ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 517 โบราณสถานร่วงถล่ม (1)
ตอนที่517 โบราณสถานร่วงถล่ม (1)
ตอนที่517 โบราณสถานร่วงถล่ม (1)
เสี่ยวฮั่วแซงแทรกสิงสู่ในร่างกายของเย่หลีเทียนโดยไว เสียงร้าวรานคล้ายกระดูกแตกดังลั่นทั่วตัวเขา
เย่หลีเทียนพยายามรีดเค้นพลังเพื่อบีบบังคับให้เสี่ยวฮั่วออกมาอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ
เฉพาะเวลานี้เท่านั้นที่เย่หลีเทียนได้รู้แจ้งและค้นพบแล้วว่า เพราะเหตุใดกันระดับชั้นลมปราณของเซียถงถึงได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดปานนี้? จากขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นต้นสู่ขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นกลางภายในเวลาอันสั้น!
ในตอนก่อนหน้า สำหรับเรื่องนี้ยังคงคลุมเครือ มิอาจลงหลักปักใจเชื่อในทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งได้ แต่เพียงชั่วอึดใจสั้นๆขณะนี้ ความจริงทั้งหมดก็ได้กระจ่างชัดแล้ว
เซียถงคอยมีดวงไฟสีม่วงที่สิงสู่อยู่ในร่างช่วยยกระดับความแข็งแกร่งเรื่อยมา และตอนนี้นางก็พยายามจะแย่งเอาดวงไฟสีม่วงในส่วนของเขามาเป็นของตน!
นางและเสี่ยวฮั่วพยายามกันอย่างสุดกำลังเพื่อกระชากนำชิ้นส่วนวิญญาณอีกหนึ่งที่ฝั่งอยู่ในร่างเย่หลีเทียนออกมา
เสี่ยวฮั่วที่กลายเป็นดวงไฟสีม่วงกำลังเข้าพัลวันต่อสู้กับดวงไฟสีม่วงอีกกลุ่มทันที
อีกด้านหนึ่ง หลิวซูผู้เปี่ยมล้นด้วยขุมพลังสุดหยั่งถึง กระชับกำปั้นเพลิงพิภพเก้าดุษณีซัดใส่หน้ากิเลนสุดแรงที่กำลังจะพ่นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ลูกไฟสีทองเหล่านั้นแตกสลายในพริบตา ร่างปลิวกระเด็นล่าถอยห่าง
เมื่อเห็นว่ากิเลนศักดิ์สิทธิ์กำลังเผชิญพบกับศัตรูที่แกร่งกล้าผู้หนึ่ง เหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายที่ตกเป็นเบี้ยล่างของมันก็เปรียบเสมือนได้รับการไถชีวิต จังหวะทีเผลอที่กิเลนโดนโจมตีจนเสียหลัก พวกมันทั้งหลายเร่งตีฝีเท้าวิ่งเตลิดหนีตายโดยไว ทิ้งไว้เพียงกองฝุ่นตลบหนึ่งอยู่ท้ายหลัง
ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรนับสิบร้อย ปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึง เผชิญพบกับพวกมันที่กำลังวิ่งหนีตาย แห่กันอพยพกันอย่างเสียขวัญ เหล่านั้นพุ่งเข้ามาปะทะหาเขาไม่หยุดหย่อน แต่อีกฝ่ายใช่ว่าชนชั้นกินเจ เลี่ยงกระโดดหลบพ้นง่ายดาย และผู้นั้นมิใช่ใครอื่น เขาคือไป๋หลี่หาน
“เซียถง!”
แทบจะในทันใด เมื่อเห็นเซียถงจากระยะไกลห่าง ไป๋หลี่หานก็เปล่งเสียงตะโกนเรียกทันที
จากนั้นก็รีบปวาดพุ่งดุจสายฟ้า เตรียมเข้าสมทบศึกฉวัดเฉวียนพัลวันตรงหน้า ระหว่างที่เขากำลังลุไปถึงเข้าใกล้ ทันใดนั้นก็มีธารแสงพิสดารสีม่วงสองสาย ทะลักพรวดออกมาจากปากของเย่หลีเทียน
จะเห็นได้ชัดแจ้งเลยว่า ธารแสงพิสดารสีม่วงทั้งสองสายนี่กำลังไล่ล่ากันและกันอย่างดุเดือด เสมือนหวังฆ่าแกงกันให้ตาย…
กิเลนศักดิ์สิทธิ์ร่างใหญ่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับหลิวซูไม่มีเว้นหายใจเช่นกัน ฝ่ายหนึ่งครอบครองขุมพลังอสูรบรรพกาล ส่วนอีกฝ่ายเป็นขุมพลังยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ที่ผนวกรวมกับไฟวิเศษ ด้วยสองขั้วมหาความแข็งแกร่งนี้ ส่งผลให้โบราณสถานที่ถูกผนึกใต้บาดาลแห่งนี้เริ่มเกิดการทรุดตัวลงเรื่อยๆ ม่านพลังสุญญากาศไร้สภาพที่แบ่งแยกระหว่างภายนอกและภายในเริ่มปราศจากความเสถียร ไร้ความมั่นคงควบคุมไม่อยู่
ห้วงอากาศภายในพื้นที่ทุ่งหญ้ากว้างไพศาลเหล่านี้เริ่มเกิดการบิดเบี้ยวหนักขึ้นและหนักขึ้นเรื่อยๆ เสี้ยวอึดใจก่อนที่ปลายนิ้วของไป๋หลี่หานกำลังจะแตะสัมผัสเซียถง จู่ๆพลันเกิดอาการภาพตัดฉันพลัน ทันใดนั้น ร่างกายรู้สึกเบาหวิวไร้น้ำหนัก ชั่วอึดใจนั้น เขาพยายามเหยียดไม้เหยียดมือ พยายามเข้าคว้าทุกสิ่งรอบตัวเอาไว้หวังจับให้มั่น แต่ท้ายที่สุดกลับทำล้มเหลว ร่างทั้งร่างของเขาอันตรธานหายวับไปจากจุดนั้นทันที
ไป๋หลี่หานตื่นตระหนกตกใจยิ่งยวด เมื่อพบว่าจู่ๆตัวเองมาโผล่อยู่บนยอดเขาคุนหลุนอีกครั้ง
นี่มันยอดเขาคุนหลุนมิใช่รึ? แล้วโบราณสถานใต้บาดาลล่ะ? แล้วเซียถงกับคนอื่นๆล่ะ?
ยังไม่ทันที่ไป๋หลี่หานจะหายมึนงง จู่ๆเขาก็ได้ยินสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางขึ้นยอดเขา
“เบื้องหน้าเป็นหน้าผาแล้ว ทุกคนระวังตัวให้ดี!”
พอไป๋หลี่หานได้ยินสุ้มเสียงของชายคนดังกล่าวที่เปล่งตะโกนดัง เขาก็จำขึ้นมาได้ทันที ฝ่ายนั้นควรจะเป็นโม่ซวนกับองครักษ์หน่วยเงาที่เหลือแน่นอน! พวกเขากลุ่มนั้นกำลังวิ่งขึ้นมาบนนี้!
แต่เดี๋ยวก่อน ตัวเขาเองก็เพิ่งจะเดินทางถึงบนนี้เองมิใช่รึ? นี่ยังผ่านไปไม่ถึงวันเลย! กล่าวคือ หากต้องการไล่ติดตามขึ้นมาให้ทันเขา อย่างน้อยที่สุดก็ควรใช้เวลาอีกเป็นวัน! ไฉนถึงมาถึงกันเร็วปานนี้? พวกนั้นทำได้ยังไง?
ธารแสงพิสดารสีม่วงสองสายเริ่มพัลวันต่อสู้กันอย่างดุเดือด
“นี่เป็นไปได้ยังไง? มิใช่ว่าวิญญาณทั้งสองส่วนนี้ต่างก็เป็นของเสี่ยวฮั่วหมดรึ? ไยต้องสู้กันปานนี้?”
หลังจากที่เย่หลีเทียนสูญเสียดวงไฟสีม่วงที่เคยมีไป ร่างกายของเขาก็ตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอลงอีกครั้งและทรุดร่วงกับพื้นไปโดยทันที ขณะที่ตอนนี้เซียถงได้ถอนตัวออกห่างจากอีกฝ่ายไปแล้วเช่นกัน หลิวซูที่กำลังโรมรันพันตูกับกิเลนศักดิ์สิทธิ์อยู่ ฉกฉวยโอกาสหนึ่ง กระโดดมายืนหันหลังชนกับเซียถง เร่งกล่าวคำหนึ่งว่า
“รีบไปเร็ว! โบราณสถานแห่งนี้กำลังจะถล่มแล้ว!”
สิ้นเสียง หลิวซูเข้าปะทะชนกับกิเลนตนนั้นอีกครา หวังถ่วงเวลาต่อให้อีกเล็กน้อย ยิ่งเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งเสียเปรียบกิเลนเรื่อยๆ เสมือนมันสามารถพ่นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ไม่รู้จบ หลิวซูในตอนนี้แทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว
พื้นที่โดยรอบเริ่มเสียศูนย์หนักทรงตัวไม่หยุด และเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า เศษชิ้นส่วนม่านพลังสุญญากาสไร้สภาพค่อยๆแตกร่วงลงมามากขึ้นและมากขึ้น เสมือนสายพิรุณหลากสายนับไม่ถ้วนโปรยปรายจากฟากฟ้า
ผืนดินทั้งหมดที่ยืนสั่นสะเทือนรุนแรงฉับพลัน ทำเอาเซียถงเกือบทรงตัวไม่อยู่เซล้มไป หลิวซูที่กำลังรับศึกอยู่อีกด้าน เห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงใช้วิชาข้ามมิติมาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าเซียถง คว้าข้อมือนางดังหมับ คำโกนใส่ว่า
“ข้าจะพาเจ้าไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
“แต่เสี่ยวฮั่ว…”
ภายใต้สถานการณ์วิกฤตเป็นตาย ดวงวิญญาณทั้งสองยังคงพัลวันต่อสู้กันอย่างเดือดดุ หวังจะกลืนกินกันเอง
“โบราณสถานแห่งนี้ใกล้ถล่มเต็มทนแล้ว หากหนีไม่ทันเตรียมโดนม่านพลังสุญญากาศบนหัวเราทับตายได้เลย! ที่ยังไม่รวมแรงดันน้ำจากด้านนอกที่แตกทะลักเข้าใส่อีก! เราต้องรีบไปแล้ว!!”
หลิวซูรีบกระชากข้อแขนเซียถงลากออกไปโดยไว ระหว่างนั้นยังกล่าวต่ออีกว่า
“ไม่ต้องห่วงมัน! เสี่ยวฮั่วไม่มีทางตายง่ายๆ!”
ขณะสนทนากันอยู่นั้นเอง กิเลนศักดิ์สิทธิ์ร่างยักษ์ตนนั้นก็วิ่งขวิดเข้าใส่ทางพวกเขา
เห็นดังนั้น เซียถงจึงเรียกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเข้ามือพร้อมกระโดดขึ้นเหนือกิเลนตนนั้น อัดฉีดพลังลมปราณกระแสใหญ่ ควบผนึกเกราะแสงวิญญาณเข้าฉาบคลุมคมกระบี่หนาแน่น และปลดปล่อยคลื่นปราณกระบี่มโหฬารโจมตีซัดใส่ บังคับให้กิเลนต้องพ่นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาสกัดต้าน นางฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนกระบี่ทัณฑ์ฟ้ากลับเป็นหลิวซู ให้มันนำใช้วิชาข้ามมิติพานางลงมายังภาคพื้นพริบตา ยกเท้าขึ้นเตะเขายาวบนศีรษะของกิเลนสุดแรงเกิด โดยคิดว่าบริเวณนี้น่าจะเป็นจุดอ่อนของมัน และสามารถทำให้สิ้นฤทธิ์ได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ทว่ากลับไม่คาดคิด โดนลูกเตาะซัดเข้าอย่างจัง เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่พวยพ่นออกมาถึงกับดับหาย พร้อมกับอาการไอรุนแรง ท้ายที่สุดนี้ เหมือนว่ามันกำลังสำลักบางอย่าง และขย่อนสิ่งๆนั้นกระเด็นออกมา
เมื่อสิ่งนั้นกระเด็นออกมา มันก็พุ่งเข้าหาธารแสงพิสดารสีม่วงทั้งสองสายที่กำลังพัลวันสู่กันอยู่
ทันทีทันใด ธารแสงสีม่วงหนึ่งในนั้นได้กลายร่างเป็นกิเลนทรงพลังตนหนึ่งเฉียบพลัน จะมีก็เพียงเขาแหลมคมด้านขวาที่ด้วนไป เหลือแค่เขาด้านซ้ายอันเดียว ทันทีที่กลายร่างพัฒนา มันก็ฉีกปากกว้างกำลังจะกัดกินธารแสงพิสดารสีม่วงอีกสายโดยตรง ทว่าหาใช่สำเร็จโดยง่ายดาย ธารแสงพิสดารสายนั้นจำแลงกายขึ้นเป็น กิเลนอีกตนเช่นกัน จากนั้นก็เข้าสัประยุทธ์เดือดเป็นคำรบสอง
“นั่นมันอะไร!”
หลังจากขย่อนคายเจ้าสิ่งนั้นออกมา กิเลนศักดิ์สิทธิ์ร่างใหญ่ที่กำลังต่อสู้กับเซียถงก็พลันทรุดฮวบลงไปทันใด และตกสู่สภาวะหลับใหล
ทั้งเซียถงและหลิวซูต่างยืนแข็งค้างด้วยความตะลึงงัน เมื่อทั้งสองสังเกตเห็นเจ้าสิ่งนั้นที่กิเลนขย้อยคายออกมาสักครู่
เห็นเจ้าสิ่งนั้นว่าเป็น เหรียญตราทองแดงขนาดเท้าก้อนอิฐ ผิวเนื้อเป็นสีทองแดงขัดมันแวววับ ได้รับการสลักลวดลายชั้นสูงที่แสนซับซ้อนและประณีตเกินบรรยาย เพียงปราดตามองผ่านครั้งแรกก็พึงทราบ เจ้าสิ่งนี้มันทรงพลังอำนาจเพียงใด!
ทันทีที่เห็นเจ้าสิ่งนี้ พลันปรากฏสามคำขึ้นในหัวของพวกเขาทันที
บัญชา-สี่-พิภพ!!
เซียถงทุ่มทั้งแรงกายและใจแม้กระทั่งชีวิตก็ยอมสละ เพื่อให้ได้เจ้าสิ่งนี้มาครอบครอง! และในปัจจุบันมันอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ นางหรือจะไม่ต้องการ? แต่อย่างไร กลับคาดไม่ถึงเลยว่า บัญชาสี่พิภพที่ทุกคนแทบจะพลิกแผ่นดินหาชิ้นนี้ แท้จริงอยู่จะถูกซ่อนอยู่ในปากของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ใช่เพราะ นางหมั่นไส้ยกบาทาขึ้นถีบโดยมิตั้งใจจนเหรียญตรากระเด็นออกมา ปานนี้คงจนปัญญาแล้วเช่นกัน ไม่รู้จะไปหามันได้จากที่ไหนอีก?
แต่กระนั้น เซียถงไม่ใช่คนเดียวที่เห็นบัญชาสี่พิภพที่กระเด็นออกจากปากกิเลนศักดิ์สิทธิ์ แต่นั่นยังรวมไปถึงเย่หลีเทียนที่นั่งทรุดหมดสภาพอยู่แถวนั้น
แทบจะในทันทีที่เห็นตราบัญชาสี่พิภพปรากฏออกมา ดวงตาคู่นั้นของเขาเป็นประกายทันควัน เลือดเนื้อในกายพลันสูบฉีดรุนแรงเสมือนโดนสารกระตุ้นเร่งเร้า ยกสองฝ่ามือขึ้นตบกระแทกพื้นอย่างแรง ผลักดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นมา และสิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือ วิ่งปรี่ไปหาสัตว์อสูรแถวนั้นที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พร้อมกระโดดกัดคอของมัน เผยคมเคี้ยวพุ่งเจาะเข้าเส้นเลือดโดยไว เขาสูบเลือดในตัวของมันอย่างดิบกระหายคลั่ง หวังจะใช้เลือดสดเข้าเติมพลังฟื้นฟูสภาพร่างกายตนเองให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง