ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 588 นับแต่นี้อย่าได้พบเจอกันอีก (2)
ตอนที่588 นับแต่นี้อย่าได้พบเจอกันอีก (2)
ตอนที่588 นับแต่นี้อย่าได้พบเจอกันอีก (2)
กระนั้นเอง เซียถงหาได้แยแสสนใจคมมีดสั้นที่ปักคาอยู่กลางแผ่นหลังใดๆ สายตาคู่นี้ที่สิ้นหวังมัวแต่ทอดมองจับจ้องไป๋หลี่หานและคนอื่นๆที่จากลาไปไกลโพ้น ผ่านสักระยะหนึ่ง จึงค่อยเบี่ยงมองยังร่างไร้ชีวิตของเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่นอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ที่แห้งเฉาปกคลุมหิมะขาวโพลน
ในเวลานี้ แรงกดอากาศลดต่ำลงมา ก่อเกิดเป็นพายุหิมะตกหนักโหมกระหน่ำพัดผ่าน ร่างศพครึ่งล่างของเซี่ยเสวี่ยเหลียนถูกมวลหิมะทับทมเป็นชั้นหนาภายในเวลาอันสั้น
เว้นเสียแต่ครึ่งท่อนบนที่ประดับประดาชุดพิธีแพรพรรณสีแดงเพลิงแวววับห่มหุ้มกายา และใบหน้าซีดขาวไร้วิญญาณของเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ยังคงอยู่ และถัดจากนั้นไม่นานนัก จู่ๆก็มีฝูงอสูรหมาป่าขนเทาจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าเคียงข้าง พวกมันใช้จมูกไล่ดมกลิ่นเลือดที่กระเซ็นตามภาคพื้นดินจนมาเจอกับร่างศพของเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ยามนี้ถูกหิมะกลบฝังจนเกือบมิดศีรษะ จากนั้นพวกมันก็เริ่มรุมขย้ำกัดเคี้ยว…
หลังจากที่ฝูงอสูรหมาป่ากลุ่มนั้นสวาปามเสร็จสรรพจึงค่อยจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกกองหนึ่ง พร้อมคราบเศษเนื้อที่ห้อยติดรุ่งริง…
จี้จี้ที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม่ใหญ่เสียนาน ยามนี้รีบกระโดดลงมา ดมกลิ่นฟุดฟิดติดตามรอยเท้าของเซียถึงจนมาถึงที่หมาย
เซียถงอุ้มเจ้าจี้จี้มากอดอยู่ในอ้อมอกอยู่นาน ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับหลิวซูและเสี่ยวฮั่ว จากนั้นทั้งสี่ก็เดินจากไปอย่างไม่มีหวนกลับ…
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เซียถงไม่เคยย่างกรายมาที่ดินแดนอี้เฉิงแห่งนี้อีกเลย
หลายเดือนต่อมา เย่หลีเทียนขึ้นกลายเป็นราชาพระองค์ใหม่แห่งดินแดนอี้เฉิง ต่อมาไป๋หลี่เย่มีพระราชโองการ ประกาศแยกดินแดนอี้เฉิงออกจากเขตการปกครองของจักรวรรดิตงหลี่โดยสมบูรณ์ ซึ่งมีเนื้อความดังว่า บัดนี้เป็นต้นไป ดินแดนอี้เฉิงได้กลายมาเป็นหนึ่งในพื้นที่ปกครองของจักรวรรดิต้าซิ่งอย่างเป็นทางการ!
และในเวลาเดียวกัน ไป๋หลี่เย่ก็อดที่จะตกตะลึงมิได้ เมื่อทราบว่า เย่หลีเทียนผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งตงหลี่อยู่นานนม แท้ที่จริงแล้วจะเป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิต้าซิ่ง ดินแดนที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาเป็นหนึ่งในห้าจักรวรรดิใหญ่แห่งทวีปเทียนหลางเมื่อเร็วๆนี้
แน่นอน ไป๋หลี่เย่รู้สึกโมโหโกธาเป็นอย่างมากเมื่อได้รับทราบข่าวนี้ ในปัจจุบัน เขามัวแต่นั่งเก็บตัวอยู่บนบัลลังก์ทองคำในท้องพระโรง พอขุนนางคนใดเดินทางเข้ามาเข้าเฝ้าเนื่องจากเป็นห่วง ก็ล้วนแต่จะโดนเขาไล่ตะเพิดทำร้ายร่างกายทั้งสิ้น
อย่างไรเสีย เย่หลีเทียนที่ซึ่งตอนนี้ขึ้นสืบทอดพระราชบัลลังก์ กลายมาเป็นองค์จักรพรรดิแห่งต้าซิ่งแล้ว เมื่อได้ยินข่าวเรื่องที่ว่าไป๋หลี่เย่หัวเสียจนไม่เป็นอันทำอะไร เขาก็โยนเอกสารรายงานแผ่นนั้นลงบนโต๊ะทองคำเบื้องหน้า พลางร่วนหัวร่อคิกคัก กล่าวว่า
“แน่นอน เจ้าหมอนี่ย่อมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่แล้ว ก็ก่อนหน้านี้ ข้าไปปั่นหัวให้มันมีราชโองการประกาศยกดินแดนอี้เฉิงให้แก่จักรวรรดิต้าซิ่งของเรา พอมารู้ที่หลังว่าข้าเป็นใคร มีหรือจะไม่หัวเสีย? หึหึ สมแล้วที่เป็นเศษสวะ คิดจริงๆหรือว่า หลังจากได้ขึ้นครองราชย์แล้ว จะได้นั่งสบายๆอยู่บนบัลลังก์? ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างนักที่จะทำให้มันกินไม่ได้นอนไม่หลับ!”
ตลอดคืนนั้น เย่หลีเทียนดูท่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งยังชวนเฟิงหมิงอี้เข้ามาร่วนเสวนาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ในปัจจุบัน เฟิงหมิงอี้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นจอมทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิต้าซิ่งแล้ว ถึงอย่างไร สถานะศักดิ์นี้กลับทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่ จะว่าเยี่ยงไรดี เพราะที่ผ่านมามีหน้าที่เป็นพ่อบ้านประจำตัวนายท่านเย่หลีเทียน จึงทำให้เขาตัวติดอยู่กับอีกฝ่ายตลอดเวลา แต่พอมาตอนนี้ ภายใต้ตำแหน่งจอมทัพใหญ่จึงต้องออกรบมากขึ้นจนมีเวลาอยู่กับนายท่านน้อยลง ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้เจ้าตัวไม่พอใจเท่าไหร่
ถึงแบบนั้นก็ตาม พอได้ยินเย่หลีเทียนเปลี่ยนสรรพนามเรียกเฟิงหมิงอี้จากคำว่า‘พ่อบ้านเฟิง’ กลายมาเป็น‘หมิงอี้’ สิ่งนี้ก็ทำให้เขาแอบอมยิ้มมิได้ ส่วนเรื่องที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ดังเดิม เจ้าตัวเองก็พยายามมองข้ามๆมันไป
“หมิงอี้ เดี๋ยวก่อน”
ระหว่างที่เฟิงหมิงอี้กำลังจะแยกย้ายจากไป เย่หลีเทียนเอ่ยปากขึ้นหยุดอีกฝ่ายพลัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกครั้งที่เย่หลีเทียนขานเรียกชื่อเล่นของเขาห้วนๆแบบนี้ เฟิงหมิงอี้อดรู้สึกใจเต้นแรงมิได้
“นางเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
ไม่จำเป็นต้องให้เย่หลีเทียนเอ่ยชื่อด้วยซ้ำ เฟิงหมิงอี้ย่อมทราบ ฝ่าบาทของเขากำลังเอ่ยถามถึงเรื่องเซียถง!
เฟิงหมิงอี้หรี่ตาแคบลงเล็กน้อย แสร้งทำเป็นใสซื่อกล่าวตอบไปว่า
“ฝ่าบาทคงหมายถึงเซี่ยเสวี่ยเหลียนกระมัง? ข้าส่งทหารค้นหาทั่วทั้งผืนป่าแล้ว ค้นพบแค่เพียงเสื้อผ้าของนาง สันนิษฐานว่า นางได้ตายลงไปแล้ว แม้กระทั่งศพยังถูกสัตว์ป่าระแวกนั้นกัดแทะไม่เหลือ”
เย่หลีเทียนปริปากอ้าขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าลังเลอยู่สักครู่ ท้ายสุดจึงปิดปากเงียบลง แล้วค่อยโบกมือส่งให้เฟิงหมิงอี้เชิงว่าออกไปได้
คล้อยหลังเฟิงหมิงอี้ลาจากออกไป เย่หลีเทียนจึงค่อยเดินแช่มตรงออกมานอกหน้าต่าง เวลานี้แสงจันทร์ที่เคยสว่างไสวถูกชั้นเมฆาหลากระลอกทับซ้อนบดบัง บนต้นดอกเหม่ยเต็มไปด้วยหน่อต้นกล้าใหม่ที่ใกล้จะสะพรั่งพลิบาน นี่คือสัญญาณแรกเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้พลิ
เย่หลีเทียนสะดุดมองต้นดอกเหมยเบื้องหน้าไม่คลายอ่อน สายตาเปี่ยมล้นร่องรอยฉงนงุนงง ขณะเดียวกันพลางรำพึงกล่าวกับตัวเองว่า
“เซี่ยเสวี่ยเหลียนตายแล้ว นี่แสดงว่านางก็ควรต้องมีชีวิตอยู่ แต่…อยู่ที่ไหนกันล่ะ? ไฉนทั่วทุกซอกทุกมุมในทวีปเทียนหลางถึงไม่มีข่าวคราวของเจ้าเลยล่ะ…เซียถง?”
เฟิงหมิงอี้ถอยห่างพลางเลื่อนประตูเคลื่อนปิดอย่างเบามือ ขณะเดินจากตัวตำหนักที่พักออกมา ก็เหลือบหางตาไปเห็นร่างอันเคว้งคว้างโดดเดี่ยวของเย่หลีเทียนยืนนิ่งอยู่ตรงบานหน้าต่าง เขาได้แต่ส่ายอย่างช่วยไม่ได้
เฟิงหมิงอี้ตรงปรี่ออกมานอกวพระราชวัง ลอบส่งสัญญาณมือทีหนึ่งออกไป ทันใดนั้นก็ดึงดูดให้เงาสายหนึ่งโผล่ปรากฏขึ้นจากมุมมืดและคุกเข่าอยู่ต่อหน้า
“เจ้าเสาะพบเบาะแสอะไรเกี่ยวกับเซียถงบ้าง? นางยังอยู่ในเมืองเฟิงหลี่หรือไม่?”
ผู้ใต้บัญชานายนั้นเร่งขานตอบรายงานว่า
“เรียนท่านจอมทัพ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆเกี่ยวกับนางเลย พวกเราดำเนินการค้นหาเช่นนี้มาเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกันแล้ว แต่สุดท้ายล้วนคว้าน้ำเหลวกลับมาทั้งสิ้น ท่านจอมทัพ บางทีนางอาจเสียชีวิตไปนานแล้ว?”
“หากไม่เห็นว่าเป็นศพของเซียถง ก็มิอาจด่วนสรุปได้ว่านางตายแล้ว! หากเป็นคนปกติทั่วไปคงตายไปแล้วจริงๆ แต่ในกรณีของนางกลับใช้ตรรกะแบบคนธรรมดามิได้! กระจายกำลังตามหาเบาะแสของนางอีกครั้ง! ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องตามหานางให้เจอ!”
เฟิงหมิงอี้เปล่งบัญชาออกคำสั่งเด็ดขาด สังเกตเห็นว่าผู้ใต้บัญชาตรงหน้าดูปั้นหน้าลำบากใจขึ้นเล็กน้อย เขาจึงกล่าวเสริมต่อว่า
“คนอย่างนาง หากต้องการปลีกวิเวกซ่อนตัวจริงๆ คงยากที่จะเสาะหาด้วยวิธีเช่นนี้ ลองไปตรวจสอบจากญาติหรือคนสนิทของนางดีกว่าหรือไม่?”
“ฟังว่าตอนนี้ พี่ชายของเซียถงอย่างเซี่ยหลู่เฟิงได้ปรากฏตัวอยู่แถวชายแดนใกล้กับจักรวรรดิซีฉิน โดยมีอดีตองค์หญิงแห่งจักรวรรดิหรู่หราน ฉีหมิงเยว่ติดตามอยู่ข้างกาย คนของข้าน้อยเคยรายงานมาว่า ทั้งสองกำลังอยู่ในระหว่างลี้ภัยจากกลุ่มนักฆ่าที่ไป๋หลี่เย่ส่งมาเก็บกวาดขอรับ”
“เอาล่ะ เช่นนั้นค่อยเฝ้าติดตามคนพวกนั้นให้ดี! เซียถงเป็นยอดอัจฉริยะมีความสามารถรอบด้าน แต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังมีจุดอ่อนที่ใหญ่มากอยู่ เพราะความเป็นจริง ผู้หญิงคนนี้ให้ค่ากับความรักมากที่สุด หากนางรู้ว่า พี่ชายของนางกำลังประสบปัญหาร้ายแรง ย่อมต้องไม่นิ่งเฉยแน่นอน ค่อยเฝ้าติดตามสองคนนั้นต่อไป สักวันจะต้องมีร่อยรอยอะไรสักอย่างโผล่ออกมาบ้างแน่นอน!”
“ขอรับ! ข้าน้อยจะรีบดำเนินการบัดนี้!”
“เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป! เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องดำเนินการอย่างลับๆ ห้ามแพร่งพรายให้คนนอกทราบโดยเด็ดขาด อย่าไปเพิ่มความวิตกกังวลแก่ฝ่าบาทโดยใช่เหตุ”
“ข้าน้อยทราบแล้ว!”
เสี้ยวพริบตาต่อมา เงาดำสายนั้นก็อันตรธานหายวับไปอย่างรวดเร็ว เฟิงหมิงอี้ถูกทิ้งให้ยืนชมจันทร์ตามลำพังอยู่แถวขอบท่าเรือ เขาใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองเป็นเวลาสักพักใหญ่
ณ สถานที่แห่งนั้นที่อยู่แสนไกลกว่าหลายสิบหมื่นลี้ หนึ่งคนและหนึ่งอสูรกำลังฟันฝ่าพายุหิมะอันบ้าคลั่งอย่างแสนยากลำบาก!
สายลมกระโชกแรงเดือดดาล วิสัยทัศน์รอบตัวทั้งมวลล้วนปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ละอองเม็ดหิมะก้อนหนาปลิวว่อนไม่หยุดหย่อน แม้กระทั่งเส้นผมสีเงินยาวสลวยที่ซึ่งหลิวซูหวงแหนมากที่สุด ในขณะนี้ยังจับตัวแข็งเกาะแน่นเป็นแพร่หิมะ แต่ถึงแบบนั้น มันก็หาได้สนใจไม่แล้ว มันกำลังเอนตัวยกมือขึ้นกำบังสายตาอยู่บนตัวกิเลนศักดิ์สิทธิ์
ลมพายุหิมะโหมกระหน่ำพัดเข้าใส่จนตาแห้งไปหมด หลิวซูยกมือขึ้นขยี้เล็กน้อยและกล่าวกับเสี่ยวฮั่วว่า
“เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าสิ่งนั้นอยู่ที่นี่?”
เทพอสูรกิเลนศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ก็คือเสี่ยวฮั่วที่แปลงร่างจำแลงกาย มันพยักหน้ามุ่งมองนัยน์ตาสีแดงทับทิมคู่นั้น
“เจ้าอย่าพามามั่วล่ะ! มิฉะนั้นโดนดีแน่…”