ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 513 กิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน (1)
ตอนที่513 กิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน (1)
ตอนที่513 กิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน (1)
เซียถงโดนกรงเล็บปริศนาอันหนึ่งฉุดกระชากลงบ่อน้ำเย็นจัด แทบจะในทันที นางรู้สึกได้ว่า มีกระแสน้ำหลากสายดูดร่างของนางสูบฮวบอย่างแรงลงไป ร่างทั้งร่างจมลึก พยายามเบิกตากว้างเบิกมอง แลเห็นเพียงแค่ผืนนภาบนหน้าพร้อมกับใบหน้าของไป๋หลี่หานที่ดูตื่นตระหนักหนัก ทั้งยังพยายามยื่นมือมาช่วยเหลือ
นางพยายามจะปริพูดอะไรสักอย่าง แต่ชั่วพริบตาต่อมาก็ต้องพบว่า ผิวน้ำเบื้องบนเริ่มจับตัวแข็งเป็นชั้นหนา ต่อให้นางจะยืดเหยียดมือออกไปสุดแขนปานใด แต่กลับไม่มีทางจะเอื้อมถึงอีกฝ่าย และท้ายที่สุด ร่างของนางก็ดำดิ่งลงไปสู่ส่วนลึกในบ่อน้ำแห่งนี้
หาใช่ว่านางเป็นพวกว่ายน้ำไม่เป็น แต่ตรงกันข้าม ทักษะการว่ายน้ำและดำน้ำของนางจัดอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่อย่างไร พอจมลึกอยู่ในบ่อน้ำเย็นจัดขนาดนี้ กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายใดๆได้เลย ยิ่งพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่ เสมือนเลือดที่ไหลเวียนในกายกำลังถูกแช่แข็งไปอย่างช้าๆ
มุ่งจิตสมาธิสู่ห้วงความคิดของนาง เห็นหลิวซูกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างๆเสี่ยวฮั่ว แต่ที่ผิดสังเกตก็คือ มันกลับไม่ขยับเขยื้อนแลใดๆ พอเพ่งมองเข้าไปใกล้ๆก็พบว่า หลิวซูโดนแช่แข็งทั้งเป็นไปแล้ว!
โชคยังดีที่เสี่ยวฮั่วยังมีดวงไฟสีม่วงมหึมาคอยปกป้องเอาไว้ มันขดร่างซ่อนตัวอยู่ภายในนั้นด้วยความเป็นกังวลหนัก หนึ่งข้อสันนิษฐานที่ผุดขึ้นมาคือ ปรากฏการณ์นี้เกี่ยวข้องอะไรกับสภาพน้ำเย็นจัดในบ่อแห่งนี้หรือเปล่า? และทันทีที่สัมผัสได้ถึงจิตนึกคิดของเซียถงที่มุ่งระดมเข้ามา เสี่ยวฮั่วก็เร่งตะโกนไล่ออกไปทันที ความเร็วในการพูดของมันดูช้าลงจนน่าเป็นห่วง ราวกับว่ามันเองก็อยู่ในสภาพคับขันแล้วเช่นกัน
“นายท่าน ออก…ออกไปจากที่นี่!”
เห็นได้ชัดแจ้ง ทั้งที่เป็นเพียงประโยคพูดสั้นๆง่ายๆ แต่เสี่ยวฮั่วกลับต้องใช้พยายามในการเปล่งเสียงพูดออกมาอย่างมาก ขณะเดียวกัน ก่อนจะถอดถอนจิตนึกคิดออกไป เซียถงก็เหลือบไปสังเกตเห็นบางอย่างในเวลานี้ หากมิใช่เพราะเพลิงพิภพเก้าดุษณีที่เข้าโอบอุ้มหล่อหลอมอยู่รอบดวงไฟสีม่วงมหึมานี้ เสี่ยวฮั่วเองคงตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากหลิวซูแน่นอน
ขณะเดียวกัน เสี่ยวฮั่วพยายามส่งไฟสายหนึ่งทำหน้าที่คล้ายมือ เคลื่อนบังคับเข้าใกล้หลิวซูอย่างสุดกำลัง นิ้วแสงสีม่วงบวมหนาของมันจิ้มไปที่ก้อนน้ำแข็งที่หลิวซูถูกแช่ทีหนึ่งเบาๆ
ยามนี้ หลิวซูโดนแช่ทั้งตัวจนกลายมาเป็นมนุษย์ก้อนน้ำแข็งไปแล้ว แถมยังคงแสดงสีหน้าหยอกล้อกับเสี่ยวฮั่วในขณะนั้นอยู่เลย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กล่าวคือ มันโดนแช่แข็งฉับพลันโดยไม่ทันตั้งตัวใดๆ
แม้การที่เสี่ยวฮั่วพยายามอาจเอื้อมสัมผัสผ่านดวงไฟสีม่วงมหึมาออกไป จะเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง แต่มันก็ยังไม่ถอดใจ เพียงต้องการจะสัมผัสกับหลิวซู
การกระทำนี้ส่งผลให้ดวงไฟสีม่วงมหึมาลูกนั้นเคลื่อนเข้าใกล้ขึ้นทีละเล็กละน้อย ระยะห่างระหว่างทั้งคู่เริ่มสั้นลงและสั้นลง จนในที่สุด มันก็สามารถเข้าสัมผัสหลิวซูได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพลิงพิภพเก้าดุษณีที่ห้อมล้อมอยู่รอบดวงไฟสีม่วง พลอยเข้าแผดผลาญก้อนน้ำแข็งที่แช่หลิวซูไปในตัว ส่งผลให้ก้อนน้ำแข็งดังกล่าวเริ่มละลายเป็นไอออกมาทันที
ขนตายาวของหลิวซูสั่นกะพริบเล็กน้อย อาศัยเพลิงพิภพเก้าดุษณีเหล่านั้น ก็สามารถหลอมละลายก้อนน้ำแข็งนี้ได้กว่าครึ่งแล้ว
ในขณะเดียวกัน ด้านนอกห้วงความคิด เซียถงค้นพบว่าร่างกายตัวเองกำลังถูกแช่แข็งอยู่เช่นกัน ชั้นน้ำแข็งลุกลามขึ้นมาจากคู่ขาใกล้ถึงช่วงเอวแล้ว ความเร็วในการกระจายตัวสูงเสียจนน่ากลัว!
ชั้นน้ำแข็งกำลังลามขึ้นมาถึงช่วงบนของร่างกายเต็มทีแล้ว!
เซียกลั้นหายใจเก็บงำอากาศเฮือกสุดท้ายเอาไว้ เร้าเร่งระดมเพลิงพิภพเก้าดุษณีให้พลุ่งพล่านปะทุขึ้นจากในกาย เข้าสกัดกั้นชั้นน้ำแข็งเย็นจัดเหล่านี้มิให้ลุกลาม ทั้งยังระดมอัดฉีดกระแสลมปราณล้างชำระไอเย็นที่เกาะติดตามเส้นลมปราณครั้งแล้วครั้งเล่าควบคู่กันไป
ทุกสถานที่ที่ชั้นน้ำแข็งเหล่านั้นกระจายตัวเคลื่อนผ่าน ก็จะมีไอเย็นลุกลามตามเส้นลมปราณในร่างกายต่อเนื่องกันมา เซียถงจึงต้องหลอมรวมลมปราณเข้ากับเพลิงพิภพเก้าดุษณีส่วนหนึ่ง ส่งกระแสลมปราณสีม่วงประกายทองเข้าชำระไอเย็นจัดเหล่านั้นที่เกาะติดอยู่ตามเส้นลมปราณทิ้งไป
แต่ราวกับชั้นน้ำแข็งพวกนี้จะมีไม่หมดไม่สิ้น สวนทางกับเซียถงในยามนี้ที่ใกล้ขาดอากาศหายใจเต็มทน
เห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด จู่ๆหลิวซูก็กล่าวกับเสี่ยวฮั่วขึ้นว่า
“ลูกของนางกับไป๋หลี่หานคงจะน่ารักน่าดู เจ้าว่าไหม?”
สิ้นเสียงเท่านั้น มันก็จำแลงกายเป็นจิตวิญญาณสายหนึ่ง อันตรธานหายวับไป
เมื่อเห็นภาพฉากทั้งหมดนี้ เสี่ยวฮั่วถึงกับเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจสุดขีด เพราะในขณะนี้ มันเพิ่งจะค้นพบว่า หลิวซูได้สละชีวิตของมัน ผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเซียถงไปแล้ว ถึงแม้หลิวซูมักจะชอบพูดอยู่เสมอว่า สักวันมันจะต้องเป็นอิสระให้จงได้ แต่การกระทำของมันในเวลานี้กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะความจริงแล้ว คนที่ภักดีต่อเซียถงที่สุดก็คือมัน!
กล่าวคือ เฉพาะยามที่จิตวิญญาณกระบี่เข้าหลอมรวมกับเจ้าของเท่านั้น นั่นจะเป็นตอนที่ยุทธภัณฑ์สามารถสำแดงขุมพลังที่แท้จริงออกมาได้!
การยอมรับผู้ถือครองเป็นนาย มันเป็นเพียงพันธสัญญาหยิบยืมพลังและความสามารถของยุทธภัณฑ์นั้นๆออกมาใช้ก็เท่านั้น แตกต่างกันที่หลิวซูเลือกที่จะสละชีวิตของมันเข้าหลอมรวมกับเซียถงจนเป็นหนึ่งเดียวกัน กลวิธีนี้ไม่เพียงจะช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของผู้เป็นนาย แต่ยังช่วยปลดปล่อยความสามารถที่แท้จริงของยุทธภัณฑ์ให้ถึงจุดสูงสุดได้
แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้จะสูญเสียจิตวิญญาณแห่งกระบี่ไป และกลับกลายมาเป็นแค่กระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่ง
ดังนั้น ทันทีที่พบเห็นภาพฉากนี้ จะไม่ให้เสี่ยวฮั่วตกใจสุดขีดได้เยี่ยงไร?!
ตลอดที่ผ่านมา หลิวซูมีความสุขอย่างมากที่ได้ผจญภัยเดินทางร่วมกับเซียถง และมันคงถึงเวลาแล้วจริงๆ
เวลาที่ต้องจากกัน…
ในท้ายที่สุด ยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนามว่า กระบี่ทัณฑ์ฟ้า ก็สามารถปลดปล่อยขีดกำจัดที่แท้จริงออกมาได้แล้ว!
แม้เสี่ยวฮั่วจะสื่อจิตเปล่งเสียงออกไปได้อย่างยากลำบากมาก แต่มันก็ยังพยายามกล่าวว่า
“นายท่าน รีบใช้เพลิงพิภพเก้าดุษณีหลอมผสานเข้ากับพลังลมปราณเร็วเข้า! สร้างเกราะแสงวิญญาณเข้าห่อหุ้มร่างกาย!”
เซียถึงพยักหน้าฟังตามที่เสี่ยวฮั่วแนะนำ และเริ่มเร่งระดมลมปราณออกมา
เสี่ยวฮั่วเสมือนยิ้มทั้งน้ำตา กล่าวกับเซียถงอีกว่า
“นายท่าน หลิวซูยอมสละชีวิตหลอมรวมกับท่านเป็นหนึ่งแล้ว แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นห่วงท่านกว่าใครยิ่ง! ข้าเองก็จะพยายามเต็มที่!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ เสี่ยวฮั่วก็เริ่มควบคุมดวงไฟสีม่วงมหึมาให้ควงหมุนโคจรจนถี่เร็ว และชั่วครู่ถัดมาดวงไฟสีม่วงเหล่านั้นก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ อณูแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจายไปทั่วทุกมุมห้วงความคิดของเซียถง กลายมาเป็นทะเลม่านเมฆาที่เต็มไปด้วยดวงแสงสีม่วงระยิบระยับ ประหนึ่งน่านฟ้าเคียงดาราพราวแสง ก่อนที่เหล่านั้นทั้งหมดจะระดมกันออกมาจากห้วงความคิด กลับคืนสู่ร่างของเซียถง
อณูแสงสีม่วงและเปลวเพลิงสีทองอร่าม ไหลเวียนโคจรไปตามเส้นลมปราณทั่วทั้งกายาของนาง
อณูแสงสีม่วงจากเสี่ยวฮั่ว เปลวเพลิงสีทองอร่ามจากเพลิงพิภพเก้าดุษณี และพลังลมปราณที่ได้รับการยกระดับจากหลิวซู สุดยอดมหาขุมพลังทั้งสามสาย ไหลเข้ามารวมอยู่ในจุดตันเถียนของเซียถงเป็นหนึ่งเดียว
ชั่วขณะต่อมา กระแสพลังปริมาณมหาศาลก็ปะทุเดือด ทะลักทลายไหลบ่าจากในกาย ก่อตัวขึ้นกลายเป็นชุดเกราะเรืองแสงลวดลายคมเข้มชัดเจน ผมสลวยยาวกางน้ำแผ่กระจายสยายออกอย่างอิสรเสรี
ดวงตาทั้งสองข้างที่เซียถงปิดอยู่ ยามนี้เบิกกว้างเปิดขึ้นในทันใด ปรากฏแสงไฟสีม่วงทองวิ่งผ่านชุดเกราะลมปราณวิบวับ กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเปล่งประกายเจิดจรัสขั้นสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยามนี้อยู่ในมือเซียถงที่กระชับจับมั่น
ณ ปัจจุบัน นางเปรียบเสมือนจอมทัพสวรรค์ที่จุติลงมาจากฟากฟ้า
เซียถงโบกมือข้างหนึ่งสะบัดออกไปอย่างแรง ก็ก่อเกิดคลื่นน้ำวนเชี่ยวกราก ทำลายล้างชั้นน้ำแข็งที่เกาะกุมร่างกายจนหมด
จากนั้นก็เร่งเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน สิ่งแรกที่ต้องทำขณะนี้คือ รีบแหวกว่ายขึ้นฝั่งไปโดยไว
แต่ชั่วอึดใจนั้นเอง บริเวณช่วงผิวน้ำกลับเกิดสภาวะผันผวนรุนแรง และมีดวงไฟสีม่วงกลุ่มหนึ่งกำลังลอยเคว้งอยู่บนนั้น กำลังดิ่งลงมาปะทะกับเซียถง
สุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วดังขึ้นอีกครั้งขึ้นในสองรูหูของนาง ฟังจากน้ำเสียงเหมือนว่ามันจะกลับมาเป็นปกติแล้ว มันกล่าวขึ้นว่า
“นายท่าน อย่าโจมตีมัน!”
“เพราะอันใด?”
“ดวงไฟสีม่วงตรงหน้าก็คือ ชิ้นส่วนร่างวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของข้า!”
“หื้ม?”
เมื่อเห็นดวงไฟสีม่วงกลุ่มนี้พุ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เนื่องจากข้อกำจัดด้านเวลา เสี่ยวฮั่วจึงทำได้แค่กล่าวว่า
“รีบดำลงไปข้างล่างก่อนเถอะ เบื้องล่างแห่งนี้มีโบราณสถานแห่งหนึ่งถูกปิดผนึกอยู่ หลังจากไปถึง ข้าจะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างแก่ท่านฟังเอง”
เซียถงมิได้ปริปากเอ่ยกล่าวอันใดอีกต่อไป โบกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าย้อนกลับลงไปเบื้องล่าง ทะลวงผ่านกระแสน้ำเย็นจัด ดำดิ่งจนไปสุดทาง ปรากฏว่าดวงไฟสีม่วงเหล่านั้นมิได้มีเป้าหมายเป็นเซียถง เพียงว่ามันกำลังติดตามนางลงมาเช่นกัน
ขณะที่กำลังดำดิ่งอยู่นั้นเอง เสี่ยวฮั่วก็อธิบายขึ้นต่อว่า
“ดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นเป็นร่างวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของข้า แท้ที่จริงแล้ว…”