ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 56 องค์หญิงอวี๋อิง (2)
ตอนที่56 องค์หญิงอวี๋อิง (2)
ทว่าใครจะไปนึก วันดีคืนดีกลับมานังอัปลักษณ์ที่ไหนไม่รู้สาระแนเข้ามาช่วยเหลือ
“นังอสุรกายอัปลักษณ์นี่โผล่มาจากไหน? ในเมื่อสวรรค์มีทางให้เจ้าเลือกเดิน แต่ไม่อยากเดิน เช่นนั้นคงเหลือแค่ประตูนรกแล้ว! กล้าเสนอหน้านัก เช่นนั้นก็ตายไปซะ!”
หนึ่งเสียงคำรามเดือดดุ แส้ยาวโบกสะบัดฟาดเข้าหาเซียถงด้วยความโกรธจัด
มือข้างที่เคลื่อนไหวขององค์หญิงอวี๋อิงรวดเร็วอย่างยิ่ง ทว่าเงาร่างของเซียถงกลับเคลื่อนหลบเลี่ยงไวกว่า เพียงปลายชายเสื้อบางๆ เท่านั้นที่โดนตวัดฉีกกระชากออกไป
เหลือบสายตามองชายเสื้อที่ขาด เซียถงเลิกคิ้วมองเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย ระดมพลังลมปราณขุนใหญ่โคจรหมุนติ๊วไปทั่วกายา ผนึกกลายเป็นรัศมีลมปราณกระแสบางครอบคลุมร่าง พุ่งพรวดเข้าไปคว้าแส้ยาวขององค์หญิงอวี๋อิงด้วยมือเปล่า ด้วยพละกำลังระดับชั้นขอบเขตเสาหลักฟ้า เซียถงเพียงออกแรงกระชากเบาๆ ก็ดึงร่างของอีกฝ่ายจนแทบล้ม อาศัยใช้มืออีกข้างที่ว่าง พลิกฝ่ามือขึ้น กางเล็บทั้งห้าเข้าตะปบลำคอขององค์หญิงอวี๋อิงไว้แน่น
ทันทีที่องค์หญิงอวี๋อิงเห็นรัศมีแสงสีครามฟ้าบนร่างของเซียถง นางเองก็ตกใจมิใช่น้อย คิดไม่ถึงเลยว่า นังอสุรกายอัปลักษณ์นางนี้จะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นกลางคนหนึ่ง พอลำคอตนเองโดนตะปบกำแน่น นางยิ่งโกรธเกรี้ยวหนัก ภายในใจมีแต่ความเกลียดชังอัดแน่นเต็มไปหมด เสี้ยวขณะอึดใจ นางลอบควักบางสิ่งใส่ในกำมือ และสาดใส่หน้าของเซียถงโดยตรง
เซียถงรีบคลายมือผงะ กระโดดเลี่ยงหลบผงสีแดงที่ตลบอบอวล เร่งตีระยะออกมาโดยไว สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วจมูก พึงทราบทันทีว่าผงดังกล่าวมีฤทธิ์เป็นพิษสูง แต่อย่างไรมืออีกข้างยังกำแส้ยาวในมือแน่น ชั่วขณะอึดใจ นางออกแรงกระชากอีกครั้งอย่างแรง ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันมาก ทำให้องค์หญิงอวี๋อิงรีบดึงสวนตามสัญชาตญาณ เสมือนชักเย่อสายยาง ยิ่งเหนี่ยวนำแย่งกันดึงเท่าไหร่ แรงดีดที่ก่อเกิดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
เซียถงแสยะยิ้มมุมปาก ปล่อยมือออกจากแส้ที่ถูกขึงจนตึงในทันใด แส้ยาวสีดำดีดสวนเข้าใส่องค์หญิงอวี๋อิงโดยตรง ด้วยความเร็วแรงประดุจมังกรกลางห้วงเวหาสะบั้นโจมตี
อาศัยความเร็วปานนั้น องค์หญิงอวี๋อิงหลบไม่ทัน ถูกแส้ฟาดใส่แขนขวาลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’ แขนเสื้อยาวรุ่งริ่งเป็นเส้น เนื้อหนังฉีกแตกกลายเป็นแผลเหวอะสีแดงยาว เลือดรินไหลออกมาเป็นสายหนึ่ง หยดลงพื้นต่อเนื่อง นางกรีดร้องระงมด้วยความเจ็บปวด ถึงขั้นทรุกตัวลงไปคุกเข่ากับพื้น กลัดกุมแขนข้างนั้นเอาไว้
“องค์หญิงยังต้องการอีกสักแผลหรือไม่?”
เซียถงกดสายตาต่ำจับจ้ององค์หญิงอวี๋อิงที่ทรุดลงกับพื้น เค้นน้ำเสียงเย็นชาเคลือบจิตสังหารอันน่าสะพรึงขุมหนึ่งเอาไว้ ตราบเท่าที่อีกฝ่ายยังไม่เข็ดหลาบ นางก็ไม่รังเกียจเช่นกันที่จะสร้างบาดแผลเพิ่มให้ อย่างไรเสีย องค์รัชทายาทไป๋หลี่เย่ นางก็เล่นเอาเจียนตายมาแล้ว กับแค่องค์หญิงอีกสักคน เซียถงหรือจะไม่กล้า?
“นังสารเลว! ข้าจะฆ่าแก!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงเป็นถึงองค์หญิงแห่งจักรวรรดิตงหลี่ มีที่ไหนเคยได้รับความคับข้องใจปานนี้? คิดได้ดังนั้นนางหยิบแส้สีดำขึ้นจากพื้นทันที วาดแขนขึ้นเตรียมฟาดใส่ ในแก้วตาเสมือนพ่นไฟออกมาได้ ระดมพลังลมปราณกระแสใหญ่ชักนำสู่แส้ในมือ เฆี่ยนใส่ทางเซียถงโดยตรง
เพียงยกมือกำลังหวดใส่ สายตาคู่นั้นของนางก็บังเอิญสบเข้ากับสายตาคู่เย็นเยียบของเซียถง เบื้องลึกสุดใจพลันรู้สึกเย็นยะเยือกสะท้านทรวงโดยไร้เหตุผล แส้ในมือถึงกับแข็งค้างกลางอากาศ ทำไมกัน? เห็นได้ชัดแจ้ง อีตัวตรงหน้าเป็นเพียงอสุรกายอัปลักษณ์ตัวหนึ่งแท้ๆ แต่ไฉนองค์หญิอย่างข้าถึงต้องรู้สึกกลัวมันด้วย?
“นังสารเลว! รอก่อนเถอะ! ข้าจะขอให้เสด็จพ่อดูแลเจ้าอย่างดีเลยค่อยดู!!”
ปะทะสายตากับเซียถงสักครู่ ไป๋หลี่อวี๋อิงลังเลใจ ก่อนในท้ายที่สุดจะถอนแส้ออกไปอย่างรู้งาน กระทืบเท้าใส่อารมณ์ด้วยความโกรธจัดอยู่สองสามที และจากไปทั้งความโหโหสุดขีดแบบนั้น
ดูเหมือนว่า องค์หญิงนางนี้จะไม่ใช่พวกโง่เง่าไร้สมองเลยซะทีเดียว อย่างน้อยก็รู้จักชั่งใจ ประเมินถึงความแข็งแกร่งของศัตรู และเลือกที่จะอดทนอดกลั้น และไปหาความช่วยเหลืออื่นเพื่อให้ตนอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ
เหลือบสายตามองดูสระบัว ธารโลหิตเหล่านั้นกระจายไปทั่วทั้งสระ ประหนึ่งว่าดอกบัวโลหิตเหล่านั้นได้ลิ้มรสเลือดสดจนยิ่งบานสะพรั่ง โอนเอนพลิ้วไหวตามสายลม ทรงเสน่ห์สวยงามยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามแต่ ใครบ้างจะรู้ว่าภายใต้สระบัวอันงดงามปานนี้จะมีกองกระดูกมนุษย์อยู่มากมาย!
เซียถงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เดินจากสระบัวออกไป ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพานกลับไปฝากเก่า ก็พบไป๋หลี่หานที่กำลังยืนเชยชมสระบัวอยู่กลางสะพาน สองมือไพล่หลัง ยังคงมาในหน้ากากสีเงิน ประกายสายตาสว่างไสวใสบริสุทธิ์
เซียถงเหลือบสายตามองเล็กน้อยอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเดินผ่านหลังเขาไป แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นว่า
“เมื่อครู่เจ้าเฆี่ยนใครไปงั้นรึ?”
“ใครล้ำเส้นข้า มันผู้นั้นควรชดใช้!”
เซียถงยังคงเดิมหน้าต่อไปไม่หยุด
“นางเป็นถึงธิดาคนโปรดของฝ่าบาทเชียว”
ไป๋หลี่หานกล่าวขึ้นอีกครา
“อ่ะห่ะ แล้วอย่างไร?”
เซียถงหาได้สนใจไม่เลย ในเมื่อนางกล้าทำถึงปานนั้นและยังกล้าทำในอีกหลายสิ่งอย่างมากกว่านี้ แล้วมีเหตุผลอะไรที่นางยังต้องกลัวสาวน้อยเอาแต่ใจนั่น?
“แล้วสำหรับคนที่เคยช่วยเจ้าล่ะ? จะปฏิบัติต่อเขาอย่างไรรึ?”
ชายที่ทยืนอยู่เบื้องหลังเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเรียบนิ่ง
ฝีเท้าของเซียถงหยุดชะงักนิ่ง เหมือบสายตามองย้อนกลับไปยังไป๋หลี่หาน
“ข้าช่วยเจ้ามาสองสามคราแล้วกระมัง? แต่ก็ยังคิดที่จะฆ่าแกงกันอยู่รึ?”
ไป๋หลี่หานหันศีรษะมาเข้าสบตากับเซียถง
เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายงดงามของชายคนนั้น นางก็นึกถึงวันนั้นที่อีกฝ่ายเคยช่วยเอาไว้ แต่นางดันเข้าใจผิดคิดไปเองว่า อีกฝ่ายมีแผนต้องการจะขโมยคัมภีร์วรยุทธลับ สีหน้าของเซียถงคลายอ่อนลงเล็กน้อย เงยมองดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์กล่าวว่า
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ในไม่ช้าก็เร็วย่อมชดใช้คืนให้แน่นอน ขอลา”
กล่าวจบนางก็หมุนตัวเดินจากซุ้มประตูออกไป
“เจ้าชดใช้คืนให้ข้าแล้ว”
ไป๋หลี่หานคลี่ยิ้มอ่อน ตะโกนไล่หลังกลับไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียถงหยุดมองอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง เลิกคิ้วเล็กน้อยเจือแววสงสัย
ไป๋หลี่หานส่งยิ้มอ่อนกลับไปให้ เรียวสายคู่เรียวยาวระหง ทันใดนั้นพลันหรี่แคบ กล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นหนึ่งส่วนว่า
“จุดตันเถียนของเจ้าเพิ่งฟื้นคืนได้ไม่นาน แต่ไฉนระดับลมปราณถึงเพิ่มขึ้นพรวดพราดปานนี้? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…มีคนนอกคอยให้ความช่วยเหลือเจ้าจริงๆ?”
คำกล่าวของเซียถงต่อฝ่าบาทในครานั้นรู้กันแค่เฉพาะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ณ วันนั้น แต่หลายคนก็ยังมีข้อสงสัยมากมายอยู่ภายในใจเกี่ยวกับเฒ่าประหลาดท่านนั้นที่เป็นถึงเซียนโอสถในตำนาน?
นี่เป็นความจริงแน่รึ?
เซียถงหรี่ตามองสวนคืนกลับไป เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างรู้ทันกล่าวว่า
“หากตอบคำถามนี้ ก็ถือว่าชดใช้หนี้บุญคุณแล้วกระมัง?”
ไป๋หลี่หานพยักหน้า
“ได้!”
เซียถงพยักหน้าตอบ ริมฝีปากปริออกเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า
“มี”
ไป๋หลี่หานไม่กล่าวอันใดต่อ แต่นัยน์ตายังคงสั่นไสว เห็นได้ชัดว่า เขายังไม่เชื่อที่นางพูดมา