาตอบสนองไวกว่า รีบกระชากหลิวซูกระโดดหลบไปมุมหนึ่ง ตำแหน่งที่ดวงไฟสีม่วงลงจอด กลายเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่บนพื้น หน้าดินทั้งหลายถูกทำลายไม่เหลือซาก
แทบจะในเวลาเดียวกัน เซียถงก็สัมผัสได้ถึงมวลคลื่นมหาลมปราณอันไร้เทียมทานขุมนั้นได้ พุ่งตามลงมาติดๆ จากบนฟากฟ้า
“มันอยู่บนหัวเราแล้ว!”
พินิจจากมวลมหาพลังลมปราณที่วิปลาสแกร่งกล้าเป็นพิเศษนี้ ทำเอาบอกไม่ถูกเลยว่า อีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู เซียถงและหลิวซูต่างคนต่างรีบวิ่งออกไปดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างคล่องแคล่ว
อย่างไร ไม่มีใครทันสังเกตเลยสักคน ทันทีที่ดวงไฟสีม่วงกลุ่มนี้ตกลงมา เหมือนว่าดอกสีชมพูทั่วทั้งทุ่งเหล่านี้กลับมิได้เจิดจรัสสวยสดดังเดิม แต่ดูจืดอ่อนลงไปหนึ่งส่วน
เข้ามาถึงระยะอันตราย เซียถงเปลี่ยนเป็นย่องเบาตรงเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง คมมีดกระชับแน่นเตรียมพร้อมอยู่ในมือนานแล้ว ชูยกอยู่ในองศาพร้อมลงมือจู่โจมทุกเมื่อ พอยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนตรงหน้า สัญชาตญาณของนางก็ยิ่งตื่นตัวขึ้นเป็นทวี
ดูเหมือนว่า ผู้บุกรุกคนนี้จะไล่ตามดวงไฟสีม่วงมา จนแล้วจนรอดจึงขึ้นมาถึงที่แห่งนี้
พินิจจากร่างเงาภายใต้ควันฝุ่นที่ฟุ้งตลบ เหมือนจะเป็นชายหนุ่มท่าทางแข็งแกร่งมากผู้นี้ ยามนี้เหมือนจะกำลังให้ความสนใจกับร่องรอยดวงไฟสีม่วงในหลุมบ่อพอควร ถึงขนาดเอนตัวลงเพื่อเข้าตรวจสอบ
ฉวยโอกาสทีเผลอนี้ คู่เท้าเซียถงกระตุกวูบ ร่างไสวกลายเป็นสายฟ้าพิสดาร พุ่งจู่โจมใส่อีกฝ่ายโดยตรง!