ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 536 ดินแดนอี้เฉิงที่ผิดแผก (2)
ตอนที่536 ดินแดนอี้เฉิงที่ผิดแผก (2)
ตอนที่536 ดินแดนอี้เฉิงที่ผิดแผก (2)
โม่ซวนเหมือนจะทราบดีถึงความอันตรายของกลีบกุหลาบเหล่านี้ เขาจึงเลือกที่จะไม่พลีพลามจู่โจมสวนกลับไป และเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการตั้งรับมากกว่า เขายกกระบี่ขึ้นสกัดกั้นป้องกันร่างกายมิให้ได้รับบาดเจ็บ กลีบกุหลาบโปรยปรายปะทะชนเข้ากับใบกระบี่เล่มคม บังเกิดประกายไฟสาดกระเซ็นระยิบระยับ ก่อนท้ายที่สุดนั้น ทั้งหมดจะบินกลับเข้าไปรวมตัวกลายเป็นกุหลาบดอกหนึ่งอีกครั้งในมือหลัวซี
อินทรีโลหิตตีปีกสยายเหินหาวออกไปบนฟากฟ้าพร้อมกับหลัวซี
โม่ซวนลดกระบี่ลงและเก็บเข้าฝักข้างเอว จ้องเขม็งเพ่งมองจุดเงาสีดำที่บินหายออกไปอย่างเย็นชา
ทหารชุดคลุมดำไล่ติดตามเขามา บริเวณหน้าอกเป็นแผลสดฉีกลึกเป็นทางยาว เกิดจากที่พลาดท่าไปโดนกรงเล็บอินทรีโลหิตก่อนหน้าเข้าตะครุบตัด แทบจะในทันใด เขาแหกปากตะคอกใส่โม่ซวนด้วยความหงุดหงิดจัดจ้าน
“เจ้าปล่อยมันไปเพื่ออันใด?!”
โม่ซวนหาได้สนใจฟังไม่ และหมุนตัวหันศีรษะเดินจากออกไปอย่างไร้มนุษย์สัมพันธ์ใดๆ
ทหารชุดคลุมดำนายหนึ่งถึงกับตะลึง อยากจะแหกปากคำรามใส่อีกสักครา แต่สุดท้ายทำได้เพียงอ้าปากค้างเติ่ง ตัดใจยอมแพ้ไป และทำได้เพียงกล่าวว่า
“หวังว่าจะมีเหตุผลไปอธิบายให้นายท่านฟังได้!”
กล่าวจบ เขาก็เดินจากออกไปเช่นกัน
โม่ซวนลอบชำเลืองหางตาไปที่บนฟากฟ้าไกลอยู่หนึ่งปราด แล้วหาได้สนใจอีกต่อไป พวกเขาเดินจากบริเวณนั้นออกไป พร้อมกับหน้ากากผิวหนังมนุษย์สองชิ้นที่ทิ้งอยู่บนพื้น…
เหนือหุบเขาหิมะลูกหนึ่งนอกดินแดนอี้เฉิง อินทรีโลหิตพยายามอย่างที่สุดเพื่อประคองหลัวซีร่อนมาส่งยังพื้นที่ปลอดภัย ปีกข้างหนึ่งของมันได้รับบาดเจ็บสาหัสหนัก และทุกครั้งที่ตีปีกสยายต้านลมเพื่อบิน ก็มักจะมีเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมา จนท้ายที่สุด เหมือนมันจะฝืนจนถึงขีดจำกัดแล้ว จึงร่อนตกลงกลางมุ่งหิมะขาวโพลนบนหุบเขาสักแห่งหน
หลัวซีรีบกระโดดลงมาและเข้าดูอาการของอินทรีโลหิตโดยไว แต่ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายราวกับมีพายุเข้าบนหุบเขาหิมะ ทำให้เขาหนาวสั่นเกินจะควบคุม แค่อ้าปากเล็กน้อยก็มีควันพวยพุ่งออกมา อย่างไร เขาหาได้สนใจเลยว่า ที่แห่งนี้จะหนาวเหน็บปานใด ชีวิตของอินทรีโลหิตในปัจจุบันสัญที่สุดสำหรับหลัวซี!
“เสี่ยวหยิน!”
อินทรีโลหิตอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกจากปีกข้างนั้นไม่หยุดไม่หย่อน
หลัวซีรีบหยิบผงยารักษาสีทองจำนวนหนึ่งออกจากใต้แขนเสื้อ และโรยราดบรรจงทาลงบนแผลที่ปีกของมัน ด้วยสภาพการณ์ขณะนี้ มันไม่มีทางบินต่อได้ไหวแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นสภาพอากาณบริเวณนี้ก็ยังหนาวจัด ส่งผลให้อินทรีโลหิตไม่สามารถรักษาอุณหภูมิร่างกายที่เจ็บปวดของมันไว้ได้ หลัวซีพยายามคิดอยู่หลายหน จนสุดท้ายทำได้เพียงใช้ตัวเข้ากอดมันเพื่อมอบความอบอุ่นให้
“คนๆนั้นไม่ใช่โม่ซวน!”
หลัวซียังจำจดได้แม่นยำถึงในตอนที่อยู่บนหุบเขาคุนหลุน เขานี่แหละคุ้นชินกับโม่ซวนที่สุดแล้วในบรรดาทั้งหมด และเนื่องด้วยตัวโม่ซวนเอง ได้รับคำสั่งกำชับเข้มงวดจากราชาหมาป่าสวรรค์ ความว่า ห้ามปล่อยให้‘พวกแมลงวันอื่นใด’ค่อยมาบินว่อนไต่ตอมพระชายาของเขาโดยเด็ดขาด
ส่งผลให้โม่ซวนมักจะแสดงท่าทีหยาบคายต่อชิงเยวี่ยและตัวเขาอย่างหลัวซีมากเป็นพิเศษ
แล้วมีหรือที่คนอย่างโม่ซวนจะมาพูดจาสุภาพกับเขา!
และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ หากเป็นโม่ซวนตัวจริงเสียงจริง เขาคงอยากจะให้หลัวซีเผชิญพบกับราชาหมาป่าสวรรค์โดยตรงเสียยิ่งกว่าอะไร พึงทราบ โม่ซวนคนนี้เป็นพวกขี้เห่อเจ้านายตัวเองมิใช่น้อยๆ ดังนั้น คนอย่างเขาย่อมปรารถนาให้ ชายอื่นได้เห็นกับตาตนเองว่า ราชาหมาป่าสวรรค์ของเขาทั้งวิเศษวิโสและน่าทึ่งเพียงใด ผู้เหล่าอื่นใดย่อมมิอาจเทียบชั้นกับเจ้านายตัวเองได้แม้แต่เศษฝุ่น! นี่แหละคือสิ่งที่โม่ซวนต้องการให้ชายอื่นได้เข้าใจตรงกัน เพื่อมิให้ไปยุ่มยามกับเซียถง
นอกจากนี้เอง โม่ซวนยังเป็นอีกคนที่เคราพนับถือเซียถงจากใจจริง ดังนั้น หากรู้ว่าจดหมายฉบับนี้เซียถงเขียนให้ราชาหมาป่าสวรรค์เป็นการส่วนตัว เขาหรือจะกล้ารับแทน?
และข้อผิดสังเกตจุดที่ใหญ่ที่สุดคือ ระดับชั้นพลังลมปราณของโม่ซวนอยู่แค่ขอบเขตราชันย์ม่วงเท่านั้น! หาใช่สูงถึงขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้น!
สรุปได้ว่าโม่ซวนคนนั้นคือตัวปลอมแน่นอน แต่แล้วทหารชายคลุมดำคนนั้นล่ะ? ที่น่าสงสัยที่สุดคงหนีไม่พ้นบรรยายการภายในพระราชวังอี้เฉิงที่เงียบสงัดราวกับร้างไปแล้วนั่นอีก? สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนจะเต็มไปด้วยความลับมากมายที่ถูกซ่อนฝังลึก
หลังจากที่วิเคราะห์อยู่สักครู่ หลัวซีจึงได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างมั่นใจดังว่า หากแต่ความจริงแล้ว…ราชาหมาป่าสวรรค์และพวกยังไม่ได้ไปถึงดินแดนอี้เฉิงตั้งแต่แรก! นี่เท่ากับว่าดินแดนอี้เฉิงกำลังตกอยู่ในอันตราย! ทันทีที่สันนิษฐานได้ดังว่า หลัวซีก็รู้สึกตื่นตระหนกตกใจมิใช่น้อย!
“เสี่ยวหยิน เจ้าพักรักษาตัวอยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าต้องรีบไปแจ้งข่าวนี้แก่เซียถงโดยด่วนที่สุด! ดินแดนอี้เฉิงกำลังตกอยู่ในอันตราย!”
อินทรีโลหิตตนนี้มีพลังจิตสมาธิค่อนข้างสูงส่ง ยังพอทนแบกรับความเจ็บปวดได้อีกสักระยะใหญ่ มันจึงส่งเสียงร้องตอบคำหนึ่งเชิงว่า อย่าได้เป็นห่วงไป หลัวซีได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นลูบศีรษะของมันอย่างรักใคร่
นอกด่านประตูเมืองอี้เฉิง ปรากฏเป็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้ากระสอบเนื้อหยาบ มีผ้าสักหลาดผืนหนึ่งห่มคลุมอยู่บนศีรษะ นี่คือชุดพื้นเมืองที่ผู้คนในอี้เฉิงมักจะสวมใส่ใช้กันทั่วไป เขาคนนี้เดินปะปนไปในฝูงชนจำนวนนับไม่ถ้วน
ในขณะเดียวกันก็มีกองทหารลาดตระเวนที่กำลังทำหน้าที่อยู่เดินตรวจตรา ฝ่ากลางฝูงชนอันเนืองแน่นเหล่านั้นสวนขึ้นมา พวกเขามีจำนวนหนึ่งพันนายเห็นจะได้
ดวงตาคู่คมกริบสาดสะท้อนยิงออกมาจากเขาคนนั้น มุ่งเล็งไปที่หัวหน้าทหารหน่วยลาดตระเวนซึ่งอยู่หน้าแถว หากต้องการล้วงความลับข่าวสารภายใน ก็คงต้องเริ่มจากทหารยศผู้น้อยเสียก่อน และดูท่าหัวหน้าทหารหน่วยลาดตะเวนผู้นี้จะดูเหมาะสมที่สุดแล้ว
เขาก้าวแช่มสอดแทรกเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างแช่มช้า ทันใดนั้นก็เอื่อมมือไปผลักชายหนุ่มระแวกใกล้เคียงจนล้มคะมำหัวทิ่ม ด้วยความตกใจชายหนุ่มนั้นก็กวาดมือไม้ไปทั่วพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวตามสัญชาตญาณ จนไปชนเข้ากับคนอื่นๆแถวนั้นจนเสียการทรงตัวล้มทับกันระนาว ชั่วพริบตาขณะ ก็ได้ก่อเกิดเป็นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายหย่อมหนึ่ง และดึงดูดความสนใจจากขบวนทหารลาดตะเวนอย่างรวดเร็ว หัวหน้าทหารนายนั้นสั่งเดินกำลังให้เหล่าผู้ใต้บัญชาเคลื่อนพลไปตรวจดู อาศัยชั่วจังหวะนั้นเอง เขาคนนั้นก็ย่องเข้าไปแนบชิดติดอยู่ข้างแผ่นหลังของหัวหน้าทหารคนนั้นโดยไว
และแน่นอน ทันทีที่หัวหน้าทหารคนนั้นสัมผัสได้ถึงความประสงค์ร้ายของอีกฝ่าย ก็พยายามขัดขืนทันทีตามสัญชาตญาณ!
“อย่าขยับ มีดในมือข้ายิ่งไม่ค่อยเชื่องอยู่ด้วย”
“ต้องการอะไร?”
หัวหน้าทหารนายนั้นเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“มากับข้า!”
กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าของหัวหน้าทหารนายนั้นกระตุกเกร็งทีหนึ่ง เอ่ยปากสั่งการกับขบวนทหารลาดตะเวนที่เหลือทันที
“พวกเจ้าเดินลาดตะเวนไปก่อนเลย ข้ามีธุระแถวนี้ที่ต้องทำ!”
ทหารเหล่านนั้นดูแปลกใจอยู่สักครู่ แต่เนื่องด้วยเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา จึงจำต้องล่วงหน้าเดินทางออกไปก่อน
ตรงเข้ามาในตรอกมืดแห่งหนึ่ง หัวหน้าทหารนายนั้นก่นเสียงเย็นกล่าวขึ้นด้วยความโกรธว่า
“เจ้าเป็นใครกัน? กล้าลักพาตัวข้าเช่นนี้ ไม่กลัวตายงั้นรึ?”
ชายในชุดเสื้อผ้ากระสอบเนื้อหยาบก็คือหลัวซี เขาปรายสายตาเหลือบมองอย่างเย็นชาไร้ใจ หากคนๆนี้กล้าขัดขืนตนแม้เพียงนิดเดียว กุหลาบเหล็กไหลในมือเขาเตรียมปลิดชีพอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน! คิดได้ดังนั้น เขาก็ยกกุหลาบดอกนั้นในมือลุจ่อไปที่คอของอีกฝ่ายโดยตรง!
แต่ทันทีที่หัวหน้าทหารนายนั้นเห็นว่า สิ่งนั้นเป็นกุหลาบเหล็กไหลสีแดงที่สุดแสนจะคุ้นเคย ดวงตาถึงกับสั่นไสววาบหนึ่งฉับพลัน!
ขณะที่หลัวซีกำลังจะเอ่ยถามต่อไปนั้น จู่ๆเขาก็สังเกตเห็นธารแสงสายหนึ่งที่สะท้อนหักเหจากกุหลาบในมือ ส่องไปที่ช่วงกรามของหัวหน้าทหารคนนั้น ซึ่งพบว่ามันโปร่งแสงดูไม่เหมือนเนื้อคนทั่วไป!
แทบจะในพริบตาถัดมา หลัวซีใช้วิชาดัชนีเข้าสกัดจุดทั่วแผ่นหลังของหัวหน้าทหารนายนั้น จับอีกฝ่ายหมุนกลับมาและพินิจตรวจสอบให้จงดี ก่อนจะต้องประหลาดใจยิ่งยวด ปรากฏว่า หัวหน้าทหารนายนี้กำลังสวมหน้ากากผิวหนังมนุษน์อยู่!
ฟุบ!!
หลัวซีกระชากหน้ากากผิวหนังมนุษย์จากหน้าอีกฝ่ายออกโดยตรง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหัวหน้าทหารนายนี้!
“กลับเป็นท่าน!”
หลัวซีตกตะลึงอย่างยิ่งที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร!
“แล้วไฉนท่านถึงอยู่ที่นี่ได้?”
หัวหน้าทหารนายนี้แท้จริงแล้วเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาดูตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นกัน ก่อนจะยิงคำถามออกไปโดยไว
“นี่ข้าเอง! แล้วเจ้าจะลักพาตัวข้าออกมาเพื่ออันใด!”
เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ได้แต่บ่นพึมพำไม่หยุดด้วยความเศร้าโศก! เพราะกว่าที่เขาจะเสาะหาชุดเครื่องแบบของหัวหน้าหน่วยลาดตะเวนมาได้ก็ใช้เวลาไปมากโขแล้ว ซึ่งกว่าจะลอบเข้าไปแทรกแซงจนกลมกลืนก็ลุ้นแทบตาย แต่ไฉนกัน อยู่ดีไม่ว่าดี ถึงจับพลัดจับพลูดันมาถูกหลัวซีเข้าใจผิด โดนลักพาตัวแยกออกมาเฉยเลย!