ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 515 อยากบ้านัก ก็บ้าไปด้วยกัน! (1)
ตอนที่515 อยากบ้านัก ก็บ้าไปด้วยกัน! (1)
ตอนที่515 อยากบ้านัก ก็บ้าไปด้วยกัน! (1)
ได้ยินกล่าวถึงเรื่องนี้ เสี่ยวฮั่วก็ดูจะมีอารมณ์โมโหขึ้นมาทันที
ทุกคนต่างมุ่งจับจ้องมาที่เสี่ยวฮั่ว พร้อมเต็มที่เตรียมรอฟังสิ่งที่มันกำลังจะกล่าวต่อไปนี้ แต่หลังจากที่มันกระทืบเท้าอยู่นาน ก็ยังไม่เห็นพูดอะไรออกมาสักที
เสี่ยวฮั่วเหลือบมองหาเซียถงตัดสลับกับหลิวซู
“พูดมาสักที!”
หลิวซูพูดกระตุ้นกล่าวเร่ง
จู่ๆเสี่ยวฮั่วก็ก้มหน้าลง และกล่าวอ่อนว่า
“ข้าโมโหตัวเองมาก…ที่จำอะไรไม่เลย!”
ทุกคนแทบล้มครื่น!
หากว่าจำไม่ได้แล้วไยต้องดึงหน้าจริงจังปานนั้น? หลิวซูมุมปากกระตุกอย่างแรง จับจ้องเสี่ยวฮั่วตาเขม็งราวกับเพิ่งโดนอีกฝ่ายปั่นประสาท แววตายั่วยุอยากลากมาซัดหน้ากันสักที กวนบาทาปานนี้ ระวังจะภาพตัดไม่รู้ตัว!
เสี่ยวฮั่วปั้นสีหน้าเหี่ยวเฉาเศร้าโศกมิใช่น้อย กล่าวว่า
“ข้าเพียงรู้สึกโมโหอย่างมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่กลับจำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น!”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวฮั่วพูดจริงมิได้จงใจปั่นประสาทเล่น นางก็รีบกล่าวคาดคะเนขึ้นว่า
“หรือจิตวิญญาณในส่วนความทรงจำกลับมิได้อยู่กับเจ้า?”
“นายท่าน กลับเป็นท่านที่เข้าใจข้ามากที่สุดแล้ว!”
กิเลนรุ่นจิ๋วกระโดดโหยกเหยกเข้ามาชิดใกล้ และเริ่มยกศีรษะขึ้นซักไซ้ต้นขาของนางอีกครั้ง
เมื่อหลิวซูเห็นเสี่ยวฮั่วทำตัวออดอ้อนเซียถงท่าเดียว มันก็ชักหมั่นไส้ขึ้นมาและกล่าวว่า
“ในเมื่อพบเจอกับกายเนื้อตัวเองแล้ว ไฉนยังไม่รีบกลับเข้าไปล่ะ?”
“คิดว่าข้าเองไม่ต้องการรึไงล่ะ? แต่พลังวิญญาณของข้าตอนนี้ไม่เพียงพอ แค่จะเข้าไปใกล้ยังไม่มีปัญญา!”
“ก็ใช่ไง”
หลิวซูยักไหล่ขึ้นทีหนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับไปมองดวงไฟสีม่วงอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งลอยมาถึง และกล่าวว่า
“นั่นน่ะ ชิ้นส่วนร่างวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเจ้ามาถึงพอดี ไฉนไม่ลองคุยกับมัน แล้วลองช่วยกันเข้าไปล่ะ?”
เสี่ยวฮั่วกำลังจะสวนตอบด่ามันกลับไป แต่ทันทีทันใด แลเห็นดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ เสี่ยวฮั่วถึงกับหน้าเสียหนัก จำแลงกายกลับไปเป็นดวงไฟสีม่วง วิ่งกลับเข้าสู่ห้วงความคิดของเซียถงอย่างรวดเร็ว มัวแต่หดหัวตัวสั่นเทิ้มอยู่ในนั้น และกล่าวว่า
“ไม่เอา! รัศมีพลังวิญญาณของมันแกร่งกล้ากว่าข้ามาก! หากเข้าไปใกล้มีหวังโดนมันกลืนกินเข้าไปแน่นอน!”
“โอ้ย! นี่เจ้าเป็นกิเลนหรือลูกแมวกันเนี่ย!”
ทั้งหลิวซูทั้งเซียถงต่างหันมองหน้ากันเจือสีหน้าหน่ายใจอ่อนๆ มิใช่ว่าเสี่ยวฮั่วเป็นถึงกิเลนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานผู้หยิ่งทะนงหรอกรึ? แล้วไฉนตอนนี้มันถูกดูขี้ขลาดปานนี้!
ดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นตรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งกิเลนขนาดใหญ่ที่กำลังนอนอยู่ทางไกลเองยังสังเกตเห็น แล้วมันก็เงยหน้าชูคอขึ้นมาสนใจแล้วเช่นกัน
ดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นเคลื่อนเข้าใกล้เซียถงมากขึ้นและมากขึ้น แต่ทันใดนั้นเอง เซียถงก็สังเกตเห็นว่า จู่ๆดวงไฟสีม่วงกลุ่มนั้นก็พลันชะงักหยุดกันเสียดื้อๆ และถอยถอยหลังออกห่างไป จนท้ายที่สุดก็เข้าผสานรวมกับร่างมนุษย์ผู้หนึ่งที่เพิ่งมาถึง
เซียถงหัวใจตกสู่ตาตุ่มทันทีที่เห็นว่าผู้มาถึงคนใหม่ที่อยู่เบื้องหน้าคือใคร ปรากฏว่ามันคือ เย่หลีเทียน!
เขาในขณะนี้เองก็กำลังมองมาที่เซียถงอยู่เช่นกัน แต่แววตาคู่นั้นช่างดูซับซ้อนรวนเรต่างจากปกติไป เย่หลีเทียนยังคงไม่เคยลืมเลือน ถึงเสียงคมมีดสั้นที่เซียถงเสียบแทงหัวใจดวงนี้จนแทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ หรือกระทั่งเสียงร้องขอชีวิตของท่านแม่ก่อนตายในตอนนั้น เขาเองก็ไม่เคยลืมเลือนเช่นกัน
หลิวซูเร่งเอ่ยถามเสี่ยวฮั่วขึ้นทันที
“นั่นชิ้นส่วนร่างวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเจ้ามิใช่รึไง? ไฉนถึงไปรวมร่างกับเย่หลีเทียนเฉยเลย!?”
น้ำเสียงของเสี่ยวฮั่วที่โต้ตอบกลับไปก็ดูสงสัยไม่แตกต่าง
“แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไง!”
มันเร่งเสริมต่อโดยไว
“ในตอนแรก จิตวิญญาณของข้าถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ กับอีกชิ้นเศษจำนวนหนึ่งที่กระจัดกระจายออกไป แล้วส่วนที่ข้าได้มาคือ จิตสำนึกบริสุทธิ์ ในแง่ของพลังความแข็งแกร่ง จะอ่อนด้อยกว่าอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ”
ได้ยินเช่นนั้น หลิวซูรู้สึกปวดกระบาลขึ้นมาในทันใด
“แล้วไอ้จิตสำนึกศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า มันคืออะไรอีก?! ช่วยพูดอะไรที่คนอื่นเขารู้เรื่องหน่อยได้ไหม!!”
เซียถงได้ฟังเช่นนั้นก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะเช่นกัน พยายามใช้ความคิดในชั่วเวลาสั้นๆ จึงเอ่ยว่า
“เจ้าหมายถึง จิตวิญญาณของเจ้าถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ กับอีกเศษยิบย่อยที่กระจัดกระจายออกไป? แล้วจิตสำนึกบริสุทธิ์ที่ว่า คือสติสัมปชัญญะ? กล่าวคือ ส่วนของเจ้ามีสติความนึกถึงได้อย่างอิสระ และอีกส่วนไม่มีเหมือนกายเนื้อกิเลนว่างเปล่า?”
“ไม่ใช่ว่าอีกส่วนหนึ่งของข้าไม่มี แต่มันแตกต่างกัน เหมือนกับความดีและความชั่ว”
หลิวซูได้ยินเช่นนั้นถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองไปทีหนึ่ง เอ่ยปากด่าทันที
“เสี่ยวฮั่ว! ไอ้หลงตัวเอง! จะยังไงก็เถอะ รีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่ข้ากับเซียถงจะโดนฆ่าทิ้ง!”
เย่หลีเทียนก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนใดๆ สายตาคู่นั้นยังคงสะดุดมองนางไม่คลายอ่อนลงเลย ราวกับกำลังลังเลกับตัวเองอยู่
หลังจากนั้นไม่นานนัก จู่ๆเย่หลีเทียนก็ถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียงดัง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้สักทีต่อตัวเลือกที่แสนหนักใจนี้ ทันใดนั้น เขาก็ยื่นมือส่งให้เซียถงอยู่ต่อหน้า และยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“เซียถง ขอเพียงเจ้ายอมกลับไปกับข้า เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้าจะลืมมันไปให้หมด พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้”
ได้ยินคำพูดเชิงร้องขอจากปากเย่หลีเทียน มุมปากเซียถงระบายยิ้มบางเผยออกมาหนึ่งส่วน และนั่นช่างเป็นรอยยิ้มที่สดใสเป็นประกายดุจแสงอรุณอบอุ่น เสมือนฟ้าฟากสีครามเปิดต้อนรับชายผู้นี้อีกครั้ง
พอเห็นรอยยิ้มของนาง เย่หลีเทียนก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย คนที่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดบนเส้นทางวิถีหนึ่งสวรรค์ ก็มีแค่เขากับเซียถง ดังนั้น ขอเพียงนางในตอนนี้เปลี่ยนใจเลือกเขาแทนไป๋หลี่หาน เย่หลีเทียนเองก็จะยอมปล่อยวางเรื่องในอดีตทุกอย่างทิ้งไป และเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมกับนาง
ไม่ว่าเซียถงจะเก่งและแข็งแกร่งปานใด แต่อย่างไรนางก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ในยามนี้ ไป๋หลี่หานเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็มิทราบ เช่นนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสิ้นหวังและไร้หนทางเดินต่อ อย่างน้อยที่สุด นางต้องเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขาบ้าง เห็นความจริงใจของเขาที่มีต่อนางเสมอมา! และเย่หลีเทียนก็มั่นใจ ผู้หญิงฉลาดอย่างเซียถงจะต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน!
เย่หลีเทียนเชื่อมั่นอย่างมากว่า เซียถงจะต้องเลือกเขา!
โดยเฉพาะกับตอนนี้ที่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเซียถง เขาก็ยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีก
ทว่าทันใดนั้น จู่ๆรอยยิ้มของเซียถงก็อันตรธานหายไปจากใบหน้าฉับพลัน นางกล่าวอย่างเย็นชา
“ไม่นึกไม่ฝัน เจ้ายังจะรอดมาได้ ทั้งที่ควรจะตายๆไปตั้งแต่ตอนนั้นเสีย”
ทันทีที่ประโยคคำพูดนี้เปล่งดังออกมา เย่หลีเทียนก็หน้าเปลี่ยนสีกลายเป็นทมิฬมืดลงในทันใด สายตาจากอบอุ่นกลายเป็นเย็นชา ก่นเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวคำโต
“เซียถง!”
ฉกฉวยใช้จังหวะจากตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์โกรธจัด เซียถงอัดฉีดขุมพลังสุดขั้วลงสู่สองคู่เท้า และดีดตัวเองพวยพุ่งออกไป กลายเป็นสายฟ้าความเร็วเหนือชั้นยิ่งกว่าศรธนูถูกยิงออกจากเกาทัณฑ์ ในมือมีกระบี่ทัณฑ์ฟ้าระเบิดลมปราณกระแสใหญ่กรอกเทลงไป ยกเข้าประจัญบานโดยตรง ทว่าแทนที่นางจะพุ่งปะทะใส่เย่หลีเทียน กลับย้อนหันกลับไปใส่ด้านหลังแทน
ซึ่งนั่นเป็นทิศทางที่กิเลนร่างใหญ่นอนอยู่ พอมันสัมผัสได้ถึงคลื่นความอันตรายที่พุ่งเข้าหา ทันใดนั้น มันก็ชูศีรษะตั้งขึ้นด้วยความตกใจ แลเห็นประกายแสงม่วงทองดุจสายฟ้าสายเร็วทะยานใส่ตนเอง
มันเร่งพ่นไฟโจมตีสวนกลับทันทีตามสัญชาตญาณ
เซียถงตระเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว นางสำแดงใช้เพลิงพิภพเก้าดุษณีที่ลุกโหมเกรี้ยวกราดบนฝ่ามืออีกข้างยิงปะทะ
เปลวเพลิงทรงพลานุภาพสีทองอร่ามจากสองฟากฝั่งประสานงาชนกันอย่างเดือดดุ ฝ่ายหนึ่งคือเพลิงจากกิเลน และอีกหนึ่งเป็นไฟวิเศษจากเพลิงพิภพเก้าดุษณี
แต่เหมือนว่าเซียถงจงใจทำให้เพลิงพิภพเก้าดุษณีของฝ่ายตนเองอ่อนกว่าหนึ่งระดับ ทำให้ทั้งเพลิงกิเลนและเพลิงพิภพเก้าดุษณีถูกตีสะท้อนกลับมา ชั่วอึดใจนั้น หลิวซูเร่งจำแลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์ แตะตัวเซียถงและใช้วิชาข้ามมิติหายวับจากตำแหน่งนั้นไปในพริบตา และคนที่อยู่ต่อท้ายจากหลังของนางก็มิใช่ใครอื่น มันคือเย่หลีเทียน
มหาเพลิงผลาญทำลายล้างจากสองขั้วพลังไฟ พวยพุ่งมาใส่ทางเย่หลี่เทียนอย่างจัง!
“นี่เจ้าทำบ้าอะไร!!”
หลิวซูรู้สึกทะแม่งตั้งแต่ที่เซียถงหันไปพุ่งเข้าใส่กิเลนแล้ว จึงค่อนข้างเตรียมพร้อมในระดับหนึ่ง ยิ่งแลเห็นนางที่ต้องยิงพลังเพลิงพิภพเก้าดุษณีเข้าต้านรับเพลิงกิเลน มันก็ยิ่งตระหนักได้มากขึ้น และเสี้ยวพริบตาก่อนที่ ร่างของนางจะโดนพลังเพลิงสะท้อนสวนกลับมา หลิวซูก็รีบใช้วิชาข้ามมิติ รีบย้ายร่างของนางหนีจากจุดนั้นด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด
กระทั่งตอนนี้ มันยังใจสั่นขวัญผวาไม่หาย
“พลังวิญญาณของเสี่ยวฮั่วตอนนี้ไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องเอาพลังส่วนที่เหลือคืนจากเย่หลีเทียน ก็เลยหยิบยืมเพลิงกิเลนเข้าเสริมอีกแรง”
“เจ้านี่มัน…”
จะมีก็แค่เซียถงเพียงผู้เดียวบนพิภพกระมัง? ที่คิดแผนการบ้าระห่ำบรรเจิดขนาดนี้ได้! เพิ่งเผชิญพบเหตุการณ์เฉียดตายไปหมาดๆ หลิวซูถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกสักคำ เพราะไม่รู้จะด่านางยังไงดี!
“เจ้านี่มัน…นี่มันบ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้วจริงๆ! บัดซบ! เออ! เอาก็เอาวะ! หากอยากบ้านัก ก็บ้ามันไปด้วยกันนี่แหละ!!”
สิ้นเสียงเท่านั้น มันก็จำแลงกายกลับเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้า ระเบิดพลังสูงสุดของมันออกเต็มพิกัด ทั่วทั้งตัวกระบี่ยามนี้ถูกฉาบย้อมด้วยชั้นพลังสีแดงระยิบระยับจัดจ้าน!