ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 580 ไปตาย (2)
ตอนที่580 ไปตาย (2)
ตอนที่580 ไปตาย (2)
ภายในป่าหิมะพงไพรสีสันขาวโพลน ถึงแม้เวลานี้จะมีแสงตะวันจรัสจ้าสาดแสงส่อง ทว่าห่าพายุหิมะหนาวเหน็บก็ยังโปรยปรายลงมาไม่มีหยุดยั้งประดุจขนห่านนวลตา!
เกล็ดหิมะแสนละเอียดลออสวยงามนี้ ร่วงโรยโปรยลงมาทีละเม็ดน้อยใหญ่ ไม่มนานเกินรน จากผืนดินทั่วทั้งแผ่นกลายเป็นชั้นหิมะสีขาวโพลนกว้างไพศาล!
ซึ่งท่ามกลางดงหิมะชั้นหนาทึบสีขาวบนพื้นเหล่านั้น พลันมีร่างปุกปุยน่ารักสีแดงกระโจนพุ่งพรวดออกมา อุ้งเท้าเล็กจิ๋วทั้งสี่สับวิ่งดุ๊กดิ๊กมุ่งสู่เบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงมาก เงาของเจ้าร่างขนนุ่มฟูสีแดงเพลิงแหวกชั้นพื้นหิมะฝ่ากลางตรงออกไปอย่างไม่มีหยุดหย่อน
ตามติดมาด้วยเงาร่างอรชรสีขาวบริสุทธิ์บนภาคเวหา ที่เคลื่อนตัวกระโดดขึ้นลงข้ามต้นไม้แล้วเล่า
เงาร่างอรชรสีขาวนั้นพลันชะงักหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง สะดุดมองไปที่จี้จี้ที่กำลังวิ่งฝ่ากองหิมะชั้นหนาเบื้องล่างภาคพื้น เมื่อสักครู่ไม่นาน พวกนางเพิ่งจะเดินทางผ่านถนนสายนี้ไปเองมิใช่รึ? แล้วไฉนเจ้าจี้จี้ถึงพามาซ้ำที่เดิมอีกแล้ว? หรือเป็นได้ไหมว่า…เจ้าจี้จี้จะหลงทางเนื่องด้วยพายุหิมะที่โหมกระหน่ำตกหนัก!
และนี่เองเป็นเวลาเดียวกันที่เจ้าจี้จี้กำลังปั้นสีหน้ากังวล สักครู่หนึ่งคล้ายจะทนไม่ไหวจึงกรีดร้องเสียงแหลมโวยวายไม่หยุดหย่อน
ทันใดนั้นเอง หลิวซูก็ปรากฏกายออกมา มันชำเลืองมองเจ้าจี้จี้ที่ส่งเสียงโวยวายอยู่ปราดหนึ่ง และหันไปกล่าวกับเซียถงที่ยามนี้สวมชุดคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์นุ่งห่ม กล่าวว่า
“เจ้าจี้จี้หลงทางเรียบร้อย แต่ก็มิได้แปลกอะไร เจอพายุหิมะพัดโหมหนักปานนี้ คงไปลบร่องรอยกลิ่นเดิมของมันตามพื้นจนเกลี้ยง”
มันยังกล่าวกับนางอีกว่า
“ทางที่ดีควรลองไปคุยกับเสี่ยวฮั่วเถอะ”
แทบจะในทันทีที่หลิวซูกล่าวจบ ดวงไฟสีม่วงพลันสว่างวาบฉาดฉายปกคลุมทั่วห้วงความคิดของเซียถง ไม่รอช้าอันใด เสี่ยวฮั่วกระโดดออกมากลางอากาศพร้อมกับร่างเด็กน้อยวัยสี่ขวบ แต่อย่างไร มันในเวลานี้กลับปั้นหน้ามุ่ยบูดบึ้ง ดวงตากลมโตของมันมุ่งมองไปทางเซียถงด้วยความโมโหจัดจ้าน
เห็นมันที่เก็บตัวน้อยใจอยู่ในห้วงความคิดของนางอยู่นาน เซียถงถึงกับร้องทัก
“เสี่ยวฮั่ว!”
เมื่อเห็นว่าเป็นเสี่ยวฮั่ว จี้จี้รีบกระโดดเข้าไปหาโดยไว ไปยืนเกาะอยู่บนหัวไหล่ของมันและกล่าวซุบซิบอะไรบางอย่าง
มิทราบรู้ได้เลยว่า ระหว่างจี้จี้กับเสี่ยวฮั่วกำลังสื่อสารพูดคุยอะไรกัน แต่จากที่พินิจสังเกตการณ์นั้น ไม่ว่าจี้จี้จะเอ่ยกล่าวอะไรออกไป เสี่ยวฮั่วก็ยังมีท่าทีไม่ไหวติงใดๆ หลิวซูที่เฝ้าสังเกตอยู่นานส่ายหัวพลัน และส่งกระแสจิตสื่อสารกับมันเป็นการส่วนตัวว่า
“เสี่ยวฮั่ว ข้าทราบว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับไป๋หลี่หาน ความรู้สึกของเซียถงหลังจากนี้จะเป็นยังไง? ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการแก้ไขปมความเข้าใจผิดเลย เพราะหากถึงเวลานั้นจริง คงไม่มีโอกาสได้กลับไปแก้ไขอะไรอีกแล้ว และนี่จะกลายมาเป็นความรู้สึกผิดบาปติดตัวนางไปตลอดชีวิต แต่ในทางตรงข้าม หากเรายังสามารถช่วยเหลือไป๋หลี่หานให้พ้นจากภัยอันตรายครั้งนี้ได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ยังมีโอกาสได้แก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านี้ เจ้าลองคิดดูสิ หากเซียถงเป็นอะไรไป เจ้าจะรู้สึกอย่างไร? นางเองก็รู้สึกแบบเดียวกันนั่นแหละ! พอใจแล้วรึที่จะไม่ได้เห็นเซียถงมีความสุขอีกเลยต่อจากนี้?”
ในขณะเดียวกัน เจ้าจี้จี้ก็ยังส่งเสียงกล่าวต่อไป
เซียถงเฝ้ามองเสี่ยวฮั่วที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่เสียนาน ถึงแบบนั้น นางเองก็หาได้สนใจอันใดมากนักเช่นกัน ในเมื่อเสี่ยวฮั่วกับหลิวซูไม่ต้องการให้นางรู้ นางเองก็มิได้คาดคั้นเช่นกัน และกระโดดขึ้นต้นไม้ใหญ่ กวาดสายตาสำรวจมองวิสัยทัศน์เบื้องหน้าโดยรอบว่ามีสิ่งผิดปกติอันใดบ้างหรือไม่
และขณะนั้นเอง จู่ๆนางก็เหลือบไปเห็นท้องฟ้าอีกด้านหนึ่งทางทิศเหนือ มีมวลควันสีทมิฬหนาทึบมหาศาลพรั่งพรูกระจายตัวอยู่กลุ่มหนึ่ง ด้วยปริมาณของควันแล้ว ราวกับบริเวณนั้นเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ก็มิปาน
จู่ๆเซียถงใจหายวาบร่วงตกไปยังตาตุ่มพลัน สิ่งแรกที่นางนึกถึงเลยก็คือ ไป๋หลี่หาน!
วินาทีนั้น นางหาได้สนใจหลิวซูกับเสี่ยวฮั่วอีกต่อไป พร้อมอัดฉีดขุมพลังลมปราณสุดขั้วลงใต้สองฝ่าเท้า นางโถมน้ำหนักไปข้างหน้าและพุ่งตัวออกไปสุดศรธนูเกาทัณฑ์!
หลิวซูสื่อจิตกล่าวกับเสี่ยวฮั่วทิ้งท้ายว่า
“อาศัยความสามารถของนางเอง ย่อมต้องพบตัวอีกฝ่ายในไม่ช้าก็เร็ว! และมันก็เป็นแบบนั้นจริงด้วย! ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน ส่วนเจ้านั้นก็คิดจะทำอันใดจงพินิจไตร่ตรองให้จงดี!”
สิ้นเสียงกล่าวจบดังนั้น หลิวซูก็หาได้สนใจเสี่ยวฮั่วอีกต่อไป กลายร่างเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าพุ่งทะยานติดตามออกไปโดยไว พร้อมร่อนลงจอดใต้ฝ่าเท้าของเซียถงอย่างสนิทแนบเนียน เพิ่มเสริมความเร็วให้แก่งนางให้เร็วเป็นทวีดุจติดปีกบิน!
เสี่ยวฮั่วเหม่อมองเงาร่างของเซียถงที่ขี่กระบี่บินทะยานออกไปไกลลับ สีหน้าการแสดงออกของมันดูรวนเรสับสนอย่างยิ่ง จนแล้วจนรอด สุดท้ายพลันกระทืบอัดพื้นเสียงหนักด้วยความโมโห!
“เอาก็เอาวะ! ต่อให้ต้องฟันฝ่าหุบเขาดาบบุกตะลุยทะเลเพลิงเยี่ยงไร ข้าก็พร้อมสู้เคียงข้างท่านจนตัวตาย! นายท่าน! หลิวซู! รอข้าด้วย…”
ร่างของเสี่ยวฮั่วแปรสภาพกลายเป็นวงล้อมเพลิงสีม่วงหมุนติ๊ว และจำแลงร่างกลายเป็นเทพอสูรกิเลนศักดิ์สิทธิ์โดยทันที จุดเปลวเพลิงโหมกระหน่ำโชติช่วงบนกีบเท้าทั้งสี่ของมัน พร้อมจี้จี้กระโดดขึ้นเกาะแผ่นหลังเสร็จสรรพ เสี่ยวฮั่วจึงตีปีกสยายขึ้นบินออกไปทันที เร่งความเร็วไล่ติดตามเซียถงอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน! รอข้าด้วย! พวกมันมีจำนวนกำลังทหารเยอะมาก เราควรต้องหาวิธีรับมือดีๆสักอย่างก่อน!”
จากระยะไกลแสนไกล ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องสัมผัสได้กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันฟุ้งตลบอบอวล ผนวกไปกับคลื่นพลังลมปราณอันมหาศาลที่ปะทุเดือดดุโหมปะทะชนใส่กันไม่หยุดยั้ง ทั้งที่อยู่บนฟากฟ้าใกล้ ผิวแก้มสีขาวนวลข้างหนึ่งของเซียถงพลันบังเกิดรอยข่วนแผลบาดใส่ เหล่านี้เกิดจากมวลมหาลมปราณอันทรงพลังปริมาณมโหฬารที่เหล่าผู้คนปลดปล่อยระเบิดคลั่งใส่กัน ก่อนที่จะเข้าไปใกล้วงรัศมีการต่อสู้สัประยุทธ์เสียด้วยซ้ำ นางก็พึงตระหนักดีแล้วว่า ภายในสถานที่แห่งนั้น มันโกลาหลบ้าคลั่งปานใด
นี่เป็นศึกสัประยุทธ์ที่สามารถถล่มหุบเขาได้ทั้งลูก!
เหล่าผู้คนนับสิบหมื่นกระจายตัวเข้าปิดล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ โดยที่จุดศูนย์กลางภายใน กอปรด้วยจำนวนผู้คนประมาณพันคนที่ตั้งขบวนเป็นวงกลมชั้นหนึ่งที่โดนวงใหญ่ครอบเอาไว้ และไม่ว่าผู้คนในวงกลมเล็กเหล่านี้จะพยายามตีฝ่าวงใหญ่ออกไปอย่างไร แต่สุดท้าย เหล่านั้นก็ถูกต้อนบังคับจนล่าถอยกลับไป!
เมื่อเห็นว่า ขุมพลังความแข็งแกร่งของวงกลมวงเล็กเริ่มอ่อนแอลง วงกลมวงใหญ่ก็เริ่มบีบตัวจำกัดพื้นเข้ามาให้แคบขึ้นและแคบขึ้นต่อเนื่อง!
จากระยะไกลโพ้นตรงนี้ เซียถงเห็นไป๋หลี่หานยืนต้านรับขับสู้อยู่ร่วมกับเหล่าผู้คนจำนวนพันชีวิต สองมือของเขาถือกระชับจับกระบี่คู่ไว้มั่น ร่างกายอบอวลไปด้วยกระแสลมปราณอันปรี่ล้น กระทั่งสองคมกระบี่สีเงินและทองคู่นั้นในมือยังมีกระแสลมปราณมหาศาลทะลักทลายพัดโหมรุนแรงขึ้นมา ทุกกระบวนเพลงที่เขาร่ายรำฟันฟาดออกไปช่างรุนแรงเด็ดขาดไร้ที่ติ เซียถงที่เห็นดังนั้น พลันตื่นตกใจจนเลือดตาแทบกระเด็น!
โดยสัญชาตญาณแล้ว นางแทบต้องการจะทะยานเหินไปช่วยในทันที แต่ท้ายที่สุดนี้กลับถูกหลิวซีกับเสี่ยวฮั่วร่วมด้วยช่วยกัน กระตุกแขนเสื้อห้ามปรามเอาไว้ก่อน แม้แต่จี้จี้เองก็ยังไม่เต็มใจให้ไป มันอ้าปากงับชายเสื้อของเซียถงเอาไว้ ราวกับพยายมฉุดรั้งมิให้ออกไปตายเช่นนี้!
“จี้จี้!”
“อย่าเพิ่งออกไปตายโดยเปล่า!!”
ในคราวนี้ ทั้งหลิวซูทั้งเสี่ยวฮั่วต่างผสานเสียงร้องห้ามพลันพร้อม!
แต่นี่ยิ่งทำให้เซียถงเป็นกังวลวิตกหนักข้อ เพราะนับตั้งแต่ที่นางก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิโอสถ แค่มองปราดเดียวพึงทราบ นางสามารถระบุได้ทันทีว่า ถึงแม้ระดับความแข็งแกร่งของไป๋หลี่หานจะเพิ่มพูนสูงขึ้นอย่างมากในเวลานี้ แต่ทั้งหมดล้วนเกิดจากการหยิบใช้แก่นแท้โลหิต ซึ่งเป็นพลังงานส่วนสำรองสำหรับยามฉุกเฉินเท่านั้นจริงๆ เสมือนการนำเลือดที่ไหลเวียนในกายแปรเปลี่ยนเป็นพลังลมปราณชั่วคราว หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและระยะเวลาที่ไม่นานเกินควรยังพอทำเนา แต่เขาที่สำแดงใช้ขณะนี้มันเกินกว่าขอบเขตที่ร่างกายจะรับไหวไปมากเกินไปแล้ว และหากยังฝืนทำแบบนี้ต่อไป ภายในหนึ่งส่วนสามชั่วยาม รากฐานพลังลมปราณทั้งหมดของเขาจะได้รับเสียหายขั้นหนัก อย่างเลวร้ายสุดอาจทำให้ระดับชั้นพลังถูกลดทอนลง
เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เซียถงเป็นกังวลได้เยี่ยงไร!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกันตอนที่ได้เห็นไป๋หลี่หานอยู่ในวงล้อมศัตรูนับแสนเฉกนี้! ทั้งเสื้อผ้าร่างกายมีแต่บาดแผลฉกรรจ์น้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด เนื้อตัวอาบย้อมไปด้วยเลือดแดงสด และนี่หาใช่เลือดของคนอื่นที่สาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนแต่อย่างใด เพราะนอกจากสีแดงฉานที่เป็นพื้นฐาน หากสังเกตให้ดี บนร่างกายชุ่มชโลมเลือดของเขายังเจือผสมประกายลมปราณพร่าสีขาวจางๆอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง…