ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 510 ดวงไฟสีม่วงที่เหลือ (2)
ตอนที่ 510 ดวงไฟสีม่วงที่เหลือ (2)
ตอนที่ 510 ดวงไฟสีม่วงที่เหลือ (2)
ไป๋หลี่หานหมุนตัวกลับไปและไม่แม้แต่เหลียวมองเค่อฮั่วอีกเลย เศษกระบี่แตกหักชิ้นนั้นเพิ่งร่วงหล่นลงมาจากฟ้า แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ไป๋หลี่หานพลันยกเท้าสะบัดขึ้นแตะ ยิงคมเศษกระบี่พวยพุ่งระเบิดหินผาก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างเคียง เศษซากก้อนกรวดละอองฝุ่นผงแตกกระจุยเป็นเสี่ยงๆ
อาศัยใช้เพียงเศษกระบี่ชิ้นหนึ่ง เขาสามารถระเบิดหินผาทั้งก้อนได้จริงๆ!
ทันใดนั้นเอง คนที่หลบซ่อนอยู่หลังหินผาก้อนดังกล่าวพลันเผยตัวกระโดดออกมา เพราะหากล่าช้ากว่านี้ เกรงว่าคงโดนระเบิดตายไปพร้อมกับมันเสียแล้ว
เย่หลีเทียนส่งสายตาเสียดมองอย่างเย็นชา ชั่วขณะเมื่อครู่ กระทั่งเขาเองก็เกือบพลาดท่าให้เช่นกัน เร่งรุดกระโดดออกมายังที่ปลอดภัย เสี้ยวขณะนั้นเจียนจะลื่นล้มเสียการทรงตัว โชคยังดีที่เจ้าตัวพยุงร่างตั้งตรงได้ทันเวลา จัดเสื้อผ้าขยับเล็กน้อยให้เป็นระเบียบ ก่อนจะย่างสามขุมเดินออกมาประดับพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายบนมุมปาก
มุ่งมองเขม็งปราดหนึ่ง ทันทีที่ไป๋หลี่หานค้นพบว่าเป็นเย่หลีเทียน พริบตาต่อมา บรรยากาศโดยรอบพลันแปรเปลี่ยน เสมือนมีกลิ่นดินปืนเตรียมปะทุได้ตลอดเวลา
“เย่หลีเทียน เจ้ายังไม่ตาย”
เย่หลีเทียนยิ้มกระหยิ่มเย็นชา กล่าวตอบเช่นกัน
“เจ้าเองก็เช่นกัน ยังไม่ตายไปอีกรึ?”
มีแววความเกลียดชังซ่อนแฝงอยู่ล้ำลึกภายในดวงตาคู่นั้นของเขา แต่ชั่วครู่ต่อมา พอไม่เห็นบางคนที่ควรจะอยู่เคียงข้างกายไป๋หลี่หาน สีหน้าของเย่หลีเทียนก็พลันแปรเปลี่ยนในทันใด จากแววชั่วร้ายพลันดูมีสตินึกคิดขึ้นมา
เย่หลีเทียนปั้นหน้ารวนรนไม่แน่ใจอยู่สักครู่ และเมื่อยืนยันได้ว่า แถวนี้ปราศจากกลิ่นอายการดำรงอยู่ของเซียถง เขาก็อดถามขึ้นมิได้โดยไว
“เซียถงอยู่ไหน? ไฉนไม่เห็นนางอยู่กับเจ้า?”
ไป๋หลี่หานได้ยินเช่นนั้นก็ระเบิดหัวเราะเย้ยเยาะลั่น ก่นเสียงเย็นชืดว่า
“ไม่คิดไม่ฝัน อัครมหาเสนาบดีเย่ผู้สูงศักดิ์สถานะกำลังมีใจคิดเป็นห่วงพระชายาของข้าผู้นี้? เรื่องของหัวใจ ใครแพ้ใครชนะ ท่านเองก็ควรตระหนักทราบดีแล้วมิใช่รึ? พระนามขององค์ราชินีแห่งดินแดนอี้เฉิงนับเป็นสิ่งต้องห้าม ถึงตนจะมีศักดิ์เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่การจะเรียกนางด้วยชื่อจริงเกรงว่าจะไม่มีสิทธิ์!”
โดนไป๋หลี่หานหยิบยกสถานศักดิ์ในวังหลวงล้อเล่นเช่นนี้ เย่หลีเทียนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดทมิฬอีกครั้ง และกล่าวว่า
“ไป๋หลี่หาน! อย่าได้อวดดีเกินไปนัก! ที่แห่งนี้จะเป็นหลุมฝังศพของเจ้า! ควรจะต้องขอบใจข้าเสียด้วยซ้ำ ที่เลือกสรรหลุมฝังศพที่มีฮวงซุ้ยงดงามปานนี้!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ เขายังตะโกนส่งเสียงกระตุ้นร้องเรียกหาเค่อฮั่วอีกว่า
“เจ้ายังไม่รีบลงมืออีกรึ!?”
เค่อฮั่วเผยสายตาซับซ้อนรวนเรสุดแสน หลังจากพินิจคิดหนักอยู่สักครู่ จึงค่อยหันไปจับจ้องเย่หลีเทียน กระแทกเสียงโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“เย่หลีเทียน บอกที่ซ่อนของน้องชายข้ามาก่อน!”
คำพูดประโยคก่อนหน้าของไป๋หลี่หาน มันได้เตือนสติเขา
เย่หลีเทียนมุ่งส่งสายตาเกรี้ยวดุ คำรามด้วยความโมโหว่า
“รนหาที่ตาย! หากเจ้าอยากตายมากเพียงนั้น ย่อมได้! ข้าจักสนองให้พวกเจ้าสองพี่ลงหลุมเดียวกันเดี๋ยวนี้แหละ!”
เอ่ยกล่าวออกไปเช่นนั้น ก็บังเกิดคลื่นลมปราณกระแสใหญ่ระดมสั่งสมอยู่บนฝ่ามือ ก่อนจะตบโจมตีใส่ทางเค่อฮั่วอย่างแรง
เค่อฮั่วเร่งยกสองมืออัดฉีดกระแสลมปราณขึ้นปะทะชนต้านรับ
แต่อย่างไร ดูเหมือนเย่หลีเทียนแข็งแกร่งกว่ามาก คลื่นวินาศจากฝ่ามือนั่นได้ส่งร่างทั้งร่างของเขาชนติดหินผาก้อนมหึมาด้านหลัง
เสียงกระแทกอัดดังชัดแจ้ง ‘ปัง!!’
ร่างทั้งร่างของฮั่วเค่อฝังแน่นแปะติดอยู่บนหินผามหึมาก้อนนั้น บังเกิดรอยแตกยับคล้ายใยแมงมุมกว่าหลายสิบสาย แตกร้าวไปทั่วบริเวณ
เค่อฮั่วกระอักพ่นเลือดสต็มปากเต็มคำทะลักล้น สายตาคู่นั้นถลึงจ้องไปที่เย่หลีเทียนด้วยควมตื่นตระหนกสุดขีด มิใช่ว่าอาการบาดเจ็บของมันตอนนี้สาหัสหนักมิใช่รึ? แล้วไยยังสามารถสำแดงใช้พลังลมปราณได้มหาศาลปานนี้?
หลังตบฝ่ามือโหมซัดคลื่นทำลายล้างออกไปขุมใหญ่ เย่หลีเทียนเกิดอาการสำลักไออย่างรุนแรง ก้อนเสมหะปนเลือดสดพ่นออกมาเต็มฝ่ามือ ก้มหน้าก้มศีรษะลง พร้อมกับร่างกายที่ค่อยฟื้นตัวอย่างช้าๆ
และพอเชิดหน้าเงยขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงโลหิตดุจมารปีศาจ
“ข้าอยากจะขอบคุณเจ้าเสียจริงที่ช่วยข้าเอาไว้ตอนนั้น และหากไม่ใช่เพราะเลือดของสัตว์อสูร ปานนี้ข้าเองก็คงทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายไปนานแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้น เค่อฮั่วรู้สึกตัดสินใจผิดพลาดครั้งร้ายแรง สุดท้ายนี้ได้แต่โทษตัวเองถึงการกระทำในตอนนั้น ตลอดวันนั้น เขาออกเดินทางตามหาเย่หลีเทียนอย่างลับๆ โดยยังมีความหวังเรื่องช่วยชีวิตน้องชาย เฝ้าติดตามจนไปถึงเส้นทางวิถีหนึ่งสวรรค์แห่งนั้น ขณะที่กลไกของกับดักกำแพงหินผาขนาบสองด้านกำลังบีบเข้ามาชิดกัน เขาบังเอิญไปเห็นเย่หลีเทียนที่นั่งจมกองเลือดอยู่ครึ่งทาง ได้รับบาดแผลฉกรรจ์สาหัสจากคมมีดสั้นของเซียถง
ซ้ำร้ายในเวลานั้น ยังมีฝูงผึ้งอีกนับไม่ถ้วนพวยพุ่งรุมใส่ ภายใต้สถานการณ์บีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ ท้ายที่สุดนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เค่อฮั่นก็กลั้นใจวิ่งเข้าไปช่วย และลากร่างของเย่หลีเทียนหลบหนีออกมาจากเส้นทางวิถีหนึ่งสวรรค์
ในตอนนั้น กล่าวได้ว่าเย่หลี่เทียนอยู่ในอาการวิกฤตหนัก
และหากปล่อยให้อีกฝ่ายตายลงทั้งแบบนี้ เค่อฮั่วก็จะไม่สามารถตามหาน้องชายตัวเองพบได้อีกตลอดกาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องออกล่าสัตว์อสูรกว่าหลายสิบตนมาให้ เพื่อให้ดื่มเลือดประคองอาการ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าเย่หลีเทียนตื่นก่อนตั้งนานแล้ว พร้อมกับซากศพที่แห้งเหือดของดเดหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย บนร่างกายเนื้อหนังของพวกมันปราศจากร่องรอยบาดแผลจะมีก็แค่ร่องรอยคมเคี้ยวบนคอของพวกมัน
เย่หลีเทียนลุกขึ้นและออกเดินทางพร้อมกับเค่อฮั่วต่อไป
ในตอนนั้น กระทั่งเค่อฮั่วเองยังคาดไม่ถึงว่า เย่หลีเทียนจะสูบเลือดของสัตว์อสูรพวกนี้เป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงบำรุงร่างกาย ทีแรกเขารู้สึกตื่นผวาไม่น้อย แต่ผ่านไปสักพัก ระหว่างเดินทางก็เห็นอีกฝ่าไล่ล่าพวกมันและจับมาดูดเลือดบ่อยขึ้น จนกลายมาเป็นภาพฉากชินตาไปเสียแล้ว
ทั้งสองเดินทางไปด้วย ทำเช่นนี้ไปด้วยจวบจนตอนนี้…
เย่หลีเทียนเปิดเสื้อกางแผ่นอกเปลือยเปล่า เผยแสดงให้เห็นรอยแผลลึกฉกรรจ์จากคมมีดก่อนหน้า แต่ตอนนี้ผิวหนังบริเวณนั้นเริ่มสมานกันจนเป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง บาดแผลค่อยๆ ถูกฟื้นฟูและใกล้หายเป็นปกติแล้ว
และเมื่อบาดแผลทั้งภายในและภายนอกเริ่มหายดี สีหน้าการแสดงออกของเย่หลีเทียนเองก็ดูดีขึ้นตามลำดับ
ทันทีทันใด แผ่นผืนดินใต้เท้าของเขา ก็มีดวงไฟสีม่วงทะลักทลายออกมาจากในกาย เหล่านั้นพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
สิ่งนี้เป็นดวงไฟสีม่วงที่ก่อนหน้าบินหนีพวกเซียถงหายออกไป แต่ไม่นึกเลยว่า ยามนี้มันกลับอยู่ในร่างกายของเย่หลีเทียน!
ทันทีที่ดวงไฟสีม่วงนี้หลอมผสานเข้ากับร่างกายของเย่หลีเทียน ก็ก่อกำเนิดเป็นคลื่นพลังสีม่วงแดงปริมาณมหาศาลไหลหลากท่วมกายา!
เฝ้ามองขุมพลังอันเปี่ยมล้นบนสองฝ่ามือ กระแสลมปราณที่แต่เดิมเปล่งแสงสีม่วงประกายเงิน ยามนี้ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงผสมแดงเลือดฉูดฉาด พร้อมกับพละกำลังความแข็งแกร่งที่ทวีเพิ่มพูนก้าวกระโดด เย่หลีเทียนจับจ้องหาไป๋หลี่หาน แสยะยิ้มมุมปากกล่าวว่า
“ข้าไม่นึกเลยว่า ดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นแท้จริงแล้วเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์! ไป๋หลี่หาน เจ้าถึงคราวชะตาขาดแล้ว!”
สิ้นเสียงเท่านั้น แค่เย่หลีเทียนสะบัดฝ่ามือปัดออกไป ก็บังเกิดเป็นแรงพายุตลบใหญ่พุ่งซัดใส่ไป๋หลี่หาน ชั่วขณะอึดใจ คล้ายสัมผัสได้ถึง แสงยานุภาพของฝ่ามือนี้ เขารีบกระโดนเลี่ยงหลบออกห่างโดยไว
ทันทีที่ฝ่าคลื่นพายุตลบใหญ่พลาดเป้าไปชนเข้ากับหินผามหึมาด้านหลังไป๋หลี่หาน มันก็แตกละเอียดเป็นผุยผงในพริบตา ผืนแผ่นดินโดยรอบสั่นสะเทือนรุนแรง
ไป๋หลี่หานหันย้อนกลับไปมองเศษผงหินผาที่โดนระเบิดจนละเอียดกองกับพื้นกลุ่มหนึ่ง สายตาทอประกายแสงอันตรายร้ายแรง แล้วรีบเรียกกระบี่สีทองคำขึ้นมือในทันใด รัศมีลมปราณแผดขยายอาณาเขตกว้างขวาง ก่อนควบแน่นกลั่นรวมกันอยู่บนคมกระบี่ เขาประยุกต์ใช้เกราะแสงวิญญาณฉาบเคลือบอาวุธ ก่อเกิดกลายเป็นปราณกระบี่ไร้เทียมทาน
ภาพฉากในเวลานี้ กล่าวได้ว่าหาดูได้ยากยิ่งแล้ว คมกระบี่สีทองคำเปล่งแสงประกายติดเงินระยิบรับแพรวพราว โดยมีผู้ถือครองเป็นยอดปรมาจารย์แห่งยุคสุดแกร่ง ไป๋หลี่หานดูราวกับเทพสวรรค์ลงมาจุติ
เย่หลีเทียนยืนผงาดอยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะมิได้ถือครองอาวุธใด แต่อาศัยมวลพลังลมปราณสีม่วงแดงอันข้นคลั่ก เขาสามารถหล่อหลอมกลายเป็นกระบี่ปราณอันตรายเล่มหนึ่งได้
ชั่วพริบตาถัดมา ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากสัประยุทธ์อย่างเดือดดุ เสมือนควบขี่พายุคลั่งสองสีเข้าโรมรันพันตูกัน เสียงคลื่นลมปราณตลบแล้วตลบเล่าลั่นสนั่นกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน ม่านนภาสารทิศเกิดปรากฏการณ์วิปลาสครั้งใหญ่หลวง
สำหรับศึกสัประยุทธ์ครั้งนี้ แม้แต่ผู้คนที่อยู่แถวตีนเขายังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ทุกคนตรงนั้นต่างเงยหน้าขึ้นมองบนยอดเขา ต่างคนต่างเผยสีหน้าแววตากังวลออกมาอย่างชัดแจ้ง
ชิงเยวี่ยเลิกคิ้วมอง หันไปกล่าวกับผู้มาใหม่อย่างหยุนซีที่อยู่ข้างๆ ว่า
“ท่านอาจารย์ผู้พี่ เซียถงยังอยู่บนนั้น!”