ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 503 สถานการณ์เลวร้าย (1)
ตอนที่503 สถานการณ์เลวร้าย (1)
ตอนที่503 สถานการณ์เลวร้าย (1)
เซียถงพุ่งตัวกระโจนขึ้นนภาหาว ห้ำหั่นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าฟันฟาดลงมา ฟันสะบั้นกวาดล้างสรรพสิ่งเบื้องหน้าไม่เว้นแม้แต่ดอกดไม้สีชมพูเหล่านั้น! พริบตาขณะที่ปราณกระบี่วินาศของนางโจมตีใส่ ไป๋หลี่หานคล้ายเข้าใจได้เป็นคนถัดมา จึงเหินฟ้าทะยานขึ้นฟ้าสูงลิบติดตามไป ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งอยู่เบื้องหลังเซียถง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปเกี่ยวเอวพยุงร่างเอาไว้ ส่วนอีกมือประทับอยู่กลางแผ่นหลัง อัดฉีดกระแสลมปราณสีเงินกระแสหนักเข้าสู่กายาของนาง
แทบจะในทันที กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเซียถงพลันเพิ่มพูนพลังทำลายล้างอย่างก้าวกระโดด ยังไม่ทันฟันผ่าลงมา อาศัยแค่คลื่นลมก็สามารถสะบั้นพื้นดินแตกระแหงเป็นสายยาว ด้วยพลังลมปราณที่ไป๋หลี่หานเข้าสนับสนุนช่วยเหลือนี้ ยิ่งทวีอานุภาพความวินาศสันตะโรให้แก่กระบวนโจมตีนี้ของเซียถง
บรรดาดอกไม้สีลมพูทั้งหลายขาดสะบั้นหัวกุด เศษหญ้าเศษเกสรปลิดปลิวไปตามแรงลมกระโชกดุร้าย หนึ่งคลื่นโกลาหลโบกสะบั้น ยิ่งทวีสีสันให้แก่ทุ่งพฤกษาแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ชั่วขณะนั้นช่างเป็นภาพฉากที่งดงาม ไป๋หลี่หานยังคงใช้มือข้างนั้นเกี่ยวเอวประคองร่างเซียถงเอาไว้เพื่อกันแรงระเบิด ทั้งสองโบยบินอยู่บนห้วงเวหานภาสูง เฝ้ามองผ่านฉากต่อจากนี้ที่เกิดขึ้น
เมื่อคลื่นโจมตีจากกระบี่ทัณฑ์ฟ้าซัดกระหน่ำลงถึงภาคพื้น ก็กวาดล้างทุ่งดอกไม้สีชมพูเหล่านั้นจนสิ้นซาก ท่ามกลางแรงระเบิดครั้งใหญ่ กลีบดอกไม้ดังกล่าวแตกสลายกลายมาเป็นเม็ดอณูแสงสีม่วงคล้ายลูกปัดจำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยเคว้งคว้างอยู่แบบนั้น เสมือนกับว่าตัวเซียถงเป็นแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูดอ่อนๆ สักครู่ต่อมา เม็ดอณูแสงสีม่วงเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยเข้าหานางทีละเล็กละน้อย
เม็ดอณูแสงสีม่วงซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเซียถงแผ่นผิวหนัง และเมื่อพยายามยื่นมือขึ้นสัมผัส เหล่านั้นกลับกระเด้งลอยห่างมิให้เข้าใกล้ ก่อนจะลอยไปยังตำแหน่งอื่นของร่างกายนางเพื่อเข้าไป
อณูเม็ดแสงสีม่วงละเล็กละน้อย ลอยเข้าระดมสั่งสมอยู่ท่ามกลางห้วงความคิดของเซียถง ยามที่สะสมได้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันก็เริ่มกระบวนการควบแน่นหลอมรวมและแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างก่อตัวขึ้นมา…
ขณะที่เซียถงกำลังวุ่นอยู่กับเหตุการณ์ประหลาดบนยอดเขาคุนหลุน ในเวลาเดียวกัน อิ๋งเอ๋อร์กับเซี่ยเสวี่ยเหลียนก็เพิ่งจะลงเขาคุนหลุนได้สำเร็จ พวกนางกำลังนั่งบรรทุกอยู่ในรถม้า กำลังมุ่งหน้าสู่ดินแดนอี้เฉิง
เนื่องจากกลุ่มเดินทางนี้มีแค่อิ๋งเอ๋อร์กับเซี่ยเสวี่ยนเหลียน พร้อมกับคนขับเกี้ยวอีกหนึ่ง ไป๋หลี่หานจึงสั่งการให้องครักษ์หน่วยเงาผู้หนึ่งเฝ้าคุ้มกัน
ระหว่างทาง เซี่ยเสวี่ยเหลียนได้สติตื่นขึ้นอยู่ก็หลายครา และทันทีที่เห็นว่าบุคคลที่อยู่ข้างๆ คือ อิ๋งเอ๋อร์ นางก็เริ่มคลุ้มคลั่ง บ้าดีเดือดไม่หยุด ข้าวปลาอาหารก็ไม่กินเลยสักคำ โวยวายพูดจาซ้ำซากอยู่แบบนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ตนเองกำลังทำอะไรอยู่
อิ๋งเอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นหนักเข้าก็รู้สึกสงสารขึ้นมา ตลอดทางนั้นจึงพยายามดูแลนางเป็นอย่างดี
เกี้ยวรถม้าหยุดพักแถวลำธารสายหนึ่ง อิ๋งเอ๋อร์พาเซี่ยเสวี่ยเหลียนแวะเวียนไปที่ลำธารสายนั้นเพื่อล้างหน้าล้างตัวให้
เหม่อมองชุดแพรพรรณสีขาวของเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่เคยสะอาดบริสุทธิ์ แต่เวลานี้มีแต่สิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนไปทั่ว เห็นแบบนั้นอิ๋งเอ๋อร์ก็อดส่ายหัวมิได้
ช่วยถอดเสื้อผ้าปลดเปลื้องชั้นในน้อยๆ เปลือยกาย นางจูงมือเซี่ยเสวี่ยเหลียนลงไปล้างตัวในลำธารสายนั้น ค่อยๆ ตักน้ำขึ้นรดราดบนร่างกายอย่างนุ่มนวล
“คุณหนูรอง เดี๋ยวบ่าวสระผมให้เจ้าค่ะ หลับตาก่อนสักครู่นะเจ้าค่ะ”
หลังจากอยู่ดูแลในเกี้ยวรถม้าอยู่นาน ในเวลานี้เซี่ยเสวี่ยเหลียนเห็นอิ๋งเอ๋อร์เป็นแม่ไปเสียแล้ว
“เจ้าค่ะท่านแม่”
อื๋งเอ๋อร์สระผมยาวสลวยแก่นาง ล้างชำระคราบสกปรกด้วยน้ำสะอาด
แต่ทันใดนั้นเอง ร่องรอยความเกลียดชังพลันปรากฏขึ้นในดวงตาอันว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาของเซี่ยเสวี่ยเหลียน อย่างไร อิ๋งเอ๋อร์ที่ช่วยสระผมให้อยู่ข้างหลังกลับไม่ทันสังเกตเห็นเลย จู่ๆ เซี่ยเสวี่ยเหลียนก็ลุกขึ้นพรวดขึ้นมาฉับพลัน อิ๋งเอฮ๋อร์ที่ไม่ทันตั้งตัวพลันสะดุดหินกรวดร่วงตกไปในลำธาร เสียงน้ำกระเซ็นสาดดังซ่า ขณะที่นางพยายามจะพยุงตัวลุกขึ้น จู่ๆ ก็อีกฝ่ายก็กระโดขึ้นคร่อมร่าง กลายเป็นภาพโกลาหลฉากหนึ่ง
“เซี่ยเสวี่ยเหลียน! เจ้าจะทำอะไร!?”
อิ๋งเอ๋อร์ดิ้นทะรนทุรายอยู่ในธารน้ำ พยายามยกมือไม้ขึ้นต้านรับหวังจะสู้กลับ
แต่อย่างไร เซี่ยเสวี่ยเหลียนเป็นถึงผู้บำเพ็ญตบะขอบเขตเสาหลักเหลืองคนหนึ่ง พละกำลังของนางย่อมเหนือกว่าอิ๋งเอ๋อร์มาก นางใช้สองมือบีบคอของอีกฝ่ายแน่นราวกับต้องการจะเอาให้ตาย จนท้ายที่สุดก็กดศีรษะอิ๋งเอ๋อร์ลงได้จนมิดน้ำ เรี่ยวแรงที่พยายามขัดขืนเหล่านั้นก็เริ่มอ่อนลงและอ่อนลง
สำหรับเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ฝึกปรือพลังลมปราณมา ไม่ว่ากรณีใด อิ๋งเอ๋อร์ก็หาใช่คู่ต่อสู้ของนางไม่เลย ยิ่งไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้ด้วยแล้ว ยิ่งเสียเปรียบหนัก อิ๋งเอ๋อร์พยายามแกะกุมมือไม้ของเซี่ยเสวี่ยเหลียนบนคออย่างหมดท่า ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด เพราะสีหน้าการแสดงออกของเซี่ยเสวี่ยนเหลียนในขณะนี้ มันดูน่ากลัวผิดวิสัย ใช่แล้ว สายตาคู่นั้นของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ราวกับสามารถเค้นเลือดหลั่งออกมาเป็นน้ำตาสีโลหิตได้ก็มิปาน ท้ายที่สุดนี้ อิ๋งเอ๋อร์เกิดอาการชักกระตุกรุนแรงอยู่สองสามที ก่อนจะนิ่งสงัดไปทั้งแบบนั้น
ร่างของนางก็ลอยขึ้นบนผิวน้ำปราศจากทีท่าขยับเขยื้อนใดๆ อีกต่อไป
เซี่ยเสวี่ยเหลียถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างโล่งอก ตะเกียดร่างขึ้นจากลำธาร คว้ากองเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาพันรอบตัวสุ่มสี่สุ่มห้ากลับหัวกลับหางไปหมด จะกล่าวว่าใส่เสื้อผ้าก็ดูจะไม่ถูก เพราะกระทั่งแขนเสื้อยังไม่สวมเข้าไปด้วยซ้ำ แค่เอามาพันรอบตัวมัวซั่ว ปิดจุดสำคัญบางส่วนเอาไว้เท่านั้น
ลูกตาดำจัดของนางกลับมาดูว่างเปล่าอีกครั้ง มันสั่นไสวดูโกลาหวาดกลัวไปเสียหมด เซี่ยเสวี่ยเหลียนเดินไปทั้งแบบนั้น ตรงไปที่รถม้าพร้อมคู่เท้าเปล่าๆ
องค์รักษ์หน่วยเงาที่ได้ยินเสียงแถวลำธารก็รีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความตกใจ
และเมื่อเห็นสภาพอันไม่สมประกอบของนาง เสื้อผ้าพันมั่วซั่วไม่เป็นที่เป็นทาง เขาก็รีบถอดเสื้อคลุมออกมาและสวมทับบนร่างนางโดยไว
“แล้วแม่นางอิ๋งเอ๋อร์อยู่ไหนรึ?”
พอชะโงกหน้ามองด้านหลังเซี่ยเสวี่ยเหลียน องครักษ์หน่วยเงาผู้นั้นก็ไม่เห็นอิ๋งเอ๋อร์ติดตามมาแม้แต่เงา
และเมื่อถอนสายตามองลงมา ก็แลเห็นเซี่ยเสวี่ยเหลียนในขณะนี้ที่กำลังเหม่อมองมาทางตน พร้อมท่าทีขวยเขิน ดวงตากลมโต ขนตายาวระหงสวยงาม เนื่องจากเสื้อผ้าใส่มัวซั่วผิดทิศทิศทางไปหมด จึงทำให้เห็นเนินอกสีขาวอวบอิ่มของนางได้อย่างชัดเจน ภาพฉากนี้มันเปรียบเสมือนเด็กสาวใสบริสุทธิ์และงดงามเกินพรรณนา ใครได้เห็นต้องอดกลืนน้ำลายมิได้ แต่ยังดีที่เป็นองครักษ์หน่วยเงาประจำกายของไป๋หลี่หาน เรื่องแค่นี้กลับไม่ทำให้เขาสะทกสะท้านได้
“คุณหนูเซี่ย? เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
ก่อเกิดน้ำเสียงระแวงสงสัยเจือผสมในคำกล่าวประโยคนี้ดังขึ้น
แต่ใครจะไปคาดคิด จู่ๆ เซี่ยเสวี่ยเหลียนพลันโถมตัวเข้ามาโอบเอวขององครักษ์หน่วยเงาเอาไว้ ศีรษะแนบชิดติดอยู่บนแผ่นอกของเขา เปล่งเสียงร้องกระเส่าแผ่วบางขึ้นว่า
“ข้ากลัว!”
น้ำเสียงของเซี่ยเสวี่ยเหลียนฟังแล้วนุ่มนวลรื่นหูเสียเหลือเกิน ประดุจกระแสน้ำใสไหลชำระล้างบนหยกเขียวบริสุทธิ์ ยิ่งผนวกกับเรือนร่างอันทรงเสน่ห์ที่นุ่มนิ่มและอบอุ่นเข้านวดนาบ
องค์รักษ์หน่วยเงาผู้นั้นรีบดึงสติกลับเข้ามา ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปผลักไสร่างของนางออกไป ทว่ายังไม่ทันลงมือทำอะไร กลับรู้สึกถึงไอหนาวเหน็บเย็นจับขั้วแผ่นอกฉับพลัน
เซี่ยเสวี่ยเหลียนค่อยๆ ล่าถอยถอนตัวออกมา เงยหน้าจับจ้องมาที่เขาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
คมกริชเล่มหนึ่งค่อยๆ ถอนออกมาจากขั้วหัวใจที่โดนเสียบทะลุ ผ่านชั้นกล้ามเนื้อบนแผ่นอกอย่างบรรจง คราบเลือดชโลมชุ่มย้อมคมกริชกลายเป็นสีแดงฉาน เซี่ยเสวี่ยนเหลียนเหม่อมองเลือดสดๆ เหล่านั้น แสยะยิ้มสยดสยองน่ากลัว ก่อนจะแลบลิ้นของตนออกมาไล่เลียอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับกำลังได้ลองลิ้มชิมรสชาติของขนมหวานที่หอมอร่อยที่สุดบนผืนพิภพ
“จะ-เจ้า…”
องครักษ์หน่วยเงาผู้นั้นพยายามชี้นิ้วใส่ทางเซี่ยเสวี่ยเหลียน แต่ยังไม่ทันพูดจบ ลมหายใจสุดท้ายก็พลันดับลง
เมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวไม่ไกลจากนี้ คนขับเกี้ยวที่กำลังยืนปัสสาวะอยู่อีกข้างทางก็รีบหันมาดู แต่ยังไม่ทันจะได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็โดนคมกริชเจาะทะลุเต็มเบ้าตาในทันที