ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 57 ฝ่าบาทหาใช่ธรรมดา
ตอนที่57 ฝ่าบาทหาใช่ธรรมดา
“ความเป็นจริงแล้ว ที่จุดตันเถียนของข้าถูกรักษาหายจนเป็นปกติเพราะความช่วยเหลือจากคนนอก ทั้งนี้ยังมีผลพวงทำให้ระดับลมปราณของข้าเพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดด”
เซียถงสบตาอีกฝ่าย สีหน้าท่าทางดูสงบนิ่ง
ไป๋หลี่หานถามไปว่า มีคนนอกมาช่วยเหลือหรือไม่ ซึ่งนี่มิได้เอ่ยคำว่า เฒ่าประหลาดเลยสักคำ และแม้เสี่ยวฮั่วจะเป็นเพียงร่างวิญญาณ แต่จะอย่างไร เซียถงก็ถือว่า มันเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่เคยอยู่ในโลกภายนอก ดังนั้นแล้วนางไม่ได้โกหกเลยกแม้นสักคำเดียว
“เจ้าได้รับถ่ายทอดวรยุทธ์กับเขาด้วยหรือไม่?”
ไป๋หลี่หานเอ่ยถ่ามขึ้นอีกครา สำหรับเรื่องวรยุทธ์ของเซียถง เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งกว่า สิ่งนี้คือมรดกตกทอดของตระกูลหลี่มากกว่าที่จะเป็นของเฒ่าประหลาดที่นางกล่าวอ้าง
“รู้สึกว่าข้าจะเคยตอบคำถามนี้ไปแล้ว ถึงจะถามซ้ำคำตอบยังคงเดิม ฉะนั้นข้าไม่จำเป็นต้องตอบเป็นครั้งที่สอง”
สายตาคู่สวยของเซียถงทอแสงประกายเย็นชาออกมา ภายในใจกำลังเย้ยเยาะอย่างลับๆ หางจิ้งจอกของเจ้าหมอนี่เองก็กำลังจะเผยออกมาเช่นกัน ปรากฏว่าที่ช่วยเหลือมาตลอด อาจเป็นเพราะความลับที่อยู่ในมือแม่ของนางก็เป็นได้
ดูจากท่าทางแล้ว ไป๋หลี่หานยังคงเชื่อมาตลอดว่าความลับของตระกูลหลี่ถูกเก็บงำอยู่ในมือแม่ของนาง ดังนั้นเขาจึงยอมเคลื่อนไหวช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายนี้ก็เพื่อสร้างหนี้บุญคุณแก่นางให้ชดใช้ แต่ความลับเรื่องคัมภีร์วรยุทธ์ลับนี้ ต่อให้ต้องตายนางก็ไม่มีวันปริปากบอกอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าเขาจะมองผ่านอ่านความคิดของเซียถงออกเช่นกัน ไป๋หลี่หานพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่กระแทกกระทั้น แววตาเรียวยาวฉายร่องรอยความหยิ่งผยองปรากฏออกมา เขาสะบัดแขนเสื้อไปทีหนึ่ง ปริปากกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า
“กับแค่วรยุทธ์ธรรมดาทั่วไปในมือเจ้าชิ้นหนึ่ง สำหรับข้าผู้นี้หาใช่ของหายากอันใด!”
อืม ถ้าหาไม่ยาก ก็ฝากบอกคนของเจ้าด้วย ให้เลิกตามตอแยกันเสียที แล้วไปหาวงรยุทธชิ้นอื่นไปเล่นเสียแล้วกัน
เซี่ยถงไม่พูดไม่จาอันใด และหันหลังเดินจากไป
เมื่อกลับมาถึงท้องพระโรงในวังหลวง ก่อนที่ฝ่าบาทจะนั่งลงบนบัลลังก์สีทองอร่าม ไป๋หลี่อวี๋อิงซึ่งเดินตามมาติดๆ ก็ตรงเข้ามา ตามหลังมาด้วยเย่หลีเทียนและคณะขุนนางฝ่ายตน
เมื่อเห็นเซียถงยืนรออยู่เบื้องหน้า ไป๋หลี่อวี๋อิงก็ขมวดคิ้วแน่น เพลิงโทสะปะทุเดือดดาลขึ้นในทันใด นางเปล่งเสียงตะโกนลั่นขึ้นทันทีว่า
“เสด็จพ่อ! นังอัปลักษณ์นี่แหละที่ทำร้ายร่างกายข้าจนสาหัส! เสด็จพ่อต้องลงโทษมันแทนลูกคนนี้ด้วย!”
เซียถงปรายหางตามองไป๋หลี่อวี๋อิงเจือแววเย็นชา ดูอีกฝ่ายแสดงละครต่อหน้าฝ่าบาท
ฝ่าบาทหันไปมองบริเวณแขนเสื้อของป๋หลี่อวี๋อิงที่ขาดลุ่ย ก่อนจะหันไปมองเซียถงกล่าวว่า
“แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ขอโทษกันก็จบ”
ทะเลาะกันเล็กน้อย แค่คำขอโทษก็เพียงพอ ไยต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายใหญ่โต
“เสด็จพ่อ! เราจะปล่อยมันไปได้อย่างไร? นังอสุรกายอัปลักษณ์ ทุบตีข้าอย่างโหดเหี้ยม จะเว้นโทษปล่อยกลับไปทั้งแบบนี้? โทษที่มันสมควรได้รับข้าจะเป็นคนบัญญัติเอง! และโทษของมันคือ การโดดลงสระบัวโลหิตเพื่อเป็นอาหารแก่สัตว์ประหลาดในนั้น!”
ฟังสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวออกมา ไป๋หลี่อวี๋อิงคัดค้านสุดหัวใจ รีบคว้าจับแขนเสื้อของผู้เป็นพ่อเขย่าไปมา กระทืบเท้าลงพื้นสลับซ้ายขวาดังตึงตัง ทำตัวราวกับเด็กนิสัยเสีย
เมื่อคนทั้งหลายในท้องพระโรงได้ยินว่า สัตว์ประหลาดในสระบัวโลหิต ทั้งเย่หลีเทียนและไป๋หลี่หาน ต่างมีปฏิกิริยาในทันใดและเผยแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา ส่วนบรรดาขุนนางที่อยู่โดยรอบ สีหน้าการแสดงออกต่างแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน แม้ว่า ทุกคนจะทราบดีว่า องค์หญิงนางนี้เก็บสัตว์ประหลาดกินคนเลี้ยงไว้ในสระบัวโลหิต แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่นางพูดถึงวิธีให้อาหารมัน
ฝ่าบาทหันศีรษะจับจ้องไปยังไป๋หลี่อวี๋อิง สีหน้าแววตาเฉียบขาดปนเคร่งขรึมอยู่หนึ่งส่วน
ไป๋หลี่อวี๋อิงถึงกับหดคอลงที่เผชิญหน้ากับสีหน้าและสายตาแบบนั้น นางทราบดี หากปริปากอะไรเพิ่มเติมในเวลานี้ อาจจะทำให้เสด็จพ่อมีโทสะได้ ดังนั้นจึงปล่อยมือออกจากแขนเสื้ออีกฝ่าย ทำได้แค่ยืนนิ่งๆ เม้มปากแน่น เชิดสีหน้าไม่พอใจออกมา ก่อนหันไปจ้องตาเซียถงเขม็งด้วยความแค้นอาฆาตยิ่ง
เซียถงสังเกตเห็นท่าทางการแสดงออกของทุกคนที่เปลี่ยนไปดี แสยะยิ้มสีเย็นภายในใจอย่างลับๆ ก่อนจะก้าวออกไป ประสานมือกล่าวกับฝ่าบาทพร้อมสีหน้าเศร้าสร้อยว่า
“ทูลฝ่าบาท เหตุความเป็นมาระหว่างหม่อมฉันกับองค์หญิงกลับมีบางส่วนยังไม่แถลงไข หม่อมฉันบังเอิญไปเห็น สาวรับใช้ในวังพลัดตกลงสระบัวโลหิต ดังนั้น ข้าจึงรีบมุ่งหน้าเข้าไปช่วยเอาไว้ แต่กลับสายเกินไป มีสัตว์ประหลาดคล้ายปลายักษ์เข้ามาเขมือบนางไปเสียก่อน พอองค์หญิงอวี๋อิงเห็นข้าก็บังเกิดความไม่พอใจ คว้าแส้ขึ้นมาฟาดข้าโดยไม่ไถ่ถามถึงเหตุผลใดๆ ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วย”
ขณะที่เอ่ยกล่าว นางก็เผยแสดงมุมเสื้อที่มีคราบเลือดของสาวรับใช้ที่ตกสระบัวไป บังเอิญว่าตอนยื่นมือไปช่วย เนื่องจากแรงเขมือบของสัตว์ประหลาดยัก์ จึงทำให้เลือดสดกระเซ็นใส่
เมื่อได้ยินและเห็นหลักฐานดังนั้นของเซียถง สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง อันที่จริง มีหรือที่พวกเขาเหล่านี้เองจะไม่ทราบว่า องค์หญิงอวี๋อิงเลี้ยงเจ้าสัตว์ประหลาดในสระบัวโลหิตด้วยอะไร? ขึ้นชื่อว่า ตัวกินคน แถมในแต่ละเดือนมักจะมีสาวรับใช้หายสาบสูญไปอย่างปริศนา นี่ยังไม่ชี้ชัดพออีกรึ? เพียงแต่ว่าไม่มีใครกล้าปริปากกล่าวออกมาเท่านั้นเอง
แต่จะอย่างไร ตอนที่ไป๋หลี่อวี๋อิงวิ่งมาฟ้องฝ่าบาทตอนแรก นางกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องสาวรับใช้ที่พลัดตกสระบัวแต่อย่างใด กล่าวเพียงว่า มีหญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์ปรากฏตัวขึ้นมา และคว้าแส้ขึ้นมาเฆี่ยนตีนางไม่หยุดหย่อน
ดังนั้นแล้ว พอไป๋หลี่อวี๋อิงได้ยินคำชี้แจงของเซียถง นางก็โกรธจัดอย่างมาก
พอได้ยินว่าสาวรับใช้เพิ่งพลัดตกสระบัวโลหิตไปในวันนี้ มันยิ่งตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายเข้าไปใหญ่ แล้วต่อจากนี้ พวกขุนนางจะมองนางอย่างไร? แล้วผู้คนภายในเมืองจะแอบนินทานางว่ายังไง? และที่สำคัญที่สุด…แล้วใครยังจะกล้าส่งลูกสาวเข้าวังหลวงมาเป็นทาสของนางอีก?
ฝ่าบาทที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับตบพยักยาวบนบัลลังก์เสียงดังปัง ตะคอกใส่ไป๋หลี่อวี๋อิงว่า
“ตอนแรกเจ้ามาหาข้า กล้าดียังไงไปใส่ความว่าอีกฝ่ายรังแกเจ้าก่อน! ข้าผู้นี้ไม่เคยสอนเจ้าให้โกหก! มารยาทที่ร่ำเรียนมาคงไม่เข้าหัวเลยกระมัง! รีบไสหัวกลับไปตำหนัก นั่งพินิจพิจารณาถึงความผิดที่ก่อขึ้นในวันนี้เสีย!”
“เสด็จพ่อ! มันเป็นฝ่ายทำร้ายข้างจริงๆ! ยิ่งตอนนี้ยังทำตัวลำพองตน กล้าตะโกนใส่หน้าข้าดังฉอด เสด็จพ่อยังจะปล่อยมันไว้อีกงั้นรึ?”
เสด็จพ่อคนนี้เคยขึ้นเสียงใส่นางที่ไหนกัน? ดวงตาของไป๋หลี่อวี๋อิงกลายเป็นสีแดงก่ำ เห่อร้อนขึ้นมาทันใด ตั้งแต่เด็กจนโต อย่าว่าแต่ขึ้นเสียงเลย กระทั่งชักสีหน้าไม่พอใจยังไม่มี แต่พอมาในวันนี้ นางโดนนังอสุรกายอัปลักษณ์รังแก แต่ท่านพ่อกลับเข้าข้างมัน! ความเกลียดชังอาฆาตต่อเซียถงในวันนี้ มันได้ฝังลึกอยู่ภายในใจนางจนตราตรึง
“รีบกลับไปยังตำหนักเริงม่วงเสียบัดนี้! แล้วข้าจะไปหาเจ้าในยามดึก สั่งสอนเจ้าสักครา!”
เมื่อเห็นไป๋หลี่อวี๋อิงดวงตาแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้ สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ดูแผ่วอ่อนลงหนึ่งส่วน ตะคอกสั่งให้กลับไปก่อน
ไป๋หลี่อวี๋อิงขมวดคิ้วจ้องเซียถง แววตาเดือดดุเสมือนมีไฟพ่นออกมา หมุนตัวกลับออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เซียถงเฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายเดินจากออกไปลับสายตา มุมปากกระตุกเชิดขึ้นเล็กน้อย
พอเห็นว่าไป๋หลี่อวี๋อิงจากออกไปแล้ว ฝ่าบาทก็หันมากล่าวกับเซียถงว่า
“เซียถง เจ้าเองก็คงสงสัย ว่าไฉนถึงไม่สั่งให้ใครสักคนส่งมอบเห็ดหลินจือมรกตไปให้ แต่กลับเรียกเจ้าเข้าวังหลวงให้มารับด้วยตนเอง?”
เซียถงพยักหน้า
“หม่อมฉันรู้สึกสับสนเล็กน้อย”
“ข้าได้รับคำเชื้อเชิญจากสี่จักรวรรดิสำหรับงานประลองลมปราณครั้งสำคัญเมื่อเช้านี้ นี่กำลังปรึกษาหารือกับบรรดาขุนนางทั้งหลายเกี่ยวกับการส่งผู้ลงแข่งอยู่”
ฝ่าบาทส่งยิ้มและแววตาเป็นประกายมอบให้แก่เซียถง กล่าวต่อว่า
“จักรวรรดิตงหลี่ จักรวรรดิหน่านเฟิง จักรวรรดิซีฉิน และจักรวรรดิเป่ยฮั่น เราสี่จักรวรรดิจะมีนัดกันจัดงานประลองยุทธ์ทุกๆ ห้าปี และในครั้งนี้ ข้าตั้งใจว่าจะส่งเจ้าไปเข้าร่วมการแข่ง มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
งานประลองยุทธ์ของสี่จักรวรรดิ?
เซียถงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แม้ตอนนี้นางกำลังจะทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงแล้วก็จริง แต่หากให้ควานหายอดฝีมือจากทั้งหมดในจักรวรรดิตงหลี่ มิใช่ว่ามีคนที่แข็งแกร่งกว่านางหรอกรึ?
อย่างเช่น เย่หลีเทียน ไม่ก็ ไป๋หลี่หาน ไม่ว่าใครล้วนแต่แข็งแกร่งกว่านางทั้งนั้น?
ฝ่าบาทเหลือบสายตาปราดมองไปยังเย่หลีเทียนและไป๋หลี่หานอยู่คราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า
“การประลองยุทธ์ของสี่จักรวรรดิ จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์สำหรับฝึกฝนเยาวชนรุ่นใหม่”
ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะมองออกถึงข้อสงสัยภายในใจของเซียถงดี