ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 520 ศึกระห้ำตาย (2)
ตอนที่520 ศึกระห้ำตาย (2)
ตอนที่520 ศึกระห้ำตาย (2)
ไม่ไกลจากสองคนนั้นมากนัก โม่ซวนนำกำลังพลชุดใหญ่เข้าประชิดชนกับทัพของเฟิงหมิงอี้ หยุนซีสำแดงใช้ผงพิษเป็นอาวุธร้าย ส่วนจือหยวนสำแดงใช้พลังฝ่ามือมฤตยูอันน่าสะพรึง ปิดท้ายด้วยเพลงกระบี่มังกรของไป๋ปิงที่ร่ายรำเหินฟ้าลงมา มีสามปรมาจารย์เข้าร่วมศึก สถานการณ์พลิกกลับมาได้เปรียบในพริบตา!
โม่ซวนพุ่งเสียบคมกระบี่จู่โจมจากด้านหลัง หวังทะลวงขั้วหัวใจเฟิงหมิงอี้ให้ดับดิ้น
“ก็แค่พ่อบ้านตัวน้อยคนหนึ่ง มีคุณสมบัติอันใดสักประยุทธ์กับนายท่าน? ข้ารับไม้ต่อเอง!”
เฟิงหมิงอี้ระเบิดหัวเราะเย้ยเยาะคำโต สามารถปลดคลายคมกระบี่อันตรายให้พ้นตัวเขาได้ภายในสามกระบวนท่าเท่านั้น ละความสนใจออกจากไป๋หลี่หานโดยสิ้นเชิง หันเข้าโรมรันใส่โม่ซวนแทน
ทางด้านไป๋หลี่หานยามนี้มิได้อยู่ในสภาวะสูงสุด ไม่พร้อมออกโรงต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้น ภายในใจก็ยังอัดล้นไปด้วยความกังวลต่อเซียถง ดังนั้นแล้ว พอเผชิญพบกับอุปสรรคชิ้นเล็กน้อยชิ้นน้อยอย่างแค่เฟิงหมิงอี้ ด้วยความใจร้อนจึงเกือบตกม้าตายเสียเอง
เฟิงหมิงอี้ตีระยะห่างจากวงสัปกระยุทธ์กับโม่ซวนออกมากว่าสามช่วง เปิดโอกาสรีบคว้าพลุส่งสัญญาณยิงขึ้นฟ้าโดยทันที พอเห็นดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของไป๋หลี่หานยิ่งซีดหนัก คำรามว่า
“คราวนี้ เจ้านับว่ายังโชคดี! พวกเราไป!”
“ข้าไปด้วย!”
เซี่ยหลู่เฟิงที่ต่อสู้อยู่ละแวกนั้น พลันได้ยินว่าไป๋หลี่หานกำลังเตรียมถอยทัพก็รีบขานตอบด้วยอีกคน พึงทราบ อีกฝ่ายกำลังล่าถอยเพื่อไปตามหาตัวเซียถงแน่นอน ดังนั้นเขาจะไม่พลาดโอกาสนี้โดยเด็ดขาด
แต่ระหว่างที่ไป๋หลี่หานกำลังจะถอนกำลังออกไป จู่ๆเย่หลีเทียนก็พุ่งออกมาจากป่าทันที สกัดขัดขวางเส้นทางมิให้หนีพ้นโดยง่าย
ทันทีที่เฟิงหมิงอี้เห็นว่าเป็นเย่หลีเทียน จากสีหน้าเหี้ยมดุพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นสุขใจในทันควัน รีบตะโกนขึ้นว่า
“นายท่าน!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เฟิงหมิงอี้ก็ขว้างกระบี่ยาวเล่มหนึ่งในมือโยนข้ามส่งมอบแก่เย่หลีเทียน
เย่หลีเทียนกระโดดรีบแม่นยำ ในมือรีบชักกระบี่เล่มยาวออกจากฟัก และพุ่งเข้าปะทะชนกับกระบี่ทองคำของไป๋หลี่หานโดยทันที
กระแสลมปราณอันทรงพลังสุดหยั่งถึงทะลักทลายไหลปะทุขึ้นจากร่างทั้งสองฉับพลัน ก่อให้เกิดเกลียวคลื่นฝุ่นละอองตามพื้นนับไม่ถ้วนพัดโหมขึ้นมา สักครู่ต่อตัวกลายเป็นพายุกลางเวหาหมุนติ้ว
แต่ต้านรับกันได้ไม่กี่อึดใจ กลับเป็นฝ่ายไป๋หลี่หานที่โดนบีบบังคับให้ล่าถอยกว่าหลายก้าว จนส้นเท้าข้างหนึ่งถอยไปชนกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ใช้ประโยชน์จากมันเป็นจุดยึดช่วยต้านได้แค่สักครู่เท่านั้น ด้วยคลื่นกระแทกลมปราณมหาศาลที่แผ่สะพัดไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้ต้นไม้ลำใหญ่หักโค่นลงมา
ไป๋หลี่หานเสียศูนย์ชั่วขณะ ถูกซัดกระเด็นออกไป กระอักพ่นเลือดสดเต็มปาก
เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่หานได้รับบาดเจ็บ องครักษ์หน่วยเงาทั้งสี่ก็เข้าประจัญบานต่อ รวมตัวผสานกำลังรุมโจมตีใส่เบื้องหน้าเย่หลีเทียนโดยพร้อมเพรียง แต่อย่างไร ก่อนหน้านี้ ทั้งสี่รับศึกสัประยุทธ์มาค่อนข้างหนักแล้ว และไม่สามารถฟื้นฟูพลังได้เหมือนเย่หลีเทียน ดังนั้น อาศัยเพียงกระบี่ในมือเล่มเดียว เย่หลีเทียนสามารถต้านรับขับสู้กับพวกเขาได้อย่างไม่ยากเย็นเกินควร
ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังย้ำวิ่ง ดิ่งตรงเข้ามาจนก่อเกิดเสียงกระหึ่มกึกก้อง
เมื่อทุกคนหันหลังกลับไปมอง ก็แลเห็นกองทหารกลุ่มใหญ่ในชุดเกราะแบบเดียวกัน กำลังวิ่งถาโถมเข้ามาทางนี้
เย่หลีเทียนแสยะยิ้มมุมปากชั่วร้าย
“ไป๋หลี่หาน วันนี้เจ้าจะต้องตายที่นี่!”
เฟิงหมิงอี้รีบตบเท้าก้าวขึ้นหน้า เร่งรุดเข้าช่วยเย่หลีเทียนสู้รบกับองค์รักษ์หน่วยเงาทั้งสี่อีกแรง และเวลาเดียวกัน กองทหารกลุ่มใหญ่ที่ว่าก็มาเข้าสมทบแล้ว
ทหารพวกนี้มีจำนวนมากกว่าหลายพันนาย ควบขับม้าอีกพันกว่าทะยานย้ำเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เทือกเขาทั้งแทบสั่นสะเทือนหนักอึ้ง และทันทีที่สังเกตเห็นเครื่องแบบชุดเกราะออกรบของพวกเขาเหล่านั้น พลันปรากฏประกายแสงเยียบเย็นส่องสะท้อนจากในดวงตาไป๋หลี่หานออกมาทันใด
“นี่เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับพวกดินแดนต้าซิง?”
ดินแดนต้าซิงเป็น ดินแดนเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีระบอบการปกครองตนเอง ตามสภาพภูมิศาสตร์จะอยู่ติดกับจักรวรรดิตงหลี่ ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดินแดนเล็กๆแห่งนี้เพิ่งจะได้แจ้งเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมา จากการทำศึกสงครามไล่กวาดล้างดินแดนและเมืองน้อยใหญ่มากมายในรัศมีรอบตัว ขยับขยายการปกครองได้อย่างรวดเร็วยิ่งภายในเวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น แต่อย่างไร ในเวลาต่อมา ดินแดนต้าชิงก็กำลังถูกจักรวรรดิตงหลี่ใช้ข้อได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ที่มีมากกว่า เข้าปราบปรามกดดันอยู่
กล่าวได้ว่าในตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะห้าองครักษ์หน่วยเงาของไป๋หลี่หานบังเอิญไปพบเข้าระหว่างตรวจตรา ปานนี้ก็ยังไม่มีใครในทวีปเทียนหลางตรัสรู้ทราบว่า ดินแดนต้าซิงแห่งนี้กำลังซ่องสุมกำลังทัพใหญ่เพื่อบุกตีจักรวรรดิต่างๆอยู่ การดำรงอยู่ของพวกมันไม่ต่างอะไรกับมะเร็งร้ายเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มิอาจหลบพ้นสายตาของไป๋หลี่หานได้ ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของเขา ผนวกกับดินแดนอี้เฉิงของเขาเองที่มีสถานการณ์ค่อนข้างใกล้เคียงกัน จึงทำให้เขาสามารถคาดเดาของคิดของผู้นำดินแดนนั้นได้ว่า เมื่อดินแดนต้าซิงแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองที่มากขึ้น จำนวนประชากรย่อมเพิ่มมากขึ้นเชื่องโยงกันไป ซึ่งนี่จะสวนทางกับ พื้นที่การปกครองที่ไม่สามารถขยับขยายจนสามารถรองรับได้ทัน เพราะแต่ละดินแดนที่ไปบุกยึดมาได้ล้วนแต่เป็นดินแดนขนาดเล็กและกลาง อีกทั้งยังมีชนพื้นเมืองของดินแดนนั้นๆอาศัยอยู่แล้ว ถึงจะล้างบางฆ่ายังไงก็ไม่มีทางกวาดทิ้งได้หมด
ดังนั้นเป้าหมายต่อไปของพวกมันก็เดาได้ไม่ยาก คือการซ่องสุมกำลังทัพเพื่อบุกตีจักรวรรดิขนาดใหญ่! และจักรวรรดิที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือจักรวรรดิตงหลี่!
แต่ถึงแบบนั้นเอง พอไป๋หลี่หานนำเรื่องนี้ไปทูลก็กลับได้ความจากองค์จักรพรรดิตงหลี่กลับมาว่า ควรใช้นโยบายไกล่เกลี่ยไปก่อน เผื่อว่าจะได้ดินแดนต้าซิงมาเป็นมิตร ยามก่อเกิดศึกใหญ่กับพวกจักรวรรดิใหญ่อื่นๆ จะได้มีดินแดนต้าซิงมาเข้าร่วมเป็นกำลังพลของฝ่ายเราอีกแรงหนึ่ง ดังนั้น องค์จักรพรรดิตงหลี่จึงเลือกที่จะยังไม่ลงดาบกับดินแดนแห่งนี้
ณ เวลานี้ พอได้เห็นเย่หลีเทียนอยู่กับฝ่ายดินแดนต้าซิง ไป๋หลี่หานก็เข้าใจกระจ่างแจ้งในบัดดล เย่หลีเทียนคือไส้ศึกที่เป่าหูองค์จักรพรรดิตงหลี่นี่เอง!
เย่หลีเทียนระเบิดหัวเราะเย้ยหยัน
“สมรู้ร่วมคิดรึ?”
ผู้นำกองทัพต้าซิงเป็นชายวัยกลางคนกระโดดลงจากหลังม้า สวมชุดเกราะขุนศึกใหญ่เดินตรงมาหาเย่หลีเทียน ทันใดนั้น จู่ๆเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประสานมือทูลกล่าวด้วยความเคารพสุดซึ้งว่า
“ฝ่าบาท ข้าน้อยนำทัพเข้าสนับสนุนช้า โปรดยกโทษให้ด้วยเถิด!”
ฝ่าบาท? เมื่อได้ยินขุนศึกใหญ่ผู้มากสง่าราศีคนนั้นเรียกเย่หลีเทียนว่า ‘ฝ่าบาท’ ทุกคนถึงกับตะลึง!
“นี่เจ้า…”
เย่หลีเทียนรู้สึกพอใจยิ่งยวดที่ได้เห็นไป๋หลี่หานปั้นหน้าตกใจปานนี้
“ฆ่ามัน!”
วาจานี้ประดุจอาญาสิทธิ์ชี้ขาด เย่หลีเทียนเพียงออกคำสั่งพยางค์เดียว กองทหารแห่งต้าซิงทั้งหลายพันต่างสลับฟัง ส่งเสียงขานตอบด้วยความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียง หยิบยกทั้งหอกยาวกระบี่ขึ้นกระชับจับแน่น และบุกปะทะชนโดยตรง
สองคนสี่มือโรมรันเปิดฉากแค้นเป็นคำรบสอง ไป๋หลี่หานประสานกระบี่ทองคำชนปะทะเดือด
ทางฝ่ายกองทัพแห่งต้าซิง ทั้งทหารบกและทหารม้าล้วนถูกฆ่าล้างตายเรียบในพริบตา
เย่หลีเทียนถึงกับหน้าเสียไปหลายส่วน เพราะต่อให้ใช้จำนวนเข้าว่าบุกรุมก็แล้ว แต่กลับไม่สามารถทำให้ฝ่ายไป๋หลี่หานจำนนลงได้เลย นี่นับเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการคำนวณของเขาอย่างแท้จริง ที่จู่ๆสองพี่น้องหยุนซีและไป๋ปิงปรากฏตัวออกมา และเข้าร่วมศึกสัประยุทธ์ในคราวนี้ นี่ยังไม่รวมชายหนุ่มเสื้อม่วงสุดแกร่งกล้าผู้นั้นอีก!
แทบจะในทันที เฟิงหมิงอี้รีบคว้าหยิบพลุสัญญาณจากข้างเอวอีกสองอันโดยไว โดยอันหนึ่งถูกยิงส่งขึ้นฟากฟ้า ต่อเนื่องอีกอันรวมเป็นสองถ้วนทันที
คู่สองพี่น้องหยุนซีและไป๋ปิง ผนึกกำลังร่วมมือเข้าสัประยุทธ์กับเย่หลีเทียนโดยตรง ขณะที่มีโม่ซวนและฉีหมิงเยว่ค่อยเป็นกำลังปิดล้อมเฟิงหมิงอี้ขัดขวางมิให้ส่งพลุสัญญาณใดๆเพิ่มเติมอีก สี่องครักษ์หน่วยเงาและจือหยวนผสานการโจมตีกวาดล้างทยายกองทหารแห่งต้าซิง
ไป๋หลี่หานกับเซี่ยหลู่เฟิงถึงกับหลังชนกัน ต่างฝ่ายต่างมองกลุ่มก้อนศัตรูตรงหน้า พละกำลังของสองคนนี้จัดได้ว่าแทบเหือดแห้งแล้ว กัดฟันกรอดระเบิดพลังล้างบางเหล่าผู้ใต้บัญชาของเย่หลีเทียนอย่างไม่มีหมดไม่มีสิ้น
ในอีกด้าน เซียถงพยายามทำความเข้าใจกับพื้นที่ลูกบาศก์นี้อย่างใจจดใจจ่อ หลังจากพยายามควบคุมมันอยู่เสียนาน ทันใดนั้นพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดฝัน กำแพงใสทั้งสี่ด้านกลายเป็นจอภาพฉายเหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่า
“นี่มัน….”
สิ่งที่เห็นฉาดฉายปรากฏอยู่ต่อหน้าเป็น ทุ่งหญ้าโล่งกว้างไพศาลไร้ขอบเขต กระแสลมโชยอ่อนพัดผ่านมาจากทั่วทุกทิศ พฤกษาขจีเขียวเหล่านั้นพลิ้วไสวโอนเอนไปตาม พร้อมกับอสูรบรรพกาลจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังใช้ชีวิตดำเนินไปอย่างสงบสุข บางชีวิตที่อ่อนแอกว่าถูกลดชั้นกลายเป็นเหยื่อโดนล่า พวกมันทั้งหลายวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย หวังจะหนีรอดจากสถานที่งดงามแต่อันตรายแห่งนี้ นี่คือวัฏจักรชีวิตที่แสนเงียบง่ายและมิได้ซับซ้อนอย่างปัจจุบัน ที่นี่คือทวีปเทียนหลางในยุคอดีต
“นั่นมันกิเลนมิใช่รึ!”
“ไม่! ต้องเรียกว่าพวกมันว่า‘กิ’และ‘เลน’[1]ถึงจะถูก”
เซียถงมองเห็นภาพฉากตรงหน้าอย่างชัดเจน ทันทีที่เห็นเทพอสูรสองตนนั้น นางก็เข้าใจทุกอย่างในทันที ปรากฏว่าเทพอสูรที่มีหน้าตาคล้ายกิเลนนั้นก็คือ เสี่ยวฮั่ว แต่…จะเรียกว่าเสี่ยวฮั่วตรงๆเลยก็ไม่ถูกนัก ควรต้องเรียกว่า‘พวกมัน’มากกว่า!
“นี่หมายความว่ายังไง?”
[1]ตามตำนานจีน ‘กิ’ จะเป็นเพศผู้ และ ‘เลน’ จะเป็นเพศเมีย