ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 573 จักรพรรดิโอสถวัยเยาว์ (1)
ตอนที่573 จักรพรรดิโอสถวัยเยาว์ (1)
ตอนที่573 จักรพรรดิโอสถวัยเยาว์ (1)
เสี่ยวฮั่วเองยังตะลึง! เซียถงในตอนนี้เหนือชั้นไปกว่าเซียนโอสถแล้ว! และทะลวงขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิโอสถได้อย่างน่าเหลือเชื่อ! ถึงแม้จะเพิ่งทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตจักรพรรดิโอสถได้และยังแค่ชั้นต้น ต่อให้ควานหาทั่วทุกซอกมุมในทวีปเทียนหลางตั้งแต่อดีตกาลจวบจนปัจจุบัน คนที่สามารถบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิโอสถมีจำนวนน้อยมากจนสามารถนับนิ้วด้วยมือเพียงข้างเดียว! กล่าวคือ อัจฉริยะเหนืออัจฉริยะในเส้นทางแห่งโอสถ พันปีจะถือกำเนิดมาสักคน!
แต่ไม่น่าเชื่อ เซียถงสามารถบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิโอสถได้แล้วตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตในภายภาคหน้าของนางช่างสดใสอย่างแท้จริง! และบางทีนางอาจเป็นคนแรกและคนเดียวที่สามารถทะลวงขึ้นสู่จุดสูงกว่า…
จึงไม่น่าแปลกใจที่ไฉนเสี่ยวฮั่วถึงได้ตกตะลึงปานนี้!
หลิวซูเองก็ตกใจจนพูดไม่ออกเช่นกัน แต่เห็นเสี่ยวฮั่วตกตะลึงจนถอดสีหน้าไม่เหลือภาพลักษณ์ ซึ่งอาการแบบนี้มันเคยเป็นมาก่อน จึงอดกล่าวเยาะเย้ยขึ้นมิได้ว่า
“ช่างยอดเยี่ยมอะไรปานนี้! เซียถง เจ้าต้องยกความดีความชอบให้เตาหลอมโอสถใบนี้ของข้าด้วย! เพราะมันเป็นถึงเตาหลอมโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าขโมย…”
ทว่าเพิ่งกล่าวออกไปเช่นนั้น จำต้องหยุดพูดพลัน หลิวซูแทบอยากจะกัดลิ้นตาย เพราะมันเผลอไปหลุดปากบรรยายถึงระดับชั้นอันสูงส่งของเตาหลอมโอสถใบนี้ไปเสียแล้ว แน่นอน ทันทีที่เซียถงได้ยินดังนั้น ก็รีบหยิบเตาหลอมโอสถสีทองคำใบนี้ขึ้นมาศึกษาด้วยความสนใจทันที หลิวซูรีบคว้าแย่งกลับคืนอย่างว่องไว และตะคอกใส่ด้วยความหึงหวงว่า
“นี่ของข้า!”
เสี่ยวฮั่วยิ้มแสยะแสนเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ยกศอกขึ้นสะกิดเซียถงเบาๆ หรี่ตาแคบกล่าวเปิดประเด็นขึ้นว่า
“เจ้าเตาหลอมโอสถใบนี้ เป็นถึงยุทธภัณฑ์ระดับศักดิ์สิทธิ์เชียว? ระดับชั้นไม่ควรอ่อนด้อยไปกว่ากระบี่ทัณฑ์ฟ้าเลยมิใช่รึ? แล้วในกระเป่าวิเศษของเจ้ายังมีสิ่งมหัศจรรย์ท้าทายสวรรค์อะไรอีกล่ะ? เอาออกมาให้พวกเราดูหน่อย!!”
“ไม่! ไม่! ไม่มีแล้ว! ในกระเป๋าของข้ามีของแค่นี้แหละ!”
หลิวซูรีบเก็บเตาหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ย่อขนาดกลับเป็นใบเล็กดังเดิมเข้ากระเป๋าวิเศษของตนโดยไว จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นปิดป้องกระเป่าวิเศษกำไว้แน่น ทีท่าการแสดงออกดูหวาดระแวงเพิ่มขึ้นจากเดิมผิดหูผิดตา ดูท่าจะเป็นพวกหวงแหนสมบัติของตัวเองเข้าไส้จริงๆ อึดใจต่อมาจึงกระโดดกลับเข้าไปในห้วงความคิดของเซียถงโดยไว ราวกับต่อให้ต้องตาย มันก็ไม่มีวันออกมาเป็นคำรบสองแล้ว!
เสี่ยวฮั่วระเบิดหัวเราะลั่นจนปวดท้องกับท่าทีหวาดระแวงจนจิตตกของหลิวซู น้ำหูน้ำตาถึงขนาดไหนรินออกมาไม่หยุด นอนกลิ้งเกลือกขำขันไปมาอย่างชอบอกชอบใจ แต่ทันทีที่หูข้างหนึ่งแนบสัมผัสกับแผ่นพื้น รอยยิ้มหัวเราะเริงร่าของมันพลันอันตรธายหายวับในทันที และสีหน้าแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นถนัดตา
“มีอะไรรึ?”
“ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าคนกลุ่มใหญ่!”
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นอีก?”
หลังจากวันนั้น อาศัยความแกร่งกล้าของไป๋หลี่หานกับกลุ่มโม่ซวนที่ตามเข้าสมทบกำลังเสริม พวกกองทัพตงหลี่ควรจะถอนตัวล่าถอยออกไปนานแล้วมิใช่รึ? นับแต่ตอนนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เย่หลีเทียนไม่มีทางกุมศึกเดินทัพบุกไล่ล่าต่อได้นานขนาดนี้ แล้วหากไม่ใช่เย่หลีเทียน แล้วคนกลุ่มนี้คือใคร?
เซียถงรู้สึกฉงนใจงุนงงยิ่งนัก!
เสี่ยวฮั่วหันหน้าสบมองเซียถงเล็กน้อยพร้อมกะพริบตาปริบหนึ่งให้เบาๆ ตัวมันย่อมเข้าใจว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นมันจึงเร่งคิดหาวิธีรับมือ สักครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“พินิจากสุ้มเสียงคนกลุ่มนั้นยังอยู่ค่อนข้างไกลจากเรา และไม่ว่าจะเป็นใครมาบุกมา เราควรตรวจสอบให้จงดีก่อน นายท่าน ระหว่างนี้รีบพานายแม่ของท่านไปซ่อนในที่ปลอดภัยโดยเร็ว จากนั้นท่านก็ตบโอสถระดับเก้าขั้นสูงสุดเม็ดนี้ลงไปเลย และรีบฟื้นฟูพลังลมปราณให้กลับมาเท่าที่จะทำได้ ข้าจะพาจี้จี้ไปลาดตระเวนสอดส่องก่อนสักรอบ ขอดูเสียหน่อยว่า มีเรื่องอะไรกันแน่”
ทันทีที่จี้จี้ได้ยินว่า มีคนกำลังเรียกใช้งาน มันก็กระโดดลงมาจากต้นไม้สูง ยืนสองขาอยู่บนหัวไหล่ข้างหนึ่งของเซียถง พยายามยกศีรษะขนปุยของมันเข้าคลอเคลียใบหน้าเนียนขาวของนาง เชิงว่ากำลังอ้อนวอนไม่ให้เซียถงส่งมันออกไปพร้อมกับเสี่ยวฮั่ว!
เสี่ยวฮั่วรีบยื่นมือไปคว้าตัวจี้จี้ออกจากใบหน้าเซียถงทันควัน
“ทำงาน! ทำงาน! ไปลาดตระเวนกับข้าก่อน!”
จี้จี้รู้สึกไม่พอใจยิ่งยวด แต่เนื่องด้วยอีกฝ่ายมีลำดับศักดิ์สถานะเป็นถึงกิเลนศักดิ์สิทธิ์ มันจึงไม่กล้าห้าวใส่ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องครวญและส่งสายตาบ้องแบ๊วให้เซียถงอย่างน่าสงสารจับใจ
เซียถงครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนพยักหน้าหน้าให้และกล่าวกับเสี่ยงฮั่ว ขณะเดียวกันก็พลางลูบหัวปลอบประโลมจี้จี้ไปพลาง
“ส่งจี้จี้ติดตามเจ้าไปด้วยเป็นดีกว่าจริงๆ ด้วยขนาดตัวที่เล็กจิ๋วของมัน ไม่มีใครสงสัยอะไรแน่นอน”
วางแผนตกลงกันเสร็จสรรพ ทั้งสองก็แยกย้ายกัน พอเซียถงหันมาก็แลเห็นว่า เสี่ยวฮั่วกำลังลากจี้จี้ที่ดูไม่ค่อยจะเต็มใจนักออกไปลาดตระเวน
หลังจากเดินสำรวจอยู่สักระยะ นางก็เสาะพบถ้ำลับในซอกหลืบหน้าผาลึกแห่งหนึ่ง พอเข้ามาถึงภายในนั้นก็เรียกหลิวซูออกมาสั่งกำชับให้ดูแลฮูหยินหลี่
เซียถงไปขุดหิมะกองโตเข้ามาปิดถมบริเวณปากถ้ำให้ดูเนียนสายตาจนมิด จากนั้นก็จุดคบเพลิงติดในถ้ำดวงหนึ่ง มอบโอสถระดับเก้าขั้นสูงสุดเม็ดหนึ่งแก่ฮูหยินหลี่ สิ่งนี้หาใช่โอสถขับพิษที่ใช้รักษาโรคเรื้อรังของนางได้ แต่ก็ช่วยเพิ่มพูมพลังชีวิตในกายนางได้อย่างมหาศาล
หากมีใครบังเอิญมาเห็นคนธรรมดากินโอสถล้ำค่าเช่นนี้เข้าไป มีหวังได้กระอักเลือดตายกันโดยสิ้นแน่นอน!
เพราะนี่คือโอสถปราณสวรรค์ระดับเก้าขั้นสูงสุด หากตีเป็นมูลค่ามหาศาลจนสามารถซื้อเมืองใหญ่ได้ทั้งเมือง! และเนื่องจากเป็นโอสถที่ได้รับการหลอมสร้างขึ้นจากจักรพรรดิโอสถ จึงไร้ซึ่งผลข้างเคียงที่จะตามมาต่อตัวผู้บริโภค กล่าวคือ หากเป็นผู้บำเพ็ญตบะ เมื่อกลืนมันลงไปจะสามารถยกระดับรากฐานพลังความแข็งแกร่งได้อย่างมหาศาล และยังสามารถย่นระยะเวลาทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณชั้นต่อไปได้มากโข แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญชนทั่วไปอย่างฮูหยินหลี่ เมื่อกินเข้าไปก็เหมือนยาชูกำลังชั้นยอดชนิดหนึ่ง
โอสถปราณสวรรค์ระดับเก้าขั้นสูงสุดเม็ดนี้โปร่งแสงเสมือนหยกแก้ว คล้อยหลังที่ฮูหยินหลี่กลืนลงไปได้ไม่นาน นางก็สัมผัสได้ทันทีว่า ทุกลมหายใจที่สูดแช่มลึกลงปอดช่างเย็นสบายดุจสายลมกระแสโอนอ่อนที่แสนสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิ และเนื่องจากโอสถเม็ดดังกล่าว เป็นโอสถระดับเก้าขั้นสูงสุด จึงมีสรรพคุณลับพิเศษที่เพิ่มเสริมเข้ามา บาดแผลทั่วทั้งร่างของฮูหยินหลี่ที่เคยโดนผงพิษละลายเส้นเอ็นในตอนถูกขังคุก ยามนี้ล้วนหายดีเป็นปลิดทิ้งในพริบตาเดียว!
หลังจากฟังเซียถงอธิบายสถานการณ์ร์ในปัจจุบันให้ฟัง ฮูหยินหลี่ก็แผ่กายนอนพักผ่อนบนกอหญ้าแห้งที่พอจะหาได้ และหลับตาลงอย่างสบายตัวกว่าครั้งไหนๆ ตลอดที่ผ่านมา เนื่องจากพานพบเจอแต่สิ่งเลวร้ายและสภาพแวดล้อมที่สุดแสนจะเลวร้าย ทำให้ตอนนี้นางผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
เซียถงเห็นว่าฮูหยินหลี่นอนหลับอย่างสงบได้เช่นนั้น นางเองก็ระบายยิ้มโล่งใจที่มิได้เห็นมาเสียนาน นางเองก็เพิ่งจะตบโอสถปราณสวรรค์ระดับเก้าขั้นสูงสุดลงไป แต่ผลลัพธ์ที่นางได้กลับแตกต่างจากฮูหยินหลี่โดยสิ้นเชิง โอสถเม็ดนั้นหลอมละลายกลายเป็นของเหลวที่ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์เข้มข้นจำนวนคณานับ เหล่านั้นลำเลียงไหลผ่านเส้นลมปราณ ก่อนจะกระจายอาบคลุมไปทั่วกายาในเวลาถัดมา อวัยวะภายในที่บอบช้ำสาหัสของนางเริ่มได้รับการปลอบประโลมบรรเทาทันที…
ขณะนี้เป็นช่วงบ่ายวัน เซียถงกลืนโอสถปราณสวรรค์เข้าไปสามเม็ดถ้วนแล้ว เส้นลมปราณทั่วร่างกายได้รับการปลดผนึกถึงขีดสูงสุด ผนวกกับสรรพคุณลับพิเศษของโอสถเหล่านั้น ส่งผลให้เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้น ก็ฉายปรากฏประกายสีเหลืองอำพันบริสุทธิ์เปล่งประกายอยู่ในดวงตา
ณ ปัจจุบัน ระดับพลังความแข็งแกร่งของนางทะลวงขึ้นพรวดพราด เลื่อนชั้นกลายเป็นยอดปรมาจารย์ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าชั้นกลางในชั่วอึดใจ! และยังพ่วงตำแหน่งจักรพรรดิโอสถ ซึ่งขณะเดียวกัน นางก็ยังเป็นนักอัญเชิญอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์!
อาศัยแค่ระดับพลังลมปราณที่สูงส่งของนางในตอนนี้ ก็สามารถขึ้นกลายเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่สุดในทวีปเทียนหลางได้แล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ความสามารถอีกสองเส้นทาง รวมเป็นผู้อยู่บนจุดสุดยอดแห่งสามวิถีในร่างเดียว!
นางลืมตาเบิกขึ้นมา มองผ่านช่องหิมะตรงมุมบนของปากถ้ำที่กลบฝังไม่สนิทมิดทั้งหมด แลเห็นวิสัยทัศน์เป็นระยะไกลโพ้นออกไปเป็นลี้ อึดใจนั้นเอง เซียถงได้ค้นพบแล้วว่า พัฒนาการความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของนาง ส่งผลให้นางสามารถมองเห็นทุกอย่างชัดแจ้ง แม้กระทั่งอณูเกล็ดหิมะที่เรียงตัวตามพื้น หรือกระทั่งแมลงเล็กจิ๋วทุกตัวที่ซ่อนอยู่ตามซอกกิ่งไม้ใบหญ้าทั้งหมด ทุกสรรพสิ่งอย่างรอบตัวล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน
ใบหูกระดิกเล็กน้อยเบาๆ แม้แต่เสียงจ้อยร่อยจากที่ไกลโขยังได้ยินชัดเจนทุกถ้อย
เซียถงเก็บโอสถปราณสวรรค์ระดับเก้าขั้นสูงสุดที่เหลือทั้งหกเม็ดลงในอกเสื้อ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะหยิบใช้มันเฉพาะยามจำเป็นเท่านั้นจริงๆ
ปฏิกิริยาไวดุจแสง เสี้ยวลมหายใจแผ่วอ่อนพร้อมสายลมที่พัดผ่านแววหนึ่ง และเมื่อหันไปก็ปรากฏว่าเป็นแม่ของนางที่กำลังนอนหลับสนิท เห็นว่าทุกอย่างล้วนแต่ปกติดี จึงลุกขึ้นและกลุยกำแพงก้อนหิมะที่ปิดปากถ้ำออก เพิ่งย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงวัตถุเคลื่อนไหวดังมาจากตีนหุบเขา หลิวซูที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกในขณะนี้เพิ่งจะสังเกตเห็น จึงหันมากล่าวว่า
“เสี่ยวฮั่วกับจี้จี้กลับมาแล้ว!”
เสี่ยวฮั่วพาเจ้าจี้จี้ที่เร่งสับเท้าไฟวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อมันเห็นเซียถงอยู่ยืนอยู่เลือนๆ สุดขอบเส้นสายตา ก็ดูเหมือนจะยิ่งดีใจและเร่งความเร็วเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี
หนึ่งชั่วความคิด คู่เท้าเซียถงไสววูบพุ่งโดดขึ้นต้นไม้ ชายเสื้อแพรพรรณโหมกระเพือดลู่ลมส่งเสียงดังหวืด ยอดไม้กิ่งก้านสั่นกระเพื่อมอยู่สองสามก่อนทุกอย่างจะเงียบสงัดลง พร้อมกับร่างของเซียถงที่อันตรธานหายวับไม่เหลือร่องรอยแม้แต่เงา