ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 567 ลาก่อน! ไป๋หลี่หาน (1)
ตอนที่567 ลาก่อน! ไป๋หลี่หาน (1)
ตอนที่567 ลาก่อน! ไป๋หลี่หาน (1)
พริบตาที่สัตว์วิญญาณทั้งห้าตนถูกเซียถงเรียกอัญเชิญออกมา กลุ่มทหารม้าตงหลี่เหล่านั้นต่างตื่นตกใจกันอย่างมาก พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า กระทั่งตอนที่นางได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ยังสามารถเรียกอัญเชิญสัตว์วิญญาณออกมาได้!
“ฆ่ามัน!”
เซียถงเปล่งเสียงกู่คำรนบัญชา สัตว์วิญญาณใต้อาณัติทั้งห้าตนพุ่งโจมตีใส่ในทันที แยกเขี้ยวแหลมกัดไปที่เหล่าทหารม้าตงหลี่อย่างกระหายคลั่ง
สถานการณ์ตาลปัตรผันเปลี่ยน ก่อเกิดเป็นความชุลมุนวุ่นวายขึ้นฉากหนึ่งทันที
เป็นฝ่ายสัตว์วิญญาณทั้งห้าที่โรมโรงเปิดฉาก พุ่งตะปบใส่ม้าศึกของทหารเหล่านั้นจนเนื้อคอขาดกระจุย ธารเลือดแดงฉานสาดกระเซ็นไร้ทิศทาง ประดับคู่เสียงกรีดร้องของเหล่าบรรดาชายชาติทหารอย่างทรมานเจ็บปวด
แต่ยิ่งสัตว์วิญญาณทั้งห้าบุกตะลุยโจมตีมากเท่าไหร่ สีหน้าเซียถงก็ยิ่งซีดเผือดลงจนเห็นได้ชัด
กล่าวคือ หากต้องการควบคุมบัญชาสัตว์วิญญาณที่ตนเองทำพันธสัญญา มันจำเป็นจะต้องใช้พลังลมปราณเป็นตัวกลาง แต่ตอนนี้ ร่างกายเซียถงแหดเหือดแทบไม่หลงเหลือพลังลมปราณใดๆแล้ว จะทำได้ก็เพียงแผดผลาญแก่นแท้โลหิตเพื่อใช้ทดแทน ดังนั้นแล้ว ภายใต้สถานะที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของนาง หากไม่ระมัดระวัง สัตว์วิญญาณเหล่านี้อาจย้อนมาแว้งกัดนางได้ และอีกหนึ่งจุดอ่อนสำคัญคือ เวลาเรียกใช้สัตว์อสูรระดับสูง จำต้องใช้สมาธิในการควบคุมที่สูงตามไปด้วย ซึ่งนางจำต้องตกสู่สภาวะหยุดนิ่งไปชั่วจังหวะหนึ่ง
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่นางตัดสินใจไม่เรียกใช้อัญเชิญพวกมันออกมาช่วยเหลือในตอนที่อยู่ในพระราชวังอี้เฉิง เพราะสถานการณ์ในขณะนั้นนับว่าสุ่มเสี่ยงเกินไป มีศัตรูลอบเร้นอยู่รอบกาย หากเผลอไผลแม้แต่นิดเดียวอาจถูกลอบโจมตีได้ ดังนั้น หากต้องมัวแต่ระแวงซ้ายระแวงขวาระหว่างควบคุมสัตว์วิญญาณ ไยถึงไม่ออกโรงเข้าสัประยุทธ์เองเลยเสียล่ะ!
ยิ่งฝืนใช้เผาผลาญแก่นแท้โลหิตในกายมากเท่าไหร่ เซียถงก็ยิ่งใกล้ถึงขีดจำกัดที่ตัวนางจะรับไหวแล้ว! คู่เข่าของนาวงร่วงตกกระแทกพื้นอย่างแรง พ่นเลือดแดงสดออกมาคำใหญ่ และนี่เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์วิญญาณทั้งห้าของนางขย้ำสังหารทหารตงหลี่นายสุดท้ายลง!
ฮูหยินหลี่ไม่เคยพบเจอกับภาพฉากโศกนาฏกรรมน่าสยดปานนี้มาก่อน และนางก็หวาดผวาจัดจนขวัญกระเจิงหนัก เมื่อกวาดสายตาแช่มเห็นกองซากศพของเหล่าทหารตงหลี่ที่โดนสัตว์วิญญาณฉีกกระชากจนเละเทะเกลื่อนทั่วบริเวณ นางก็ถึงกับแข้งขาอ่อนแรงฉับพลันทรุดร่วงลงกับพื้น ก่อนจะอ้วกอาเจียนออกมาเนื่องจากทนดูต่อไปไม่ไหว
“กลับมา!”
เซียถงเอ่ยเรียกพวกมันอย่างอ่อนแรง ส่งร่างของสัตว์วิญญาณทั้งห้าตนแปรสภาพกลับเป็นดวงแสงสีขาวสว่างไสว บินกลับเข้ามาสู่ห้วงมิติสัตว์อสูรของนาง และรอยสักรูปอสูรสีดำทมิฬทั้งห้าตนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนแผ่นหลังของนาง
โดยปกติแล้ว ผู้ที่ครอบครองตราผนึกระดับจักรพรรดิฟ้าขึ้นไปไม่จำเป็นต้องสลักลวดลายสัตว์อสูรลงบนร่างกาย แต่หลังจากที่ได้เห็นจางจูเลือกที่จะสลักพวกมันไว้ทั่วร่างกาย เซียถงก็พึ่งจะมาทำความเข้าใจได้ทีหลังว่า ภายใต้สถานการณ์คับขันเร่งด่วน การสลักพวกมันไว้บนร่างกายโดยตรงย่อมเรียกใช้ได้เร็วกว่าการเปิดวงแหวนอัญเชิญมาก ดังนั้น นางจึงคัดเลือกพวกมันจำนวนหนึ่งนำมาสลักลวดลายไว้บนแผ่นหลังของตน
ในเวลานั้นเอง พลางเห็นกลุ่มม้าศึกอีกจำนวนหนึ่งควบขับเข้าใกล้ทางนี้ เซียถงเห็นได้ดังพลันแสยะยิ้มมุมปากอย่างขมขื่นใจ ตอนนี้นางแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว จะเรียกใช้พวกมันอีกครั้งก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า นางจะควบคุมพวกมันใช้เชื่องไม่แว้งกัดเจ้าของได้หรือไม่
ฮูหยินหลี่วิ่งปรี่วิ่งไปหยิบกระบี่เล่มหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แต่เพียงว่า เมื่อม้าศึกกลุ่มนั้นตรงเข้ามาใกล้ ก็คล้ายจะปรากฏใบหน้าที่แสนคุ้นเคยเผยแสดงออกมา
แท้ที่จริงเป็นกลุ่มของโม่ซวนที่ขโมยม้าศึกจากพวกทหารตงหลี่ที่ไล่ล่ามาทางนี้ เมื่อเขากวาดสายตามองเศษซากศพอันไม่สมประกอบตามพื้น เขาเองก็อดรู้สึกคลื่นไส้มิได้เช่นกัน
“นายหญิง!”
เห็นว่าเซียถงทรุดฮวบอ่อนแรงอยู่คาพื้น โม่ซวนรีบโบกมือตะโกนเรียกเจือน้ำเสียงเป็นกังวล เขายังหาได้ทราบไม่ว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในพระราชวังอี้เฉิงก่อนหน้านี้ เขารีบกระโดดลงจากหลังม้าทันทีและถอดเสื้อคลุมห่มให้นาง
“ขอประทานโทษด้วยที่มาช้า!”
เขาสำรวจมองอาการบาดเจ็บทั่วร่างกายของนายหญิงตนก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะกรณีใด ชีวิตนายหญิงจะต้องมาก่อนเสมอ! เพราะหากพินิจพิจารณาจากทัศนคติความสำคัญที่นายท่านมีต่อนายหญิง โม่ซวนมั่นใจยิ่งยวด การที่ตนตัดสินใจมาช่วยนางก่อนเป็นอันดับแรก ถือเป็นเรื่องสมควรและถูกต้องแล้ว
แต่ขณะเดียวกัน เซียถงพลันโบกมือปัดเชิงว่าไม่ต้องเข้ามาใกล้ และกล่าววาจาแสนอ่อนแรงขึ้นว่า “ปล่อยข้าอยู่คนเดียวเถอะ ราชาหมาป่าสวรรค์กำลังรับศึกหนักอยู่ภายในพระราชวัง ทั้งพวกตงหลี่ทั้งเย่หลีเทียนล้วนอยู่กันพร้อมหน้า เจ้าไปช่วยอีกฝ่ายเถอะ”
โม่ซวนได้ยินเช่นนั้นก็ปั้นหน้าฉงนงุนงง ขมวดคิ้วกล่าวขึ้นว่า
“ข้าน้อยควรพาท่านกลับไปส่งยังสถานที่ปลอดภัยก่อน”
ยังไงเขาก็ควรช่วยนายหญิงของตนก่อนอยู่ดี จะปล่อยทิ้งกลางทางเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
เซียถงกตอบปฏิเสธทันควัน ทั้งยังตะคอกไล่ไปอีกว่า
“ทิ้งม้าให้ข้าสักตัวเป็นพอแล้ว! พวกเจ้ารีบไปที่นั่นโดยเร็วเถอะ!”
ระดับน้ำเสียงของนางหาใช่จะดังชัดเจนนัก กล่าวคือ กระทั่งนายหญิงของตนยังมีสภาพปางตายเช่นนี้ แสดงว่า สถานการณ์ของนายท่านคงเข้าขั้นวิกฤตแล้ว! โม่ซวนนึกได้เช่นนั้นก็ร้อนใจหนัก รีบหันไปขอให้ใครสักคนนำมาม้าให้ตัวหนึ่ง และกัดฟันกล่าวว่า
“นายหญิง โปรดระวังตัว!”
จากนั้นโม่ซวนก็นำกลุ่มคนที่เหลือมุ่งตรงไปในพระราชวังทันทีเพื่อเข้าช่วยเหลือ
กองฝุ่งตลบเริ่มเหินห่างไกลออกไปพร้อมกับเงาผู้คนที่จางหายลับสายตา ยามนั้นเซียถงกับฮูหยินหลี่จึงค่อยขึ้นขี่หลังม้า ยกเท้าขึ้นเตาะกระตุ้นที่ท้องมันเล็กน้อย แล้วค่อยควบเดินมุ่งหน้าจากไป
ขณะที่ออกไปนั้น ยังมีบางครั้งที่เซียถงลอบชำเลืองศีรษะมองย้อนกลับหา ร่องรอยความลำบากใจเปี่ยมล้นอยู่ในแววตาคู่นั้น ไม่ว่าไป๋หลี่หานจะเข้าใจผิดในตัวนางมากมหันต์ปานใด หรือไม่ว่าความเชื่อใจที่เขามีต่อนางเสมอมาแท้จริงแล้วจะเปราะบางปานใด แต่นางก็หาได้รู้สึกโกรธเกลียดเขาไม่เลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางตั้งใจจะช่วยเหลือเขาอย่างลับๆเท่าที่ทำได้ อย่างการยิงพลุส่งสัญญาณ หวังให้กลุ่มของโม่ซวนย้อนกลับมาเสริมทัพช่วยเหลือเขาอีกแรง
ไป๋หลี่หาน ข้า…เซียถงคนนี้ไม่เคยปันใจให้ใครอื่น ดินแดนอี้เฉิง ลาก่อน! ไป๋หลี่หาน…ลาก่อน!
ขอให้โชคดี!
เซียถงควบม้าขับทะยานออกไปทั้งน้ำตาสีใสที่รินหยดไปตามสายลม ก่อนจะพัดผ่านตกลงสู่บนผืนดินแห่งอี้เฉิงแห่งนี้…
“ถงเอ๋อร์ พวกเราจะไปไหนรึ?”
ฮูหยินหลี่อดใจเอ่ยถามขึ้นมิได้
เอ่อ…นั่นสิ! นี่ข้ากำลังจะไปไหน? เซียถงถึงกับสะอึกนิ่งไปครู่ใหญ่ ผืนพิภพแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก จะมีแห่งหนใดต้อนรับนางบ้างหรือไม่หน่อ? ในตอนนี้จักรวรรดิตงหลี่และดินแดนอี้เฉิงกลายมาเป็นสถานที่ต้องห้ามไปแล้ว นางไม่สามารถย้อนกลับไปที่เหล่านั้นได้
หรือจะเป็นซีฉิน? แต่องค์จักรพรรดิซีฉินเองก็ปรารถนาจะช่วงชิงบัญชาสี่พิภพไปจากนาง กล่าวคือ เสาะหาทั่วทุกแห่งหนในทวีปเทียนหลางยามนี้ ไม่มีใครไม่ทราบว่า บัญชาสี่พิภพ ของวิเศษฟ้าดินที่สามารถกุมอำนาจเหนือปฐพี บัดนี้อยู่ในการครอบครองของเซียถง
ทุกคนต่างพร้อมที่จะหักหลังแทงข้างหลังนางเพื่อแย่งชิงมันมา!
ดูเหมือนว่าตอนนี้ ทั่วทุกซอกทุกมุมในทวีปเทียนหลางทั้งหมดจะไม่ปลอดภัยอีกต่อ เซียถงไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้แล้ว!
ในกรณีดังกล่าว นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ายถิ่นฐาน โบกมือลาทวีปเทียนหลางแห่งนี้ไป แล้วนอกจากทวีปเทียนหลางแล้วยังมีที่ใดหลงเหลืออยู่อีกล่ะ? เซียถงควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งอันแสนไกลโพ้น ยามรุ่งอรุณจรัสฟ้าเฉิดฉาย เงาร่างของนางก็เริ่มทิ้งห่างดินแดนอี้เฉิงออกไปไกลขึ้นและไกลขึ้น พร้อมคำบอกล่าสุดท้ายแด่ไป๋หลี่หาน!
ลาก่อน ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้าอย่าได้พบเจอกันอีก! จากนี้ต่างคนต่างไปมิขอยุ่งเกี่ยว!
โม่ซวนนำกำลังทหารส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือจากคุกระหว่างทางได้กว่าพันนาย และองครักษ์หน่วยเงาบุกเข้าร่วมสมรภูมิเสริมทัพ และในที่สุดก็สามารถกู้สถานการณ์กลับมาได้บ้างส่วน ไป๋หลี่หานสามารถฝ่าวงล้อมสังหารหนีออกมาได้
องค์จักรพรรดินั่งอยู่บัลลังก์สีทองคำ เหม่อมองคนพวกนี้ลาจากไป เขาเกิดพิโรธเดือดดาลขึ้นในบัดดล พร้อมชี้นิ้วตะโกนดุด่าเย่หลีเทียนด้วยความหงุดหงิดว่า
“รีบส่งคนไปตามล่ามันเร็ว! เจ้าโง่นี่! ยังไม่รีบทำตามที่ข้าสั่งอีกรึ!! เจ้า…”
ทว่าก่อนที่องค์จักรพรรดิตงหลี่จะเอ่ยจบเสียด้วยซ้ำ พลันปรากฏคมกระบี่สีเงินแวววับเป็นประกายทาบจ่ออยู่บนคอของเขาแล้ว
“เจ้า!? หลีเทียน เจ้าจะทำบ้าอะไร!? หรือคิดจะกบฏต่อข้าผู้นี้งั้นรึ!?”
องค์จักรพรรดิตงหลี่ถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือด เขาหรือจะคิดฝันว่า เย่หลีเทียนจะหันอาวุธใส่ตนในเวลาเช่นนี้
เย่หลีเทียนแสยะยิ้มชั่วร้ายฉีกกว้าง แผดเสียงหัวร่อกระหยิ่มเยาะ
“ถามข้าหรือว่าทำบ้าอะไร? ก็ไม่เห็นรึไงไอ้โง่! ทำในสิ่งที่ควรทำยังไงล่ะ!!”