ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 525 โทษทัณฑ์ร้ายแรง (1)
ตอนที่525 โทษทัณฑ์ร้ายแรง (1)
ตอนที่525 โทษทัณฑ์ร้ายแรง (1)
ตอนที่525 โทษทัณฑ์ร้ายแรง (1)
ตกกลางดึก ณ เมืองเฟิงหลี่!
เฟิงหมิงอี้กำลังยืนเฝ้าคอยอย่างเงียบงันอยู่ที่ประตูหลังคฤหาสน์อัครเสนาบดีเย่ ไม่นานก็มีรถม้าเกี้ยวหนึ่งนำจอดถึงหน้าประตู พร้อมกับมีบางคนโผล่ศีรษะออกมาเป็นสัญญาลักษณ์ส่งให้ และโยนร่างที่โดดมัดเชือกปิดปากแน่นหนาจำนวนหนึ่งทิ้งไว้กับพื้น จากนั้นก็ควบรถม้าเคลื่อนหายไป
เหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเด็กสาวอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีทั้งสิ้น เบ็ดเสร็จน่าจะเจ็ดหรือแปดคนเห็นจะได้ พวกนางถูกเฟิงหมิงอี้และบ่าวรับใช้อีกจำนวนหนึ่งลากเข้าไปด้วยสีหน้าตายด้าน ราวกับเฉยชากับเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
เมื่อพบเห็นภาพฉากดังนั้น สายลับกลุ่มหนึ่งที่กำลังซ่อนตัวภายใต้เงามืดบริเวณนั้น ต่างก็หันมามองหน้ากันทันทีด้วยความสงสัย
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่ต้องการจะนำพวกผู้หญิงเหล่านั้นไปทำอันใด?”
อีกคนกล่าวตอบ
“เจ้าอย่าได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย องค์หญิงรับสั่งแค่เพียง เฝ้าติดตามดูท่านอัครมหาเสนาดีเย่ อย่าให้เคลื่อนไหวออกไปไหน ขอเพียงยังอยู่ในนั้น เรื่องอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจให้มากความ มิฉะนั้นจะเป็นพวกเราที่ซวย!”
เด็กสาวเหล่านั้นถูกลากเข้าไปในคฤหาสน์อัครเสนาบดีเย่ นำมาล้างตัวทำความสะอาดเสร็จสรรพ และให้จับพวกนางมาเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าใหม่ จึงค่อยนำตัวพวกนางไปที่สวนหลังคฤหาสน์
สวนหลังคฤหาสน์มีห้องลับใต้ดินซ่อนอยู่ในที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง ประตูทางลับหนาทึบเสมือนภายในนั้นมีความลับอะไรบางอย่างเก็บซ่อน และมันได้เปิดออก พวกนางก็แลเห็นเพียงเงาร่างพร่ามัวผู้หนึ่งกำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้หลังม่านชั้นหนา สภาพห้องใต้ดินลับโดยรอบมีเพียงกำแพงหินทั้งสี่ด้านปิดล้อม นอกจากเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลาง ทั้งหมดล้วนแต่ว่างเปล่า
“นายท่าน ข้าน้อยนำมาส่งให้แล้ว”
สิ้นเสียงกระแอมไออยู่สองสามที เย่หลีเทียนก็กระดิกนิ้วเรียวยาวส่งเรียก และชี้ไปที่สาวน้อยผู้โชคดีทั้งสองในบรรดาทั้งเจ็ดแปด เฟิงหมิงอี้พยักหน้าและพาที่เหลือนำออกไป
สาวน้อยทั้งสองถูกทอดทิ้งให้อยู่ในห้องมืดตามลำพัง มองรอบกำแพงทึบสี่ด้านปราศจากความหวังใดๆ ทันใดนั้น เงาร่างสีทมิฬก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นตรงเข้ามาผ่านม่านชั้นหนาทึบ แลเห็นเช่นนั้น สาวน้อยทั้งสองต่างกอดกันตัวสั่น
ทันใดนั้นม่านตรงหน้าก็ถูกเปิดออก ปรากฏให้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งย่างเท้าก้าวออกมาจากความมืด
สาวน้อยทั้งสองรีบคุกเข่าโขกศีรษะอัดพื้นอย่างแรง แผดเสียงตะโกนลั่นทั้งน้ำตาว่า
“ท่านผู้สูงส่งโปรดไว้ชีวิต! ท่านผู้สูงส่งโปรดไว้ชีวิต!”
เย่หลีเทียนค่อยๆยื่นมือเข้ามาใกล้ และลูบสัมผัสศีรษะน้อยๆของพวกนางทั้งสองอย่างอ่อนโยน ก่อนจะส่งมือให้ช่วยพยุงทั้งสองให้ลุกขึ้นมา
“ข้าน่ากลัวปานนั้น?”
สาวน้อยทั้งสองคนนี้ต่างเป็นลูกของชาวบ้านยากจนที่ไม่เงินจ่ายคืนให้เจ้าหนี้ที่หยิบยืม พวกนางจึงถูกนำตัวมาขายเป็นทาสเช่นนี้ และพวกนางประสบพบกับความลำบากมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้น พอได้เผชิญเจอชายหนุ่มรูปงามที่เข้ามาพูดดีด้วยเช่นนี้ มีหรือจะไม่คล้อยตาม? สาวน้อยทั้งสองหาได้รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป
เย่หลีเทียนลอบกระตุกยิ้มมุมปากอย่างลับๆ และจูงมือสาวน้อยทั้งสองกลับเข้าไปยังด้านหลังม่านในทันที…
ทันทีทันใด เสียงฟากฟ้ารัตติกาลวิปลาสกู่ร้องพลันคำรนสนั่น สายลมมฤตยูดุร้ายกระโชกรุนแรงจากเบื้องบน สามารถสัมผัสได้ยันเบื้องล่างใต้ดินแห่งนี้ ม่านนภายามราตรีปรากฏชั้นคลื่นเมฆาสุมรวม เหนือเหล่านั้นคือจันทร์เสี้ยวสีเงินฉายตระหง่าน
เสียงกรีดร้องของสาวน้อยทรมานปานดับดิ้นแผดสนั่นลือลั่น ก่อนที่ชั่วอึดใจสุดท้ายจะดับมอดลงพร้อมเสียงฟ้าร้องวิปลาสคร่ำครวญ
เฟิงหมิงอี้ยืนทอดสายตามองท้องราตรีสุดขอบฟากฟ้าอยู่ที่นอกลานคฤหาสน์ จากบริเวณนี้นับไม่ว่าไกลนักจากห้องใต้ดินลับ ย่อมได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเด่นชัด แต่ก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติ่งใดๆ
ธารเลือดประดุจแสงประกายแดงฉาน สาดกระเซ็นไปทั่วม่านทึบผืนนั้น
เสื้อแพรพรรณท่อนบนของเย่หลีเทียนเปิดอ้าอยู่ครึ่งฝั่ง เผยให้เห็นแผงอกหนากำยำสีขาวนวลตา เขาเองกำลังอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่งพึงพักบนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งพึงพักอยู่บนหัวเก้าอี้ ส่วนอีกข้างค่อยๆคลายร่างบานสะพรั่งของหนึ่งในสองสาว ปล่อยลงกองลงพื้น พร้อมกับอีกร่างที่นอนสิ้นใจก่อนหน้านั้นแล้ว บนคอของพวกนางยังคงมีร่องรอยโดนกัดเป็นรูขนาดเล็กสองจุดอยู่ตรงนั้น
เย่หลีเทียนปาดเช็ดคราบเลือดมุมปากเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาทีหนึ่ง พอเปิดประตูห้องใต้ดินลับเดินขึ้นมา ก็ปะทะกับอสงจันทร์เสี้ยวสง่าที่ฉาดฉายลงมาจากฟากฟ้ารัตติกาล เสื้อผ้าแพรพรรณถูกคลายหลวมน่าเย้ายวนใจ แผ่นอกข้างหนึ่งเปลือยเปิดยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์ความน่าหลงใหลขึ้นเป็นทวี ทรวดทรงเรือนร่างของชายหนุ่มผู้นี้หล่อเหลาไร้ที่ติ กล่าวได้ว่าไม่แพ้ไป๋หลี่หาน ยิ่งได้เห็นคราบเลือดสายหนึ่งที่ปาดเช็ดออกไม่หมดบนมุมปาก ช่างเร้าอารมณ์เหลือเกิน เขาเปรียบเสมือนเจ้าชายปีศาจรูปงาม…
“นายท่าน”
เฟิงหมิงอี้เห็นว่า เย่หลีเทียนเสร็จกิจแล้วจึงเดินปรี่เข้ามาหา อย่างไร สีหน้าแววตาของเขาก็ยังคงความเศร้าสร้อย เพราะเหมือนว่า ต่อให้ได้สูบเลือดจากสาวพรหมจารีไปแล้ว แต่พลังความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแทบจะไม่ฟื้นกลับมาเลย กล่าวคือ ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
“หมิงอี้”
“โปรดบัญชาได้เลยนายท่าน”
“เซียถง นาง…”
“องค์ราชินีแห่งอี้เฉิงและองค์รัชทายาทแห่งซีฉินกำลังมุ่งหน้าเดินทางกลับสู่จักรวรรดิซีฉินขอรับ ขอเพียงนายท่านสั่งการ ข้าน้อยจะรีบจัดเตรียมกำลังไล่ติดตามนางไปโดยไว หลังจากพินิจคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ประมาณการได้อีกสามวันกว่าจะถึงจักรวรรดิซีฉิน ระหว่างสามวันนี้ยังมีเวลาให้ดักซุ่มโจมตี ซึ่งสถานที่ในละแวกนั้นที่แลดูเหมาะสมที่สุด คงหนีไม่พ้นช่องแคบกวนตู่”
เย่หลีเทียนก่นเสียงเย็นแผดดังเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า
“ไม่ต้อง”
เฟิงหมิงอี้ได้ยินเช่นนั้นพลันตะลึง
“ห่ะ? อย่างไรรึนายท่าน?”
แต่เย่หลีเทียนหาได้สนใจใดๆอีก และจู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องกล่าวขึ้นแทนว่า
“มีคนกลุ่มหนึ่งดักซุ่มอยู่ในคฤหาสน์กระมัง?”
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยพบว่าเป็นสายลับขององค์หญิงอวี๋อิงขอรับ”
เฟิงหมิงอี้เข้าใจได้ทันทีถึงคำสั่งการต่อไปของเย่หลีเทียน จึงยกสองมือขึ้นประสานให้พร้อมโค้งคำนับกล่าวว่า
“โปรดวางใจได้นายท่าน ข้าน้อยทราบดีว่าควรจัดการเยี่ยงไร”
เย่หลีเทียนปราดหางตามองเฟิงหมิงอี้ที่กำลังเดินไกลห่างออกไปอยู่หนึ่งปราด แล้วค่อยถอนกลับมาเหม่อมองจันทร์เสี้ยวสีเงินที่เจิดจรัสฉายกลางน่านฟ้ารัตติกาลอันเงียบสงบ ทรงจันทร์โค้งสีเงินช่างงดงามเสมือนขอบจานหยก แต่มิทราบอย่างไร ทุกครั้งที่ได้พบเจอสิ่งสวยงามใดๆ เขากลับมองสรรพสิ่งเหล่านั้นเป็น ใบหน้าเซียถงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใสและมีความสุข
ในขณะเดียวกัน ไป๋หลี่เย่เดินกระทืบเท้าหนักหน่วงด้วยความโกรธจัด ตรงเข้ามาตำหนักที่ไป๋หลี่อวี๋อิงพึงพัก ทางด้านไป๋หลี่อวี๋อิงเพิ่งจะอาบน้ำแช่ตัวเสร็จ ยามนี้กำลังเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าอยู่ ผมยาวสลวยปลิ้วไสวตามแรงสะบัดแผ่วอ่อน นางอยู่ในชุดเสื้อลำลองชิ้นบางพร้อมกระโปรงตัวหนึ่งเท่านั้น หรือก็คือชุดนอนที่นางชอบใส่เป็นประจำ
สาวรับใช้กำลังเดินลาจากออกไปพร้อมกับชุดสกปรก แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าถีบดังปัง บานประตูถูกเปิดกว้าง ฟาดอัดใส่หน้าของสาวรับใช้นางนั้นอย่างแรง…
“บังอาจ!!”
เสียงสบถด่าสนั่นหวั่นไหวด้วยความโกรธจัด สาวรับใช้นางนี้เป็นคนสนิทของไป๋หลี่อวี๋อิง ดังนั้นในบรรดาสาวรับใช้ในตำหนักแห่งนี้ นางคือผู้ที่มีอำนาจใหญ่สุด! แต่วันนี้จู่ๆก็โดนบานประตูฟาดใส่หน้าอย่างจัง ไอ้บัดซบที่ไหนกันที่โผล่งเปิดไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้! แต่พอจับจุดสังเกตเพ่งมองโดยใกล้ชิด นางถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือดในทันใด ปรากฏว่าเป็นองครักษ์ทายาทไป๋หลี่เย่!!
ไป๋หลี่อวี๋อิงกำลังยกมือขึ้นเท้าสะเอว ยืนมองทอดสายตามองอีกฝ่ายอยู่หน้าเรือนพักส่วนตัวด้านใน นางชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นทันที
“นี่เป็นบ้าอันใดอีก?”
“เซียถงมัน… มันได้บัญชาสี่พิภพไปแล้วจริงๆ! แล้วตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปที่จักรวรรดิซีฉิน!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจัด ยกมือขึ้นตบฝาผนังเรือนที่อยู่ข้างเคียงเสียงดังปัง แผดเสียงคำรามว่า
“ว่าแล้วเชียว! นังนี่มันกล้ามาก! นี่คิดจะนำบัญชาสี่พิภพไปให้กับฝ่ายซีฉินจริงๆ! เสด็จพ่อทราบเรื่องนี้แล้วรึยัง?”
“น่าจะทราบแล้ว เห็นว่าเสด็จพ่อกำลังส่งคนไปเข้าล้อมจวนมหาเสนาบดีเซี่ย เพื่อจับทุกคนในนั้นออกมา”
“ต่อให้ทำเช่นนั้นก็สายเกินไปแล้ว! ท่านรีบไปสมทบกับเสด็จพ่อก่อน ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่!”
องค์จักรพรรดิตงหลี่เฝ้ามองบุตรทั้งสองคนของเขาที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นก็โยนป้ายตราบางอย่างให้แก่ไป๋หลี่เย่ และกล่าวว่า
“เรื่องนี้ปล่อยให้พวกเจ้าสองพี่น้องจัดการ ต้องประสบความสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลวเด็ดขาด! หากเซียถงยังกล้าที่จะมอบบัญชาสี่พิภพแก่พวกซีฉินจริงๆ ข้าอนุญาตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที!”
“รับด้วยเกล้า!”
เมื่อสองพี่น้องคู่นี้ได้ยินคำว่า‘ฆ่า’ ทั้งไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิงต่างเหลือบมองหน้ากันและแสยะยิ้มออกมา
“เรียนเสด็จพ่อ ลูกคิดว่า คนนิสัยอย่างเซียถงไม่มีวันยอมใครโดยง่าย อาจต้องใช้วิธีการเด็ดขาดเพื่อปราบปราม!”