ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 559 หอคอยดาราพิชิต (1)
ตอนที่559 หอคอยดาราพิชิต (1)
ตอนที่559 หอคอยดาราพิชิต (1)
‘อัครมหาเสนาบดีเย่ลอบเข้าไปยังฐานลับใต้ดินในเรือนพักของคณบดีเคราขาวในตอนกลางดึก เพื่อช่วยชีวิตนางหลี่ที่ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย ในขณะที่เซียถงเองก็บุกเข้าสู่ฐานลับใต้ดินแห่งเดียวกันในเวลาถัดมา ทั้งหมดก็เพื่อทำการเข้าช่วยเหลือชีวิตของผู้เป็นแม่ ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งไปยังจักรวรรดิซีฉิน ต่อมา องค์จักรพรรดิตงหลี่ได้มีพระราชโองการ ให้เซียถงอภิเษกกับไป๋หลี่หานในนามพระชายาเอก ในงานวันอภิเษกสมรส อัครมหาเสนาบดีเย่ยืนอยู่หน้าประตูเมืองเฟิงหลี่เป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม ก่อนที่จะเดินทางกลับคฤหาสน์ของตนและร่ำสุราจนหัวราน้ำ ไม่หลับไม่นอนเป็นเวลาสามวันสามคืนติดต่อกัน…’
ทันทีที่องค์จักรพรรดินีเหลิ่งอ่านสาสน์ลับปิดผนึกมาถึงจุดนี้ นางก็ไม่มีเวลามาครุ่นคิดอันใดให้มากความอีกแล้ว จึงเร่งสั่งการให้คนแบกเกี้ยวพามายังหอคอยดาราพิชิตแห่งนี้โดยไว
และเมื่อได้ยินเย่หลีเทียนบอกว่า ตนต้องการตราประทับอาญาสิทธิ์และพระราชกฤษฎีกามังกร องค์จักรพรรดินีเหลิ่งก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ในทันใด!
ระหว่างเซียถงกับเย่หลีเทียนจะต้องมีความสัมพันธ์สวาทอันใดเกี่ยวข้องกันแน่นอน!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ องค์จักรพรรดินีรู้สึกดั่งถูกหนอนเน่านับพันหมื่นกำลังกัดแทะหัวใจของนาง กลับเป็นเรื่องผิดมหันต์ที่ยอมปล่อยให้เซียถงเหยียบย่างผ่านธรณีประตูแห่งดินแดนอี้เฉิงเข้ามา! ในตอนนั้น นางควรจะใช้เกาทัณฑ์ยิงนางทิ้งให้ดับดิ้นไปเสีย!
เรื่องตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกามังกร ถือเป็นความลับสุดยอดที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในเบื้องลึกสุดขั้วหัวใจของนางตลอดมา แต่หลังจากที่เห็นไป๋หลี่หานเป็นฝั่งเป็นฝา องค์จักรพรรดินีเหลิ่งเองก็รู้สึกว่า ลูกชายคนนี้ของนางโตขึ้นมากแล้ว และควรที่จะได้รับรู้ถึงความลับเหล่านี้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางตัดสินใจบอกเรื่องตราประทับอาญาสิทธิ์และพระราชกฤษฎีกามังกรกับเขา
แต่ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่า…
“นังเซียถงบอกเจ้ารึ?”
ได้ยินแบบนั้น เย่หลีเทียนผงะเล็กน้อย พลางหัวเราะกล่าวว่า
“ข้าบอกได้แค่คำเดียว เซียถง นางทำภารกิจได้หมายเสร็จด้วยดี!”
เมื่อองค์จักรพรรดินีเหลิ่งฟังดังนั้น ร่างทั้งร่างพลันสั่นเทาเกินควบคุม ส่งเสียงกรีดร้องสาปส่งลั่นในทันใด
“นังตัวแสบ! ข้าจะฆ่ามันเสีย! ข้านี่แหละจะฆ่ามันเสีย!!”
ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวน่าเกลียด สายตามีแต่ความเกลียดชังอาฆาตอยู่เปี่ยมล้น นางร้องเกลียดเซียถงคำแล้วคำเล่าต่อหน้าเย่หลีเทียนที่ลอบมองอย่างสนุกสนานใจ
นางล้มเหลวเรื่องการปกป้องลูกชายตนเองโดนสิ้นเชิง และนี่อาจเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตนางแล้วเช่นกัน แต่ไม่ว่ายังไง นางก็ไม่มีวันยอมให้อภัยเซียถงผู้ซึ่งทรยศไป๋หลี่หานแน่นอน! ในฐานะผู้เป็นแม่ จากสายตาของลูกชายคนนี้ที่มีให้แก่เซียถง นางสามารถพูดออกมาได้อย่างภาคภูมิใจเลยว่า ในที่สุด ลูกชายตัวน้อยของเขาก็ได้เจอคู่แท้เสียที และนางเองก็เคยคิดริเริ่มเปิดใจบ้างแล้วเช่นกัน แต่อย่างไร…ใครจะไปคาดคิดกันว่า เซียถงจะหักหลังลูฏชายของนางได้ถึงขั้นนี้!!
ทันใดนั้นเอง จู่ๆองค์จักรพรรดินีเหลิ่งก็ฉีกกรงเล็บทั้งห้านิ้วพุ่งตะปบคว้าข้อมือของเย่หลีเทียนเอาไว้ หาทราบไม่ว่า นางไปเอาพละกำลังขนาดนี้มาจากไหน นางลอบใช้กริชที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ ตวัดฟันปาดใส่คอของอีกฝ่ายเป็นทางยาว ก่อเกิดบาดแผลฉกรรจ์สีแดงสดขนาดใหญ่ที่ฉีกกว้างบนคอหอย
สีสันในแววตาของเย่หลีเทียนผันเปลี่ยนพลัน พร้อมกับใบหน้าที่มืดทมิฬลงหลายส่วน เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า องค์จักรพรรดินีเหลิ่งจะหาญกล้าแสวงหาความตายถึงปานนี้! เจ้าตัวระดมสั่งสมกระแสลมปราณควบแน่นไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็โหมซัดตัดใบกริชคามือขององค์จักรพรรดินีเหลิ่งเป็นสองส่วน พุ่งโฉบกรงเล็บสวนเข้าตะปบบีบคอของนาง สีหน้าเหี่ยวย่นชราภาพพลันซีดเผือดเนื่องจากขาดอากาศหายใจหนัก พยายามดิ้นทุรนทุรายอยู่หลายครากลับไม่เป็นผล
“อยากตายนัก!? กลับไม่ง่ายเช่นนั้น! หากเจ้าอยากตายๆไปเสีย ก็จงบอกที่ซ่อนของตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกามาก่อน!!”
เย่หลีเทียนออกแรงเขย่ารุนแรงอยู่สองสามคราติด ทว่าองค์จักรพรรดินีเหลิ่งพลันหมดสติไปเสียแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ไป๋หลี่หาน เซียถงและพวกเพิ่งจะมาถึงอี้เฉิง!
ประตูด่านหน้าเมืองอี้เฉิงถูกปิดผนึกแน่นหนา อีกทั้งบรรยายกาศที่แห่งนี้ยังดูผิดแปลกไปจากเดิมมาก
เซียถงและไป๋หลี่หานที่กระโดดลงจากม้า เดินเคียงคู่กันมาและหยุดลงอยู่ตรงหน้าประตูด่านหน้า เป็นไป๋หลี่หานที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“ใช้เส้นทางลับเข้าไปแทนเถอะ”
เซียถงได้แต่ยืนปั้นหน้าฉงนงุนงง โดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นี่ เพราะโดยปกติทั่วไป ประตูด่านหน้าเมืองอี้เฉิงมักจะเปิดกว้างต้อนรับผู้สัญจรไปมาอยู่เสมอ ยิ่งเป็นช่วงบ่ายแบบนี้ ยิ่งเป็นเวลาที่ผู้คนพลุกพล่านเจี๊ยวจ๊าวกันมากที่สุด แต่ปัจจุบันประตูกลับปิดตายสนิท พอได้ยินไป๋หลี่หานเอ่ยกล่าวออกมาดังนั้น พลันสวนถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า
“เกิดอะไรขึ้น? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับที่นี่?”
ไป๋หลี่หานระบายยิ้มเล็กน้อย ตอบเพียงว่า
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เรื่องตลกไร้สาระนิดหน่อย”
จากนั้นป็หลี่หานก็วานให้โม่ซวนวิ่งไปเปิดกลไกอะไรบางอย่างแถวกำแพงด้านหนึ่ง ไม่นานก็มีทางลับเปิดขึ้นมาต่อหน้าต่อตาของทุกคน
“มีทางเข้าลับในอี้เฉิงด้วย?”
เซียถงร้องอุทานขึ้นคำหนึ่ง สีหน้าดูค่อนข้างแปลกใจ
“ทุกเมืองล้วนมีทางลับตั้งแต่เริ่มก่อสร้างวางผังแล้ว รู้สึกว่าข้าเองก็บอกเจ้าไปแล้วมิใช่รึ?”
เซียถงส่ายหัวพลัน
“ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างนักที่ท่านไม่เคยบอกข้า แต่หาได้เป็นไร ท่านพูดอะไรตัวข้าย่อมเชื่อทั้งนั้น เพราะท่านคือสามีของข้า และท่านจะไม่มีวันทำร้ายตัวข้าเช่นกัน”
จับสังเกตได้จากแววตาสั่นไสวรวนรนของไป๋หลี่หานในเวลานี้ เซียถงพอจะคาดการณ์ได้ว่า จะต้องเกิดเหตุผิดปกติอะไรสักอย่างภายในอี้เฉิงแน่นอน และสามีของนางคนนี้ก็กำลังเป็นห่วงสถานการณ์ของผู้เป็นแม้ที่อยู่ในพระราชวัง ซึ่งนางก็หวังว่า ตนเองจะพอมีส่วนช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
ในเวลานี้เอง ทุกคนกำลังเตรียมตัวลงไปในทางลับ จะเหลือก็เพียงไป๋หลี่หานและเซียถงที่พ่วงท้ายยืนอยุ่บนภาคพื้น เขาหันมาจับมือเซียถงเอาไว้ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางกล่าว
“จักรพรรดิตงหลี่มองพวกเราสองแม่ลูกเป็นดั่งเสี้ยนหนามตำใจของเขาเรื่อยมา เหตุทั้งหมดเป็นเพราะตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกามังกรของอดีคจักรพรรดิพระองค์ก่อนที่อยู่ในมือท่านแม่ของข้า เคยมีครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายส่งนักฆ่ามาสังหารข้าแต่กลับล้มเหลว แต่ใครจะไปคิด ครั้งนี้กลับคิดการใหญ่ อาศัยโอกาสที่ข้าไม่อยู่บุกเข้ามากุมอำนาจแทน อี้เฉิงในตอนนี้อยู่ในการควบคุมของจักรพรรดิตงหลี่เบ็ดเสร็จ โดยมีเป้าหมายเป็นท่านแม่ของข้า และใครก็ตามที่กล้าแตะต้องนาง ข้าจักฉีกมันเป็นชิ้นๆ!”
เซียถงพยักหน้าและกล่าวว่า
“ในเมื่อมีตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกามังกรอยู่ ไฉนถึงไม่เปิดตัวแสดงตนออกมาเสียล่ะ? ให้ประชาชนทุกคนได้รู้ ใครกันแน่คือผู้สืบทอดบัลลังก์ที่แท้จริง?”
“ในตอนนั้น เพื่อปกป้องที่ตัวข้ายังเด็ก ท่านแม่จึงยอมสละสิทธิ์ทุกอย่างทิ้งไป รวมไปถึงมอบพระราชกฤษฎีกาหงสาให้แก่องค์จักรพรรดิตงหลี่ด้วยความจำใจ ก่อนจากเมืองเฟิงหลี่ ท่านแม่ได้ทิ้งพระราชกฤษฎีกาหงสาเอาไว้ โดยใช้เจ้าสิ่งนี้จึงทำให้องค์จักรพรรดิตงหลี่ได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ แต่ความจริงแล้ว นี่ยังถือเป็นขั้นตอนไม่สมบูรณ์ เพราะยังขาดพระราชกฤษฎีกามังกรไปอีกหนึ่งฉบับ เพียงว่าเรื่องนี้กลับโดนปกปิดเอาไว้มิให้สาธารณชนได้รับรู้เท่านั้น”
“แต่ท่านมีพระราชกฤษฎีกามังกรอยู่ในมือมิใช่รึ! หากอีกฝ่ายมีพระราชกฤษฎีกาหงสา ท่านเองก็มีพระราชกฤษฎีกามังกร เท่านี้ท่านก็สามารถขึ้นท้าชิงบัลลังก์กับจักรพรรดิตงหลี่ได้แล้ว!”
“เพราะหากพระราชกฤษฎีกามังกรฉบับนั้น มันไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป มีหรือที่ฝ่ายนั้นจะทุ่มทุนเดินทัพมาบุกถึงอี้เฉิง? ไม่แน่บางที ตอนนี้พวกมันอาจกำลังรื้อค้นเสาะหาของสองสิ่งนั้นอยู่! ตอนนี้ท่านเองก็แข็งแกร่งเพียงพอแล้ว รีบไปนำสองสิ่งนั้นออกมาและกำราบพวกมันไปเสีย!”
ไป๋หลี่หานไม่ตอบอะไร เพียงยิ้มหัวเราะคำสองคำและอุ้มเซียถงกอดไว้ในอ้อมแขน
ขณะเดียวกัน เซียถงคล้ายเสาะพบร่องรอยความผิดปกติบางอย่างจากรอยยิ้มนี้ของอีกฝ่าย
นางเข้าใจได้ในทันที
“หรือว่า…ตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกาไม่ได้อยู่ในอี้เฉิง?”
ไป๋หลี่หานพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ตอนที่อพยพจากเมืองเฟิงหลี่ไป ระหว่างทางล้วนเต็มไปด้วยภัยอันตรายหลายหลาก จักรพรรดิตงหลี่มิได้ตัดใจยอมแพ้โดยง่ายและพยายามซุ่มโจมตีอยู่หลายครั้งบนถนนหนทาง นอกจากนี้เองด้วยสภาพภูมิอากาศในอี้เฉิงที่หนาวเหน็บ ข้ากับท่านแม่หนีตายจากพวกทหารในวังได้ยากลำบากยิ่งนัก ถึงจะมีกองทหารฝ่ายขั้วอำนาจเก่าติดตามพวกเราไปด้วย แต่เกือบทั้งหมดล้วนถูกฆ่าทิ้งไม่เหลือ และหากมิใช่เพราะความเฉลียวของท่านแม่ที่หลอกใช้กลอุบายมากมาย พวกเราคงไม่มีทางเดินทางมาถึงอี้เฉิงทั้งที่มีชีวิตแน่นอน และเหมือนว่าเรื่องเช่นนี้ท่านแม่จะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงตัดสินใจมิได้นำตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกามังกรติดตัวร่วมเดินทางมาด้วย”
เซียถงได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจได้ในทันที ถึงกับร้องอุทานขึ้นคำหนึ่ง
“ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด บางทีตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกามังกรยังถูกเก็บไว้อยู่ในเมืองเฟิงหลี่ เพียงว่าจักรพรรดิตงหลี่มิได้คาดถึงเรื่องนี้ เอาแต่คิดเรื่องแผนการบุกอี้เฉิง จึงทำให้พวกมันทั้งสองชิ้นอยู่รอดปลอดภัยในเมืองเฟิงหลี่จวบจนปัจจุบัน!”
“อีกฝ่ายคงนึกไม่ถึงว่า ท่านแม่ของข้าจะเก็บซ่อนตราประทับอาญาสิทธิ์กับพระราชกฤษฎีกามังกรไว้ที่นั่น…”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง โม่ซวนก็ชะโงกศีรษะขึ้นมาหา พร้อมกับอุปกรณ์บางอย่าง
มันคืออุปกรณ์ดำน้ำ!