ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 587 นับแต่นี้อย่าได้พบเจอกันอีก (1)
ตอนที่587 นับแต่นี้อย่าได้พบเจอกันอีก (1)
ตอนที่587 นับแต่นี้อย่าได้พบเจอกันอีก (1)
มีดบินเล่มนี้ที่เซี่ยเสวี่ยเหลียนสะบัดยิงออกไปช่างทรงพลังมหาศาลนัก และกระทั่งกิเลนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สามารถพุ่งติดตามได้ทัน เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนน่าตกใจ
โอสถปราณสวรรค์ทั้งสามเม็ดนั้นในมือหลิวซู ได้ป้อนเข้าปากของไป๋หลี่หานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นั่นก็เป็นชั่วอึดใจเดียวกับที่มีดบินเล่มนั้นถูกยิงออกมาพอดิบพอดี แต่ก่อนที่มันจะลุถึงตัว จู่ๆหลิวซูถูกเซียถงผลักกระเด็นออกไป และคมมีดบินเล่มนั้นก็ปักเข้าใส่กลางแผ่นหลังของเซียถงแทน!
ผมยาวสลวยปลิวไสว ดุจมีน้ำหมึกสีดำขลับทอดเป็นสายปล่อยลงมาปกคลุมคมมีดบนแผ่นหลังของนาง!
เสี้ยวอึดใจนั้น กระแสความเจ็บปวดเกินพรรณนาโฉบแล่น กระจายทั่วแผ่นหลังของนาง แต่ต่อมา เมื่อได้เห็นไป๋หลี่หานที่อยู่ตรงหน้ามีสีหน้ามีน้ำมีนวลมากขึ้น นางก็อดยิ้มออกมามิได้ ไม่ว่าสิ่งที่นางได้รับมาทั้งหมดจะขมขื่นและเจ็บปวดปานใด ต่อให้สิ่งนั้นคือความเชื่อใจที่แตกสลายไม่เหลือชิ้นดี หรือเป็นคำสบถสาปแช่งของผู้คนรอบข้าง นางก็ไม่สนใจอันใดอีกต่อไปแล้ว ขอเพียงเขาปลอดภัยดีก็เป็นพอ…
ไป๋หลี่หานรู้สึกได้ถึงกระแสลมเย็นที่ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย สักครู่ต่อมาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของใครบางคนที่แสนคุ้นเคยยิ่งนัก นั่น…เจ้าหรือเปล่าเซียถง? แต่เมื่อเขาพยายามลืมตาขึ้นมองกลับไม่สามารถทำได้ เปลือกตาเปิดออกแค่เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น แลเห็นเพียงใบหน้าที่แสนพร่ามัวของเซียถง ห้วงความคิดสติสัมปชัญญะสับสนวุ่นวายไปเสียหมด เขาไม่อยากทำใจเชื่อได้ลง เซียถงจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งในเวลานี้ แต่อย่างไร สัญชาตญาณเบื้องลึกในจิตใจของเขา กลับเป็นผู้ยืนยันบอกว่านี่เป็นความจริง กลิ่นอายอันเย็นชาและสูงส่งหยิ่งทะนงแบบนี้มัน…คือเซียถงไม่มีผิดเพี้ยน
ไป๋หลี่หานไม่มีเรี่ยวแรงมากเพียงพอแล้วที่จะคงรักษาสติให้ยืนหยัดอยู่ต่อได้ จมอยู่กับความคิดตนเองได้ไม่นาน เขาก็หมดสติไปอีกครั้ง…
“ไป๋หลี่หาน! ไป๋หลี่หาน!”
เซียถงตะโกนส่งเสียงร้องเรียก กระนั่นเพิ่งจะอ้าปากเอ่ยได้ไม่กี่คำ ก็ถูกแทนที่ด้วยเลือดสดพ่นกระอักออกมาแทน ซึ่งเลือดกองนั้นก็หกเลอะไปทั่วเนื้อตัวของไป๋หลี่หาน
เสียงสัประยุทธ์โครมครามสนั่นหวั่นไหว กิเลนศักดิ์สิทธิ์ยกเขาแหลมยาวพุ่งเสียบร่างของเซี่ยเสวี่ยเหลียนอีกหนี่งคำรบอย่างแรง อัดกระแทกฝังลึกติดแน่นกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ทำเอานางอ้าปากกรีดร้องระทมลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมานสาหัส และกระอักเลือดสดอาเจียนออกมาคำโต
ทั่วทั้งใบหน้าและดวงตาของกิเลนศักดิ์สิทธิ์ชุ่มชโลมเลือดข้นขลักสีสดเหล่านั้น สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความดุร้ายให้แก่เสี่ยวฮั่วมากยิ่งขึ้น มันถอนคู่เขาตัวเองออกจากต้นไม้ที่ฝังลึกและถอยห่างออกมาเพื่อพุ่งอัดเข้าซ้ำ กะซวกทะลวงย้ำหวังบดขยี้ร่างของเซี่ยเสวี่ยเหลียนให้แหลกเป็นเนื้อบด
ร่างของเซี่ยเสวี่ยเหลียนอ่อนเปลี้ยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะพยุงร่างยืนหยัดขึ้นได้แล้ว สรีระร่างกายบิดเบี้ยวแทบไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป นางทรุดหมอบลงกับพื้นด้วยสภาพอเนจอนาถ เลือดสดสีเข้มปนดำไหลนองออกจากมุมปาก ลมหายใจเบาบางราวกับสุนัขแก่ใกล้ตาย ชุดพิธีสีแดงเพลิงอาบย้อมไปด้วยเลือดทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรูโบ่ขนาดใหญ่อยู่บนกลางอกของนางอีกด้วยน
เซี่ยเสวี่ยเหลียนเบนสายตาชำเลืองหาเซียถง มุ่งมองพร้อมใบหน้าที่ซีดเผือดเสียเลือดหนัก นางในตอนนี้ทำได้เพียงระบายยิ้มอย่าเศร้าโศกรันทดใจ กล่าวว่า
“เซียถง ข้ากำลังจะตายแล้ว และเจ้าเองก็มิอาจรอดได้เช่นกัน…”
นี่แหละคือราคานำจ่ายที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!
ทันทีที่เซี่ยเสวี่ยเหลียนกล่าวเช่นนั้นออกมา หลิวซูก็รีบลุกขึ้นจากพื้นกระทืบเท้าเสียงดัง วิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อแพรพรรณของเซี่ยเสวี่ยเหลียนขึ้นมา ตะคอกใส่อย่างเกรี้ยวกราดว่า
“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร!?”
“ข้าบอกว่า มันเองก็มิอาจรอดเช่นกัน…แค่ก…แค่ก…”
เซี่ยเสวี่ยเหลียนไอเป็นเลือดคำโตออกมา ศีรษะเอียงพับไปทั้งแบบนั้นและสิ้นใจตายทันที
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า นางจะมาสิ้นใจตายเช่นนี้! หลิวซูเร่งเขย่าร่างของนางอย่างแรงหลายต่อหลายครา
“เจ้า! เจ้า! อย่าเพิ่งตาย! จงพูดออกมาให้ชัดเจน! เซี่ยเสวี่ยเหลียน! เจ้า…”
ขณะที่หลิวซูร้องเรียกได้ครึ่งทาง จู่ๆก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้พลัน มันรีบหันขวับหาเซียถงโดยเร็ว
แต่ในเวลานี้เอง ก็มีเหล่าทหารและองครักษ์หน่วยเงาวิ่งปรี่เข้ามา พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง และพยายามจะกระชากร่างของไป๋หลี่หานออกจากมือของเซียถง ทว่าอย่างไรมือข้างนั้นของนางที่กัดกุมช่างแน่นหนายิ่งนัก ภายในใจตั้งมั่นจะไม่มีวันปล่อยคลาย ทว่าในปัจจุบัน นางกลับรู้สึกอ่อนเพลียเสียเหลือเกิน ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงประคองสตินึกคิดเสียด้วยซ้ำ
มีดบินเล่มนั้นที่ปักอยู่กลางหลังของเซียถงแท้ที่จริงได้อาบยาพิษเอาไว้ และพิษเหล่านั้นก็ซึมซาบกระจายไปทั่วร่างกายของนางแล้ว
เซียถงทำได้เพียงเฝ้ามองไป๋หลี่หานถูกเหล่าทหารพรากออกไปจากมือ โดยสัญชาตญาณนั้น นางตั้งใจทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งอีกฝ่ายเอาไว้มิให้ไปจาก เพราะเบื้องลึกสุดยั่งถึงในใจของนางกำลังบอกว่า หากพรากจากครั้งนี้จะมิได้พบพานชั่วนิรันดร์!
ความรู้สึกเหล่านั้นยิ่งทำให้เซียถงใจสั่นระรัวเต้นแรง จนท้ายที่สุด ภายในความคิดหลงเหลือแต่ความกลัวจนขาดสติควบคุม นางยกมือขึ้นตะเกียกตะกายคว้าร่างของไป๋หลี่หานเอาไว้ ขออีกเพียงวินาทีเดียวก็ได้! ขออีกเพียงวินาทีเดียวที่จะได้สัมผัสกับเขา!
อย่างไร จู่ๆก็มีขุนนางคนนั้นตบเท้าเดินเข้ามาหาเซียถง และผลักมือของนางสบัดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดมิทราบ ร่างทั้งร่างของนางทรุดฮวบล้มลงกับพื้นโดยตรง และเมื่อแหงนหน้ามองสวนกลับไป นางก็มุ่งสายตาเย็นเยียบยิงใส่ขุนนางคนนั้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
ขุนนางคนนั้นที่ถูกสายตาคู่เพรชฆาตของเซียถงจ้องเขม็งข่มขู่ ถึงกับใจสั่นสะท้านขวัญเสีย แต่เมื่อเหลือบหลังไปเห็นไป๋หลี่หานที่นอนหมดสภาพไม่ได้สติ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาพลัน แผดเสียงดังตะคอกใส่เซียถงด้วยความขุ่นเคืองว่า
“หากใช่เพราะเจ้า ดินแดนอี้เฉิงคงไม่ต้องหลงกลตกหลุมพรางของไป๋หลี่เย่! ทุกอย่างคงไม่เป็นไปตามแผนที่เย่หลีเทียนวางเอาไว้! เซียถง เจ้าควรจากไปเสีย อยู่ให้ห่างจากราชาหมาป่าสวรรค์ของพวกเรา! นับแต่นี้อย่าได้พบเจอกันอีกเลย!”
ทันทีที่เขากล่าวจบ ขุนนางคนอื่นๆที่เหลือเองต่างก็ทยอยเข้ามาก่นด่าสาปแช่งใส่เซียถงอย่างสาดเสียเทเสียไม่หยุดหย่อน ทุกคนต่างแหกปากตะคอกใส่เซียถงด้วยความโกรธเกรี้ยวและเกลียดชัง ราวกับว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนเป็นความผิดของนางทั้งสิ้น
หากไม่ใช่เพราะนาง องค์จักรพรรดินีเหลิ่งคงจะไม่ตายและเหลิ่งหยานหรันเองก็เช่นกัน ดินแดนอี้เฉิงคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และที่สำคัญที่สุด ไป๋หลี่หานคงไม่ได้รับบาดเจ็บเข้าขั้นวิกฤตขนาดนี้!
ทั้งหมดเป็นเพราะหญิงสาวนามว่า เซียถง! นางคือตัวต้นเหตุของเรื่องราวทุกอย่าง!
เสมือนกับเห็นว่าเซียถงเป็นส้วมก็มิปาน ทุกคนต่างระบายความคับแค้นใจทั้งหมดที่เก็บสั่งสมมาใส่นางกันอย่างไม่หยุดปาก หลิวซูกับเสี่ยวฮั่วที่เห็นแบบนั้นพลันเกิดบัดดลโทสะสุดขีด แทบจะลงมือสังหารทิ้งในพริบตา แต่เพียงหนึ่งชั่วความคิดนี้บังเกิด กลับมีสุ้มเสียงของเซียถงแทรกดังผ่านห้วงความคิดขึ้นว่า
“อย่าทำอะไรทั้งสิ้น!”
หลังจากที่คณะขุนนางดุด่าเซียถงจนสาแก่ใจแล้ว จึงช่วยกันพาไป๋หลี่หานเดินทางจากออกไป
ไป๋หลี่หานเป็นลมหมดสติไปตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างนั้น ส่วนเหล่าทหารและองครักษ์หน่วยเงาของเขาต่างได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนักเช่นกัน แต่โชคยังดีที่พวกคณะขุนนางอาสาเข้ามาช่วยเหลืออีกแรง จึงทำให้พวกเขาอพยพออกจากที่นี่ได้เร็วขึ้น ทิ้งทวนกองซากศพเกลื่อนเนินเขาจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เบื้องหลัง
หลังจากที่คนพวกนั้นจากไป หลิวซูรู้สึกขับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง มันไม่เข้าใจเลยสักนิด เหตุไฉนเซียถงต้องห้ามมิให้ลงมือกับพวกไม่รู้บุญคุณเหล่านี้ด้วย ขณะที่กำลังจะหันกลับไปตะคอกใส่ แลเห็นเพียงร่างอรชรนอนฟุบบนกองหิมะ มันอดรู้สึกสะท้อนใจสงสารมิได้ สุดท้ายจึงลงไปช่วยพยุงร่างของนางขึ้นมา เอ่ยถามน้ำเสียงค่อยดูใจเย็นกว่าเมื่อครู่มาก
“เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดอะไรสักคำเลย? พวกมันรุมด่าประณามเจ้า ล้วนแต่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกมันเองทั้งนั้น”
เซียถงส่ายหัวเล็กน้อย ตอนนี้นางไม่สามารถพูดอะไรได้เท่าไหร่ กระทั่งแรงจะยืนหยัดด้วยสองขายังไม่มีปัญญา หากมิใช่เพราะตอนนี้หลิวซูประคองร่างสนับสนุนเอาไว้ คงล้มพับลงพื้นไปอีกรอบแล้วเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน เสี่ยวฮั่วรีบทะยานมาหยุดลงตรงด้านหลังของเซียถง เอื้อมอุ้งเท้าหน้าของกิเลนขึ้นปัดปอยผมยาวที่ปิดคลุมแผ่นหลังของนางเอาไว้
“นายท่าน…”
เมื่อหลิวซูเห็นดังนั้น มันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ลืมไปสนิทเลยว่า นางโดนยาพิษ!