ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 507 ตามหากิเลน (1)
ตอนที่507 ตามหากิเลน (1)
ตอนที่507 ตามหากิเลน (1)
เซียถงพินิจสายตามุ่งมองใกล้ชิด แต่สิ่งเดียวที่แลเห็นคือ คลื่นพลังลมปราณสีเงินตลบใหญ่ที่ผนึกก่อรวมอยู่บนฝ่ามือของไป๋หลี่หาน เขากำลังโจมตีบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ซึ่งพลานุภาพทำลายล้างที่เขาใช้ซัดกระหน่ำออกไป มันรุนแรงเสียจนปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์โดยรอบเต็มไปด้วยเศษหินเศษฝุ่นกระเจิงสารทิศ ภาพฉากทั้งหมดบนเส้นสายตามีแต่ความโกลาหลวุ่นวายอบอวล และมากซะจนนางไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่า สิ่งที่ไป๋หลี่หานกำลังเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้คือตัวอะไร ในหัวมีคำถามนับร้อยสิบ จะได้ยินก็แต่เสียงร้องคำรามดุร้ายบ้างคลั่ง…
เสียงกู่ก้องคำรามแผดดังสนั่นหวั่นไหว!
และเสียงกู่ร้องคำรามนี้ยังรุนแรงเกินต้านเสียจน ผืนแผ่นดินรัศมีสิบลี้สั่นไหวสะเทือนดุจปฐพีคำรน
โดยไม่พูดพล่ำใดๆ เซียถงรีบเร่งลุกขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิฉับพลัน เร่งระดมกระแสลมปราณมวลหนักเข้าควบแน่นบนฝ่ามือ และตบกระแทกออกไปเบื้องหน้า
เดิมที แค่คลื่นวินาศของไป๋หลี่หานที่โจมตีก็ไปก็สร้างวิสัยทัศน์มัวหมองฝุ่นตลบพอแล้ว มีกระบวนจู่โจมฉับพลันของเซียถงที่เพิ่มเสริมเข้าไปอีกแรง เศษทรายเศษกรวดแตกละเอียดทั้งหลายกระจายฟุ้งไปทั่วอากาศหนักข้อ ทั้งคู่สังเกตเห็นเพียงเงาดำจางๆที่ไหสววูบพุ่งโฉบเฉี่ยวซ้ายขวา วิ่งผ่านหน้าไปมาอยู่หลายครา
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเซียถงหรือไป๋หลี่หานต่างสัมผัสถึง มวลมหาแรงกดดันสุดพิสดารตรงหน้าที่เริ่มหนักอึ้งและหนักอึ้ง หลังจากผ่านไปหลายชั่วอึดใจ เศษฝุ่นละอองทรายนับไม่ถ้วนที่ลอยฟุ้งก็ค่อยๆสลายหายไป เงงสีดำจางอ่อนเบื้องหน้าเริ่มปรากฏถนัดชัดสายตามากขึ้นทีละเล็กละน้อย
เซียถงร้องอุทานคำหนึ่ง
“ตัวอันใด?”
ไป๋หลี่หานส่ายหัว
“ข้าเองก็ยังมิทราบ มันเร็วเกินกว่าจะมองตามได้ทัน! ควรจะเป็นอสูรแกร่งสักชนิด ทั้งที่มันกดพลังระงับไว้แล้วแท้ๆ แต่นั่นก็ยังสูงมาก!”
เจ้าสิ่งนี้ทำให้แม้กระทั่งไป๋หลี่หานผู้มีระดับชั้นลมปราณขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้ายังต้องหวั่นระแวง! ทั้งที่ไป๋หลี่หานน่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทานชั้นแนวหน้าในทวีปเทียนหลางแล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่กลับมีพลังความแข็งแกร่งใกล้เคียงเทียบชั้นกับเขาได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ขุมพลังของเจ้าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าที่เซียถงและไป๋หลี่หานสัมผัสได้…มันยังไม่ใช่ทั้งหมด!
หลิวซูปรากฏกายยืนตะลึงแข็งค้าง สูดหายใจเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอด ก่อนจะร้องอุทานขึ้นลั่นด้วยความแตกตื่นสุดขีด
“เทพ…เทพอสูร!!”
“กิเลน?”
“กิเลน!”
ทั้งเซียถงและไป๋หลี่หานต่างมองหน้ากันและกัน ต่างฝ่ายต่างเผยแสดงสีหน้าประหลาดใจ
และเป็นฝ่ายเซียถงที่รีบก้มมองรอยเท้าคู่นั้นที่ทิ้งตามพื้นรอบข้างเต็มไปหมด จากขนาดอุ้งเท้าที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ใหญ่กว่าศีรษะมนุษย์ทั้งหัว นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า เทพอสูรตนนี้มีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่
สักครู่ต่อมา ก่อนที่เศษทรายละอองฝุ่นทั่วอากาศจะมลายจางหายจนสิ้นสมบูรณ์ดี จู่ๆมวลมหาแรงกดดันสุดพิสดารเบื้องหน้ากลับค่อยๆล่าถอยอ่อนลง จนไม่สามารถตรวจจับได้อีกเลยในที่สุด พร้อมดับเงาสีดำที่อันตรธานหายวับไป
ทั้งที่เพิ่งจะปรากฏกายออกมาแท้ๆ แต่สามารถทิ้งทวนกลิ่นอายความอันตรายสุดขีดได้ปานนี้
เป็นระยะเวลาสักพักใหญ่ ที่ทั้งเซียถงและไป๋หลี่หานไม่กล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้าไปไหน ทั้งที่ควันฝุ่นสลายตัวไปโดยสิ้นแล้ว
ในเวลานี้ จู่ๆเสี่ยวฮั่วก็กล่าวขึ้นผ่านห้วงความคิดของเซียถงว่า
“นั่นมันกิเลนตัวจริงเสียงจริง! ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลมหายใจของมัน! กิเลนตนนี้บรรลุถึงระดับชั้นเทพอสูรขั้นสุดแล้ว! กล่าวได้ว่า แทบจะอยู่ในจุดสูงสุดของหวงโซ่อาหารในผืนพิภพในยุคปัจจุบัน!!”
“เทพอสูรขั้นสุด?”
เซียถงไม่ค่อยมีความเข้าใจต่อระดับขั้นพลังของบรรดาสัตว์อสูรลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ในฐานะนักอัญเชิญอสูรคนหนึ่ง นางมีโอกาสได้เคยพบเคยเห็นอย่างมากที่สุดก็แค่ อสูรศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง กล่าวคือ สิ่งที่มีระดับชั้นอยู่เหนือไปกว่านั้น เสาะหาได้ยากยิ่ง ต่อให้จงใจเสาะหาก็ตามที แต่ตามคำกล่าวเหล่าของเสี่ยวฮั่วสักครู่ หากกิเลนตนเมื่อครู่เป็นถึง เทพอสูรจริงๆ นั่นหมายความว่า สิ่งที่นางเพิ่งจะพบเห็นไปก็คือ สิ่งมีชีวิตชั้นสูงสุดในทวีปเทียนหลาง!
ถึงแม้ทุกคนจะทราบดีว่า แท้จริงยังมีระดับชั้นการดำรงอยู่ที่มีสถานะสูงกว่าเทพอสูรอย่างเช่น สี่สัตว์เทพเทวะ แต่อย่างไร เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพอสูร’ ตัวตนเหล่านี้ควรจะปรากฏให้เห็นแค่ในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์หรือในตำนานเท่านั้น
อสูรบรรพกาลจากยุคอดีต เทพอสูร กิเลน ณ ปัจจุบันมันยังมีชีวิตอยู่!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ตามที่ตำนานเล่าขานเอาไว้จะเป็นของจริงที่ว่า ยังมีกิเลนศักดิ์สิทธิ์คอยเฝ้าพิทักษ์บัญชาสี่พิภพอยู่!
ยังไม่ทันได้เห็นหน้าคราตา อาศัยใช้เพียงรัศมีกลิ่นอายอันไร้เทียมทานเข้าข่มเหงกดดัน มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เซียถงหายใจไม่ออกเจียนตายทั้งเป็น แล้วหากต้องเผชิญหน้ากับมันโดยตรง จะไม่โดนฆ่าทิ้งในชั่วอึดใจเลยงั้นรึ!?
เฉพาะเวลานี้เท่านั้น เซียถงชักจะหวั่นวิตกเป็นกังวลหนัก! ยากเกินไป! ยากเกินไปแล้วภารกิจคราวนี้! อาศัยแค่ขุมพลังขอบเขตราชันย์ม่วง อย่างดีสุดก็มีขุมพลังขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าของไป๋หลี่หานมาช่วย มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับกิเลนตนเมื่อครู่ได้เลย!!
แล้วที่พยายามฝ่าฟันกันมาแทบตายล่ะ? ทั้งหมดที่ผ่านมาทำเพื่ออะไร?
ไม่! เป็นไปไม่ได้เลย!
แต่เริ่มเดิมที เซียถงตั้งใจไว้ว่า จะนำบัญชาสี่พิภพกลับมาเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลบัวศักดิ์สิทธิ์ และนำไปรักษาอาการป่วยเรื้อรังของท่านแม่ ซึ่งนางก็ทราบดี บัญชาสี่พิภพชิ้นนี้มันมีล้ำค่าและทรงพลังเกินจินตนาการเพียงใด กับแค่ผลบัวศักดิ์สิทธิ์ชิ้นเดียว กล่าวได้ว่าไม่คุ้มค่าเลยแม้สักนิด! แต่สำหรับนางแล้ว มันคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ได้กลับคืนมา มันคือชีวิตของท่านแม่!
คิดได้ดังนั้น เซียถงเริ่มตั้งสติอีกครั้ง ไม่นานก็เริ่มใจเย็นลง
ขณะเดียวกัน เมื่อนางเงยหน้าหันมอง ก็พบว่าไป๋หลี่หานกำลังมุ่งมองมาที่นางอยู่
มีหรือที่ไป๋หลี่หานจะไม่ทราบ มหันตภัยร้ายชนิดใดที่กำลังรอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า? แต่สุดท้ายนี้ เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงยืดแขนออกไปกุมมือเนียนนุ่มของเซียถงอย่างแผ่วเบา
ทั้งสองยืนเคียงข้างกันและกันราวกับคู่สามีภรรยาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครั้งไม่ถ้วน และนี่ก็เป็นอุปสรรคใหญ่อีกหนึ่งครั้งที่ผ่านเข้ามาเพื่อท้าทายทั้งสอง
ยามเราสองอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันไม่ห่าง เสมือนความตึงเครียดกังวลล้วนอันตรธานหายสิ้น ทั้งคู่ยังคงยืนกับมือกันแบบนั้น ชื่นชมทัศนีย์ภาพยามตะวันอัสดงอย่างสงบเงียบ
ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องไปที่ภาพฉากคู่รักเบื้องหน้า มีหลายครั้งที่พยายามโพลงตัวเคลื่อนไหวออกจากที่ซ่อนจุดนี้ แต่ก็ถูกอีกคนที่อยู่ด้านหลังฉุดรั้งเอาไว้ทุกคราไป
ชายคนนั้นจ้องตาอีกฝ่ายอย่างเย็นชา และก่นเสียงกระซิบทุ้มต่ำแผดว่า
“หากเจ้าอยากออกไปตายนักก็เชิญ แต่ก่อนเจ้าจะตาย ก็บอกที่อยู่น้องชายข้ามาก่อน!”
เย่หลีเทียนที่กำลังบาดเจ็บ ชำเลืองมองเค่อฮั่วพลางแสยะยิ้มเย็นมุมปาก
“ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า สายสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องของพวกเจ้าจะเหนียวแน่นกันปานนี้”
ลมหายใจของเย่หลีเทียนยามนี้อ่อนระทวย กล่าวได้ประโยคหนึ่งก็สำลักไอเป็นเลือดออกมา คมมีดที่เซียถงเสียบแทงในตอนนั้น มันลึกเสียจนเกือบปักโดนขั้วหัวใจของเขาแล้ว กล่าวคือ ถึงจะรอดชีวิตมาได้ แต่ปอดข้างหนึ่งกลับโดนเสียบทะลุ ส่งผลให้หายใจหายคอลำบากมาก ยิ่งเวลาพูดเมื่ออาการจะยิ่งทรุดหนักลงกว่าเก่า
เย่หลีเทียนมุ่งสายตาจับจ้องไปที่เซียถงและไป๋หลี่หานที่ยืนโอบกอดกันและกันด้วยความพยาบาทอาฆาต ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดกุมบริเวณบาดแผลลึกบนแผ่นอกซ้าย ส่วนอีกมือกำลังใช้ค้ำกับก้อนหินที่อยู่ถัดจากตัวใกล้ๆ พยุงร่างกายมิให้ล้มลง เขากัดฟันแน่น ส่งเสียงเย็นยะเยือกเล็ดลอดออกมา ชนิดสะกดคำต่อคำ
“หากเจ้าช่วยให้ข้าได้บัญชาสี่พิภพมาครอง ข้าจะคืนน้องชายให้!”
เค่อฮั่วได้ยินเช่นนั้นก็เป็นตะลึง
“เจ้ากล่าวว่าอันใด? หากเมื่อครู่ไม่ได้ข้ายื่นมือช่วยเหลือจากเส้นทางวิถีหนึ่งสวรรค์ ปานนี้เจ้าหรือจะยังมีชีวิต? ข้าเพิ่งช่วยชีวิตเจ้าไปแท้ๆ อย่างน้อยก็ควรบอกที่ซ่อนของน้องชายข้าก็ยังดี!”
เค่อฮั่วปฏิเสธข้อเสนอนี้ของเย่หลีเทียนอย่างหัวเด็ดตีนขาด เพราะหากต้องกลายไปเป็นศัตรูของเซียถง เขาขอตายเสียตอนนี้เลยดีกว่า!
เย่หลีเทียนหัวเราะสุดจะกลั้น สายตาคู่นั้นที่กำลังสบมองมาทางเค่อฮั่ว มีแต่แววสบประมาทถากถางนับไม่ถ้วนอยู่เปี่ยมล้น
“เจ้าหรือต้องการช่วยชีวิตข้าจริงๆ? แต่เพราะรู้ดีว่า หากข้าตาย น้องชายของเจ้าก็จะพลอยตายไปด้วยแน่นอน ดังนั้นก็เลยจำใจช่วยข้าออกมา หึหึ หากต้องการได้ตัวน้องชายกลับไปเป็นๆ เช่นนั้นก็จงทำตามที่ข้ากล่าว!”
“จะเจ้า!…เจ้า!!…”
เค่อฮั่วเดือดจัด ถึงขนาดชี้นิ้วใส่หน้าเย่หลีเทียนแทบอยากนจะทุบให้ตายสิ้นซากไป ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิตงหลี่ก็ตามที แต่เขาก็ไม่เคยเห็นหัวหรือเกรงใจใดๆไม่ อย่างไร ทั้งหมดที่ต้องยอมอ่อนข้อให้ถึงขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะชีวิตของเค่อมู่กำลังอยู่ในกำมือของมัน! เรื่องน้องชาย ถือเป็นจุดอ่อนข้อใหญ่สุดของเค่อฮั่ว!
เค่อฮั่วค่อยๆลดมือลง พยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักครู่ แล้วค่อยกล่าวว่า
“เว้นแค่เรื่องบัญชาสี่พิภพ จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
มุมปากเย่หลีเทียนกระตุกยิ้มขึ้นทันควัน ราวกับทุกอย่างเป็นไปดั่งกลอุบาย
“ย่อมได้! เช่นนั้นเจ้าต้องไปฆ่าเซียถง หรือไม่ก็ไป๋หลี่หานให้ข้า! หากเจ้าทำล้มเหลว ข้าจะสูบเลือดน้องชายของเจ้าให้หมดตัวเสีย! ชีวิตของเขาจะรอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
เค่อฮั่วโซเซถอยหลังออกไปหลายก้าว ทั้งตกตะลึงทั้งหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน ร่างกายแทบเสียศูนย์ถ่วงจนทรุดพิงพาดกับต้นไม้แถวนั้นอย่างอ่อนแรง นี่มันภารกิจไปตายชัดๆ! ไม่ว่าจะเลือกทางใดก็มีแต่ความสิ้นหวังที่รออยู่!
อย่างไร…เขาในตอนนี้กลับไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว