ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 527 ถูกคุมขัง (1)
ตอนที่527 ถูกคุมขัง (1)
ตอนที่527 ถูกคุมขัง (1)
ไป๋หลี่เย่ควบขับม้าตรงมุ่งหน้ามาถึงจวนมหาเสนาบดีเซี่ย พร้อมกับร่างของเซี่ยอี้เฉิงที่โดนมักเชือกและถูกลากมาตามพื้นดินตลอดเส้นทาง
เจ้าตัวกระโดดลงจากหลังม้าอย่างห้าวหาญ แต่เมื่อตรงยืนประจักษ์อยู่เบื้องหน้าประตูหน้าทางเข้าจวน เขากลับไม่กล้าก้าวย่างเข้าไป มัวแต่เดินวานไปมาอยู่แถวนั้นพร้อมด้วยสีหน้าวิตกจริต
ไป๋หลี่อวี๋อิงที่ตามหลังมาเห็นดังนั้น ก็อดกลอกตามองบนใส่พี่ชายผู้อสนขี้ขลาดคนนี้เสียมิได้ เขาไม่มีคุณสมบัติเป็นองค์รัชทายาทเลยจริงๆ!
“พอแล้ว! จะเดินวนไปถึงไหน? แค่เห็นข้าก็รู้สึกเวียนหัวแทนแล้ว!”
“สายข่าวที่ข้าส่งไปเกิดขาดการติดต่อระหว่างทาง เกรงว่านางจะจับได้เข้าแล้ว บางที…นางอาจกลับมาถึงที่นี่แล้วก็เป็นได้! แล้วเจ้าแน่ใจแล้วกระมัง? กำลังทหารเท่านี้จะกำราบนางได้อยู่หมัด?”
ความโหดเหี้ยมของเซียถงยังคงสลักฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งจิตใจของไป๋หลี่เย่ชนิดมิอาจลบเลือน เขายังจำจดได้อย่างแม่นยำถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นที่โดนตัดแขนทิ้งทั้งเป็น! เจ้าตัวเจ็บปวดแทบสิ้นสติเป็นลม!
ไป๋หลี่อวี๋อิงกระตุกยิ้มดูแคลนสังเวชใจทีหนึ่งบนมุมปาก ก่อนจะถอนความสนใจจากพี่ชายที่แสนขี้ขลาดคนนี้ไป นางหันมาส่งเสียงตะคอกเรียกเซี่ยอี้เฉิงที่นอนคลุกฝุ่นดินแดงอยู่บนพื้นฉับพลัน
“เซี่ยอี้เฉิง!!”
ดั่งถูกปลุกจากภวังค์หลับใหลฉับพลัน เซี่ยอี้เฉิงที่กำลังหมดสติพลันสะดุ้งโหย่งตื่นขึ้นทันใด พยายามดีดตัวลุกในทันที แต่เหมือนจะลืมไปว่า ตนเองถูกมัดมือมัดเท้าไว้อยู่ จึงส่งผลเสียการทรงตัวและล้มลงคลุกฝุ่นละอองดินแดงอีกครั้งทันที ซึ่งภาพฉากที่แสนน่าอายเหล่านี้ ล้วนแต่ถ่ายทอดสู่สายตาของทหารทุกคนในเวลานั้น แทบจะต่อเนื่องทันใด ก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังระเบิดออกมาอย่างขำขันสนุกสนาน
กระทั่งไป๋หลี่อวี๋เองก็ยังอดยิ้มมิได้เมื่อเห็นดังนั้น
แต่เมื่อป็หลี่เย่เห็นดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ยิ่งทมิฬมืดโกรธเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้แก่นี่! ยังไม่รีบไปเปิดประตูจวนอีกรึ!?”
ดั่งว่าความโกรธโมโหยังไม่ถูกระบายออก เขาจึงเดินตรงเข้าหาและยกบาทาขึ้นถีบใส่หน้าของเซี่ยอี้เฉิงสุดแรงไม่มียั้งออม เสมือนไล่เตะสุนัขจรตัวหนึ่ง ใบหน้ากว่าครึ่งซีกของเซี่ยอี้เฉิงประทับรอยรอยเท้าสีดำเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก แต่ถึงแบบนั้น แทนที่จะมีน้ำโหโกรธา เซี่ยอี้เฉิงกลับรีบคลายปมเชือกที่มัดมืดมัดเท้าทิ้งโดยไว และเร่งคุกเข่าขอขมาต่อแทบเท้าไป๋หลี่เย่ กล่าวอ้อนวอนขึ้นว่า
“ท่านองค์รัชทายาท! โปรดไว้ชีวิตผู้ต่ำต้อย! โปรดไร้ชีวิตผู้ต่ำต้อย!!”
“ไว้ชีวิตเจ้า? เมื่อใดที่บุตรสาวไอ้โง่บัดซบนั่นมาก้มกราบเท้าข้าได้ วันนั้นเจ้าค่อยมาขอความเมตตาจากข้าใหม่!”
ไป๋หลี่เย่ยกบาทาขึ้นถีบเซี่ยอี้เฉิงอีกดอกหนึ่ง จนหน้าหงายล้มคะมำลงกับพื้น ทั้งยังชี้หน้าตะคอกด่าสาปส่งไม่หยุดหย่อนอีกชุดใหญ่ว่า
“เจ้ามันก็แค่ไอ้แก่คนหนึ่งที่ทั้งโง่และไร้ยางอาย!! ลูกแต่ละตัวของเจ้ามันดีๆทั้งนั้น! เซี่ยหลู่เฟิงก็ลักพาตัวว่าที่สนมของข้าหนีไป! หากไม่ใช่เพราะว่า เสด็จพ่อเห็นแก่ตระกูลของเจ้าที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ตงหลี่ตลอดมา แล้วมีหรือที่ข้า องค์รัชทายาทผู้นี้จะยอมลดตัวอภิเษกสมรสกับลูกสาวสติไม่ดีของเจ้า!? นี่นับว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดของวงศ์ตระกูลพวกเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังปล่อยให้ลูกชายโง่ๆของตัวเองทำลายทุกอย่างลงไม่เป็นท่า!!”
ยิ่งไป๋หลี่เย่แผดเสียงตวาดดุด่ามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเดือดดาลหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นไป สักครู่ต่อมา เขาก็ใช้มือข้างเดียวที่เหลืออยู่กระชากผมของเซี่ยอี้เฉิงขึ้นมา และประเคนเข่าตอกใส่ใบหน้าอีกฝ่ายกระหน่ำไม่หยุดกว่าสิบครั้งต่อเนื่อง
เซี่ยอี้เฉิงต้องจำใจทนรับมือรับตีนของอีกฝ่าย ก็ส่งเสียงร้องโอดครวญเป็นระยะ สภาพของเขาในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับสุนัจขข้างถนนที่โดนคนจรไล่ตีไล่ฟาดจนส่งเสียงเห่าหอนเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน
เมื่อเห็นภาพฉากเหล่านี้ เซียถงที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเงามืดก็กำหมัดแน่น แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจเผยตัวออกไป
เหตุที่นางกำหมัดแน่นหาใช่เพราะเรื่องนี้ แต่กำลังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของท่านแม่ต่างหาก ส่วนเรื่องเซี่ยอี้เฉิงที่โดนไป๋หลี่เย่กระทืบอยู่หน้ากลับหาได้สนใจไม่เลย จะอย่างไร เซียถงก็ไม่เคยเห็นชายคนนี้เป็นพ่อตัวเองอยู่แล้ว
“เจ้าเป็นบุตรสาวคนโตของเขามิใช่รึ? ก็เห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังโดนทำร้าย ไยถึงไม่ออกไปช่วยเสียทีล่ะ?”
ภาพฉากตรงหน้านับว่าโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ไปมากแล้ว กระทั่งชิงเยวี่ยเองที่มิได้รู้จักหรือมีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับเซี่ยอี้เฉิงก็ยังรู้สึกสงสารแทน
ใบหน้าของเซี่ยอี้เฉิงบวมเป่งกลายเป็นหัวหมูไปแล้ว ธารเลือดสีแดงสดเอ่อล้นกบปาก ร่างทั้งร่างนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น สภาพน่าเวทนาชนิดไม่เหลือดีประดุจสุนัขกำลังขอความเมตตา ไม่สิ! มันแย่กว่านั้นเสียอีก! จนท้ายที่สุดนี้ ชิงเยวี่ยยังอดขมวดคิ้วไม่ได้
ดูท่าองค์รัชทายาทแห่งตงหลี่ผู้นี้จะทำเกินไปแล้วจริงๆ!
แต่อย่างไร เมื่อชิงเยวี่ยหันชำเลืองไปมองเซียถง กลับพบว่าสีหน้าการแสดงออกของนางก็ยังเรียบนิ่งไม่ไหวติงใดๆ ดูสงบเงียบผิดวิสัยเกินไปสำหรับคนเป็นลูก!
เป้าหมายที่แท้จริงของนางในเวลานี้หาใช่ไป๋หลี่เย่ แต่เป็นคนอื่น!
ในปัจจุบัน หลิวซูสามารถคลายผนึกที่จำกัดพลังความแข็งแกร่งของมันได้โดยสิ้นแล้ว จงกล่าวได้ว่า พลังต่อสู้ของมันไม่สาสามารถสบประมาทดูแคลนได้เลย! และไม่เพียงแค่นั้น กระทั่งความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันเองก็ยังสูงลิบจนน่าประหลาดใจ กล่าวคือ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงทั้งคน ก็ไม่มีทางมองตามความเร็วของหลิวซูได้ทัน!
และเนื่องด้วยตอนนี้ เซียถงกับหลิวซูเคยผสานรวมเป็นหนึ่งแล้วครั้งหนึ่ง ส่งผลให้นางสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในวิสัยทัศน์ของหลิวซูได้เป็นบางส่วน
ในขณะนี้ ณ พิกัดที่หลิวซูอยู่ตั้งออกห่างจากจุดไป๋หลี่เย่และพวกนางอยู่ถึงหลายร้อยลี้
เป็นเมืองแห่งนี้ที่อยู่ห่างไกล สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงาม มีภูเขาสลักทับซ้อนตั้งอยู่ล้อมรอบ โดยเฉพาะกับแม่น้ำสายยาวที่ผ่าตัดครึ่งลงมา พร้อมด้วยสองข้างทางเป็นผืนป่าพฤกษาอุดมสมบูรณ์ เป็นเมืองที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก
ช่วงลึกสุดของเมืองแห่งนั้น มีพระราชวังแห่งหนึ่งเสมือนถูกทิ้งร้างไปนาน แต่ยามนี้ได้ถูกบูรณะขึ้นมาอีกครั้ง
ภายในห้องโถงใหญ่ ณ ใจกลางพระราชวัง มีใครบางคนกำลังดื่มชาอย่างสบายใจอยู่
ร่างกายของหลิวซูแปรสภาพเป็นโปร่งใสยากจะจับสังเกตมองเห็น นี่เป็นอีกหนึ่งในความสามารถที่ถูกปลดผนึกมาได้เช่นกัน มันกำลังยืนเกาะอยู่บนหลังคา เฝ้าจับจ้องชายผู้นั้นที่ประทับนั่งอยู่เบื้องล่าง พินิจมองผ่านวิสัยสายตาของมัน เซียถงรู้ได้ทันที ชายที่ว่าคนนั้นก็คือ องค์จักรพรรดิตงหลี่
ขันทีคนสนิทผู้หนึ่งตบเท้าก้าวขึ้นหน้ามาหา และกล่าวขึ้นว่า
“เรียนฝ่าบาท หน่วยสอดแนมที่องค์รัชทายาทส่งไปยามนี้ขาดการติดต่อกะทันหัน คาดว่าเซียถงควรรู้ตัวแล้ว แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังมุ่งหน้าไปที่จวนมหาเสนาบดีเซี่ยเช่นกัน ควรจะเรียกตัวกลับมาก่อนดีหรือไม่?”
องค์จักรพรรดิตงหลี่ระเบิดหัวเราะลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า! อย่าได้กังวลไป หน่วยสอดแนมเหล่านั้นควรจะโดนเซียถงสังหารทิ้งหมดแล้ว ปล่อยให้นางไปเผชิญพบกับพวกลูกๆข้านั่นแหละ”
“แต่ฝ่าบาท เช่นนั้นควรทำเยี่ยงไรกับ…คนที่เราจับมาขังอยู่หลังตำหนักแห่งนี้ดี?”
“นางเป็นทางเลือกสุดท้ายของเขา ค่อยใช้งานในยามนี้สมควร แต่อย่างไรห้ามปล่อยให้นางหนีออกไปได้โดยเด็ดขาด”
“ขอรับ! บ่าวได้นำผงละลายเส้นเอ็นจับกรอกปากของนางเรียบร้อยแล้ว อย่าว่าแต่หลบหนีไปไหน ลำพังแค่จะลุกขึ้นยืนยังไม่มีปัญญา!”
เมื่อได้ยินประโยคเช่นนั้น เซียถงใจหายวาบลงไปยังตาตุ่มทันที! เซี่ยอี้เฉิงก็อยู่ที่นี่ แล้วใครกันที่โดนจับตัวไปขังอยู่หลังตำหนัก? แทบจะในทันใด นางพลันรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาฉับพลัน
“หลิวซู เจ้าซ่อนตัวอยู่แถวนั้นให้แนบเนียน แล้วคอยหาจังหวะไปเสาะค้นห้องลับละแวกหลังตำหนักแห่งนั้นมา”
หลิวซูพยักหน้าตอบเล็กน้อย ในเวลานี้ สถานที่ที่มันกำลังลอบสังเกตการณ์อยู่คือตำหนักส่วนกลางของพระราชวังพักร้อนในเมืองนี้ ซึ่งที่นี่มีลักษณ์คล้ายเจดีย์แปดเหลี่ยมที่มีกำแพงล้อมเอาไว้สามชั้น ทั้งยังมีนายทหารนชั้นสูงนับร้อยคอยยืนเฝ้าระวังอย่างหนาแน่นภายใน กล่าวคือ ถึงแม้จะหลิวซูจะสามารถงัดหลังคาเข้าไปได้ แต่ก็เป็นเรื่องยากเกินไปอยู่ดีที่จะฝ่าวงทหารตรวจตราเข้าไปเสาะหาห้องลับหลังตำหนักที่ว่าได้
ถึงหลิวซูจะมีวิชาพรางตัวมิให้ใครมองเห็นได้ แต่นี่ก็ถือเป็นภารกิจที่ยากเกินกว่าจะผ่านได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
มันยืนเฝ้าอยู่บนหลังคาจุดนั้น ได้แต่รอคอยต่อไปอย่างอดทน และในที่สุดเหมือนว่าฟ้าดินจะเป็นใจอยู่บ้าง เพราะทันใดนั้นก็มีนายทหารชั้นสูงผู้หนึ่งกำลังตรงเข้ามาจากกำแพงชั้นกลางมาสู่ชั้นในแห่งนี้ หลิวซูสังเกตเห็นว่าในมือของอีกฝ่ายกำลังคือถาดที่มีเหยือกน้ำอยู่ ดูท่าน่าจะมาส่งน้ำให้คนที่โดนจับมาเป็นแน่
หลิวซูจึงเริ่มเคลื่อนไหว เร่งความเร็วสุดขีดกลายเป็นเงาสายหนึ่งโฉบแล่น อาศัยประโยชน์จากที่นายทหารคนนั้นเปิดประตูอ้าออก พุ่งเข้าไปในขณะที่ประตูกำลังพับปิดลง เสียงประตูปิดสนิทดังปัง
เมื่อเข้ามาตามทางที่ถูกต้องสมควร ปราการความยากทุกอย่างก่อนหน้าเหมือนจะเบาบางลงทันที ราวกับรู้ว่าผู้บุกรุกควรจะมาจากบนหลังคาอย่างใดอย่างนั้น
ลอบติดตามนายทหารคนนั้นจึงมาถึงส่วนลึกที่สุดของตำหนัก เป็นแค่ประตูไม้เก่าแก่บานหนึ่งที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ เขาแค่เปิดประตูแง้มเล็กน้อยและวานถาดน้ำให้เท่านั้น และปิดประตูจากออกไป
นั่นเป็นจังหวะที่หลิวซูลอบเข้าไปได้สำเร็จพอดี
ตลอดทั้งห้องแห่งนี้ถูกปิดด้วยม่านสีดำทึบ ปิดกั้นมิให้แสงแดดจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาโดยสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย