ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 514 กิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน (2)
ตอนที่514 กิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน (2)
ตอนที่514 กิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน (2)
ระหว่างทาง เซียถงปลดปล่อยพลังออกมาถึงขีดจำกัด ความเร็วในการดำดิ่งไม่มีผู้ใดเทียบเคียง โดยมีดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นคอยตามติด และยังมีอีกหนึ่งร่างดำดิ่งทิ้งท้ายตามา ไม่น่าเชื่อ นั่นก็คือไป๋หลี่หาน!
ปรากฏว่า ทะเลสาบเบื้องล่างหน้าผาก มันเป็นทางเชื่อมเดียวกับบ่อน้ำเย็นจัดที่อยู่ด้านบน ซึ่งนำไปสู่โบราณสถานที่ถูกผนึกอยู่ใต้บาดาลแห่งนี้ ทันทีที่กระโดดลงน้ำ เขาก็เรียกใช้กระบี่ทองคำ สร้างเกราะแสงวิญญาณผนึกหลอมรวมเข้าไว้กับคมกระบี่ เพื่อใช้เป็นตัวขับนำทาง เคลื่อนฟันฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวดำดิ่งลงไป เขาในเวลานี้กำลังมองหาเซียถงอยู่เช่นกัน ทั้งหมดเป็นเพราะดวงไฟสีม่วงนั้น แทบจะในทันทีที่เห็น เขามั่นใจอยู่หลายส่วน นางเองก็น่าจะอยู่ในนี้เช่นเดียวกัน จึงเร่งความเร็วติดตามลงไป
มุ่งหน้าดำน้ำไปได้สักพักหนึ่ง ในส่วนดึกก้นบาดาล มีวงแหวนผนึกเรืองแสงจางอ่อนขนาดยักษ์ปิดกั้นเส้นทางไว้อยู่ ภายใต้คำชี้แนะของเสี่ยวฮั่ว เซียถงค่อยๆยื่นเหยียดมือทั้งสองข้างออกไป มุ่งสมาธิความสนใจกับสิ่งตรงหน้าและเริ่มปลดคลายวงแหวนผนึกนี้ออกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพียงไม่นานวงแหวนผนึกเรืองแสงที่ขวางกั้นตรงหน้าก็อันตรธานจางหายไป
มุ่งหน้าไปต่อครู่หนึ่ง พอรู้ตัวอีกทีก็ค้นพบว่า ตนเองอยู่ในสถานที่คล้ายสุญญากาศเป็นทุ่งดอกไม้ใต้บาดาล
ภายในนี้ สภาพแวดล้อมทุกอย่างเหมือนกับโลกบนฝั่งไม่มีผิดเพี้ยน สายลมโชยอ่อนพัดผ่าน ให้ความรู้สึกเย็นสบายยิ่งยวด
ชุดเกราะลมปราณสลายหายวับไปทันที เซียถงยืนมองภาพฉากตรงหน้าเจือแววตาเศร้าสร้อยหลายส่วน หลิวซูได้จาก…
ทันใดนั้นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่ไม่ควรมีชีวิต จู่ๆก็บินออกจากมือเซียถง จำแลงกายกลับเป็นหลิวซู ทั้งนี้มันยังกล่าวหน้าตาเฉยว่า
“ที่นี่คือ? เห้ย เสี่ยวฮั่ว จะพาพวกเรามาฆ่าทิ้งรึไง?”
เซียถงถึงกับอ้าปากค้างเติ่งด้วยความตกใจ แลเห็นนางตะลึงจนพูดไม่ออก หลิวซูจึงแบมือยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ กล่าวอธิบายว่า
“คงเป็นเพราะผนึกอีกหนึ่งชิ้นที่มีติดตัวข้าอยู่ ก็เลยทำให้การรวมร่างกับเจ้าไม่สมบูรณ์ จึงโดนบีบให้เด้งออกมาเช่นนี้ ก็อย่าว่า…ข้าคิดไว้อยู่แล้วล่ะ! มีหรือที่ข้าจะยอมสละชีวิตเพื่อเจ้า?”
ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้น แต่หลิวซูก็แสร้งทำเป็นไม่คิดจริงจังใดๆ บ่ายเบี่ยงไม่ยอมสบสายตากับนาง
เซียถงพึงทราบดี จึงได้แต่คลี่ยิ้มอ่อนระบายออกมา และไม่ซักถามใดๆเพิ่มเติม นางกวาดสายตาเหม่อมองสถานที่เบื้องหน้าและเอ่ยถามขึ้นว่า
“แล้วสถานที่แห่งนี้คือที่ไหน? เหมือนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสัตว์อสูรที่ทรงพลังมาจากระยะไกล? เสี่ยวฮั่ว เมื่อครู่เจ้าบอกว่าที่นี่คือโบราณสถานที่ถูกผนึกกระมัง? เสี่ยวฮั่ว? เสี่ยวฮั่ว?”
“ที่นี่คือบ้านของข้า”
น่าแปลก แทนที่สุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วจะเปล่งดังขึ้นจากห้วงความคิดของเซียถง ทว่าตอนนี้กลับมาจากด้านหลังแทน
ทันทีที่เซียถงหันหลังกลับมอง นางถึงกับปั้นหน้าตะลึงงันฉับพลัน เพราะสิ่งที่เห็นเป็นสัตว์อสูรตนหนึ่ง ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปยืนสี่ขาอยู่ด้านหลังของนาง มีศีรษะและเกล็ดผิวหนังเป็นมังกร ดวงตาดุจพญาเสือ ลำตัวเป็นกวาง มีหางคือฉลู ลักษณ์เด่นของสัตว์สี่ชนิดอยู่ในร่างหนึ่งเดียว แต่อย่างไร ส่วนเขาแหลมคมของมันกลับด้วนไปข้าง เหลือก็แค่เขายาวคล้ายกวางอยู่บนศีรษะขวาเท่านั้น
“กิเลน!!?”
หลิวซูเป็นคนที่ตื่นตกใจกว่าใครๆ มุ่งสายตาจับจ้องกิเลนเขาด้วนตนนี้เขม็งไม่คลายอ่อน
กิเลนตนนี้สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ และเสียงแบบนั้นไม่ว่าจะฟังยังไงก็คือ เสียงของเสี่ยวฮั่วไม่ผิดเพี้ยน! มันวิ่งสี่ขาตรงเข้าทุ่งดอกไม้ไป แกว่งหางคล้ายฉลูอยู่ไหวๆ เหลียวหลังมาหาและกล่าวว่า
“นายท่าน ตามข้ามาเร็ว”
เซียถงกับหลิวซูหันมองหน้ากันอยู่ทีหนึ่ง ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลยในตอนนี้ แต่พวกเขาก็ยังตัดสินใจเดินติดตามกิเลนตนนั้นไป
เหมือนว่า ทั้งสองไม่ได้พบเจอสถานการณ์ปกติสุขกันเสียนาน แลเห็นเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายแถวนั้นกำลังเล็มแทะใบหญ้าอยู่ในทุ่งก็สะดุ้งตกใจกันเล็กน้อย ก่อนจะค้นพบว่าทุกอย่างยังคงปกติดีไม่มีอะไรทั้งนั้น
ใช่แล้ว เรื่องปกติสุขที่ว่าเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น
ทันใดนั้น พลันเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง พร้อมกับเงาสัตว์ขนาดใหญ่ที่กำลังวิ่งฝุ่นตลบเข้ามาจากทิศทางทุ่งดอกไม้แสนไกล
ขณะที่สัตว์ขนาดใหญ่ที่ว่าตรงเข้าใกล้เรื่อยๆ เซียถงถึงกับตะลึงงันอีกยกใหญ่ มันเป็นเทพอสูรกิเลนตนนั้นที่เคยพบเจอก่อนหน้า! ไฉนมันถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้?!
และสิ่งเหล่านี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่?
ในตำนานเคยเล่าขานไว้ว่า เทพอสูรตนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในทวีปเทียนหลาง ก็คือ กิเลนศักดิ์สิทธิ์ที่มีหน้าที่เฝ้าพิทักษ์บัญชาสี่พิภพบนยอดเขาคุนหลุน แล้วไฉนตอนนี้พวกมันถึงมีสองตน? ตัวหนึ่งมีขนาดใหญ่คล้ายเต็มวัย ส่วนอีกตัวมีขนาดเล็กลงมาคล้ายอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ กระทั่งหลิวซูที่เห็นดังนั้นยังอดมุมปากกระตุกมิได้
กิเลนขนาดใหญ่ตนนั้นดูทรงพลังแข็งแกร่งอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะกับเขาแหลมคมที่เปล่งแสงเจิดจรัสคู่นั้นของมัน พลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่อัดแน่นอยู่ในนั้นคงมีอยู่เปี่ยมล้น และทันทีที่มันออกวิ่งกระทืบสี่เท้า ผืนปฐพีทั่วสารทิศสั่นไหวรุนแรง สัตว์อสูรทั้งหลายต่างเร่งก้มศีรษะและคลานถอยออกมาด้วยความหวาดผวาตัวสั่น สรรพสัตว์เหล่านั้นต่างยอมศิโรราบให้แก่การปรากกกายของกิเลนตนนั้น
และทันใดนั้นเอง จู่ๆกิเลนตนนั้นก็เปิดปากอ้ากว้าง และแผดเสียงคำรามดังสนั่น ทำให้ผืนดินแถวนั้นแตกร้าวละเอียดเป็นเสี่ยงๆ ทั้งยังมีเปลวเพลิงสีทองประกายระยิบระยับพวยพุ่งออกมา อุณหภูมิโดยรอบกลายเป็นร้อนระอุชั่วขณะ
กลิ่นอายโบราณแห่งอสูรบรรพกาลถูกปลดปล่อยออกมา พร้อมกับรัศมีลมปราณในกายของกิเลนขนาดใหญ่ตนนี้ ขณะเดินสี่เท้าย่างเข้ามา มีบางครั้งที่ร่างของมันไปเบียดชนเข้ากับสัตว์อสูรโดยรอบ แต่แทนที่สัตว์อสูรตนนั้นจะโกรธเกรี้ยวและจู่โจมสวนกลับไป มันยิ่งผวาหวาดกลัวหนัก รีบหดหัวล่าถอยหนีโดยไว แต่นั่นกลับสายเกินไปแล้ว กิเลนมุ่งความสนใจหันมองมาที่มัน และอ้าปากกว้างเขมือบร่างของมันลงไปทั้งเป็น!
ขณะที่สัตว์อสูรตนนั้นโดนกลืนกินทั้งเป็น บรรดาสัตว์อสูรที่เหลือต่างไม่กล้าเคลื่อนไหว ไม่กล้าตีฝีเท้าหนีสักตน!
หลังจากกิลเนตนนั้นกลืนสัตว์อสูรตนนั้นจนอิ่มท้อง รัศมีแรงกดดันที่ปลดปล่อยจากในกายก็เริ่มคลายอ่อนลง ก่อนจะค่อยๆล้มตัวนอนกับพื้นไป
“นั่นมันกิเลน? ส่วนนี่ก็กิเลน? นี่มันยังไงกันแน่?!”
หลิวซูเหม่อมองไปที่กิเลนขนาดใหญ่ตนนั้นที่นอนอยู่ สีหน้าการแสดงออกของมันค่อนข้างเหว่อ ไม่อยากจะเชื่อต่อสิ่งที่เห็นนัก สักครู่ต่อมา มันค่อยหันไปหาเสี่ยวฮั่ว กิเลนรุ่นจิ๋วที่ยืนอยู่ข้างๆกัน
“นั่นพ่อเจ้ารึ? หรือแม่?”
ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวฮั่วถึงกับกลอกตามองบนใส่ กล่าวน้ำเสียงหงุดหงิดตอบไปว่า
“นี่เจ้าตาบอดรึไง? หรือเมื่อครูที่พยายามจะสละชีพ มันได้สละสมองของเจ้าไปด้วย? ลองดูมันตนนั้นดีๆ ไม่คิดว่าหน้าตาเหมือนข้าเลยงั้นรึ?”
“อืม… จะว่าไปก็เหมือนกันแทบทุกประการ ต่างก็แค่เขาของเจ้าที่ด้วนไปข้างหนึ่ง กับขนาดที่ใหญ่กว่า!”
“อืม!”
เสี่ยวฮั่วพ่นลมหายใจใส่หน้ามันไปทีหนึ่ง ชักสีหน้าหน่ายใจหลายส่วน
เซียถงในขณะนี้กำลังยกมือลูบคางพลางครุ่นคิดด้วยความสงสัย ทอดสายตามองกิเลนขนาดใหญ่เบื้องหน้า ตัดสลับไปเสี่ยวฮั่ว กิเลนรุ่นจิ๋วอยู่ทีสองที นางกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าคงเป็นจิตวิญญาณของกิเลนตนนั้นกระมัง?”
“นายท่านยังคงเฉลียวฉลาดไม่เปลี่ยน!”
เสี่ยวฮั่วกระโดดขึ้นตรงหน้าเซียถง ใช้ศีรษะคล้ายมังกรของมันถูไถไปตามต้นขาของเซียถงด้วยความออดอ้อน ปรากฏว่ามันเลือกรับใช้นายไม่ผิดคนจริงๆ! เพราะหากว่า เจ้านายของมันเป็นพวกปัญญานิ่มแบบหลิวซู ปานนี้มันคงระทมใจจัด หาที่ผูกคอตายไปนานแล้ว!
“นี่เจ้าทราบได้ยังไง?”
หลิวซูเลิกคิ้วสงสัย
“ดูนัยน์ตาของกิเลนตนนั้นให้ดีสิ”
หนึ่งเสียงเซียถงเปล่งดังออกมา หลิวซูรีบมุ่งความสนใจจดจ่ออยู่กับนัยน์ตาของกิเลนตนนั้นที่ปิดไม่สนิทเท่าที่ควร ถึงจะสังเกตมองได้ยากปานใด แต่สักครู่หนึ่ง มันก็ค้นพบได้ในทันทีพร้อมกับความประหลาดใจ เพราะนัยน์ตาคู่นั้นของกิเลน มันไร้ซึ่งแววชีวิตชีวาใดๆ เสมือนสูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ นี่เป็นแค่กายเนื้อกลวงเปล่าที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
และยิ่งหลิวซูได้ทราบข้อเท็จจริงดังนั้น ตัวมันก็ยิ่งทวีความประหลาดใจเพิ่มขึ้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เคยเห็น สัตว์อสูรที่มีชีวิตอยู่รอดได้ทั้งที่เหลือแค่กายเนื้อว่างเปล่า ปราศจากจิตวิญญาณอยู่ภายใน ทุกสิ่งที่มันกระทำลงไปล้วนเกิดจากสัญชาตญาณของร่างกายเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น กล่าวคือ เมื่อหิวก็แค่ปรากฏกายออกมาและเขมือบกินสัตว์อสูรเข้าไปสักตัว พอเสร็จกิจก็นอนเก็บออมแรง
ณ ห้วงความคิดของกิเลนตนนี้เป็นเหมือนใจกลางพายุคลั่งโกลาหล เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและไม่เหลือที่ว่างใดๆให้สอดแทรกตัวเข้าไปได้ ทั้งที่ปราศจากจิตวิญญาณ อย่างไร ถึงมัจะเป็นเพียงภาชนะว่างเปล่าชิ้นหนึ่ง แต่ด้วยระดับชั้นเทพอสูร แค่กายเนื้อกลวงเปล่าก็ทรงพลังไร้เทียมทาน
“ใช่แล้ว! ไฉนข้าถึงคิดไม่ได้กัน! เพราะกิเลนตนนี้ไม่มีจิตวิญญาณ ทุกอย่างที่กระทำลงไปจึงมาจากสัญชาตญาณล้วนๆ!”
หลิวซูเอนตัวมองไปที่เสี่ยวฮั่ว เหมือนว่าร่างกิเลนของอีกฝ่ายควรจะเป็นเพียงจิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ร่างหนึ่ง
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? ไฉนจิตวิญญาณถึงถูกแยกออกจากร่างกายเนื้อ?”
กิเลนถือเป็นเทพอสูรในตำนานตั้งแต่สมัยบรรพกาล ต่อให้เสาะแสวงหาทั่วทุกมุมพิภพ กล่าวได้ว่า ปราศจากสรรพสิ่งใดมีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้ แต่การที่จู่ๆเสี่ยวฮั่วโดนแยกวิญญาณออกจากร่างกายเนื้อเช่นนี้มัน…
เห็นได้ชัดเลยว่าศัตรูที่เสี่ยวฮั่วประสบพบเจอในครานั้น แข็งแกร่งมาก!
พอได้ยินหลิวซูจั่วหัวเปิดเรื่องนี้ขึ้นมา เสี่ยวฮั่วก็ยกเท้าหน้ากระทืบพื้นอย่างแรง ฟันกรามขบเคี้ยวกัดแน่น แววตาจากอ่อนโยนกลายเป็นโทสะ