ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 596 สู่ทวีปจวิ๋นเทียน (2)
ตอนที่596 สู่ทวีปจวิ๋นเทียน (2)
ตอนที่596 สู่ทวีปจวิ๋นเทียน (2)
จวิ๋นเส้ามุ่งมองเซียถงที่ยังปั้นหน้าฉงนงุนงงไม่หาย จึงค่อยตระหนักได้ว่า นางไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้จริงๆ ดังนั้นเขาเลยเอ่ยอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับเมืองจวิ๋นเทียนโดยพอสังเขป
หลังจากนั้นเซียถงค่อยเป็นอันเข้าใจ
“อิ๋งเอ๋อร์ นาง…”
“ตอนนั้นพวกเราบังเอิญช่วยนางได้จากลำธารระหว่างเดินทาง พอตื่นขึ้นมา นางก็บอกกับเราว่า ตนเองสูญเสียความทรงจำไป จำได้แค่อย่างเดียวว่าชื่อ อิ๋งเอ๋อร์ ส่วนเรื่องที่ว่านางมาจากไหน ภูมิหลังครอบครัวเป็นเยี่ยงไรกลับหลงลืมไปหมดสิ้น”
กล่าวถึงจุดนี้ จวิ๋นเส้าค่อยระบายยิ้มกว้างทีหนึ่ง กล่าวต่อว่า
“แต่แน่นอน ข้าย่อมทราบดี เรื่องที่นางความจำเสื่อมล้วนโกหกทั้งสิ้น แต่เพราะว่าตอนนั้น ข้าเคยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้ามาก่อนในตอนที่อยู่ตีนเขาคุนหลุน ก็เลยต้องการจะหาทางตอบแทน ซึ่งตัวข้าเองก็มั่นใจ บ่าวที่มีเจ้านายเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องบุญคุณ คนๆนั้นย่อมไม่มีแผนการคิดร้ายอันใด จึงตัดสินใจพานางจากหุบเขาคุนหลุนกลับไปยังเมืองจวิ๋นเทียนด้วยกัน”
ปรากฏว่าเป็น อิ๋งเอ๋อร์จริงๆด้วย!
เซียถงมองหน้าจวิ๋นเส้าอยู่นานสองนาน ท้ายที่สุดนี้จึงโค้งศีรษะคำนับให้เล็กน้อย พร้อมกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจว่า
“ต้องขอบพระคุณอย่างมาก! เพราะแม้ว่าอิ๋งเอ๋อร์จะเป็นเพียงสาวใช้ของข้า แต่นางจงรักภักดีต่อข้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งตัวข้าเองก็ปฏิบัติต่อนางเสมือนน้องสาวแท้ๆคนหนึ่ง ดังนั้นแล้ว จวิ๋นเส้า เซียถงคนนี้เป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว!”
จวิ๋นเส้ายกมือปัด ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าก็คิดไว้แล้ว ว่าท่านจะต้องเอ่ยกล่าวอันใดเช่นนี้ออกมา แต่อย่าลืมไปเสีย ครั้งแรกที่เราพบกัน กลับเป็นข้าคนนี้ที่ติดหนี้บุญคุณเจ้า ต่อมาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ทางข้าจะช่วยชีวิตสาวรับใช้ของท่านได้โดยบังเอิญ เท่านั้นบุญคุณระหว่างเราย่อมหายกันแล้ว!”
ถึงจะกล่าวแบบนั้นแต่ท้ายสุด สำหรับเซียถงนี่ถือได้ว่า นางติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายครั้งใหญ่ เพราะหากมิใช่เพราะความใจกว้างและมีเมตตาของจวิ๋นเส้า มีหรือที่อิ๋งเอ๋อร์จะได้รับการช่วยเหลือ? ไม่ว่ากรณีใด นางจักต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณแก่เขาให้จงได้ ความดีความชอบของอีกฝ่ายคราวนี้ ได้สลักลึกอยู่ในจิตใจนางไว้แล้ว
ต่อจากนั้น เซียถงจึงร่วมดื่มน้ำชากับจวิ๋นเส้า พลางพูดคุยสนทนากันต่อไป
จวิ๋นเส้าวางจอกชาในมือลง สะดุดสายตาจ้องหาเซียงอีกครั้ง
“มีบางสิ่งอย่างที่มิสมควรจะเอ่ยกล่าวออกไปนัก แต่เรื่องนี้ข้าต้องการจะทราบจริงๆ หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป รบกวนคุณหนูเซียชี้แจง…”
ทุกการสนทนา เซียถงล้วนต้องจับสังเกตทีท่าของผู้คนอยู่เสมอ และตลอดการสนทนากับจวิ๋นเส้าที่ผ่านมา มีอยู่สิ่งหนึ่งที่นางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ ชายคนนี้มิได้สนใจนาง เพราะว่านางมีบัญชาสี่พิภพอยู่ในมือ กระนั้นเอง ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ทุกคนล้วนมีความโลภ…
เซียถงตัดบท เอ่ยถามไปตามตรงเลยว่า
“ข้าพอจะทราบถึงสิ่งที่เจ้าต้องการจะเอ่ยถาม ในปัจจุบัน ระดับพลังลมปราณของข้าอยู่ที่จุดสูงสุดแห่งขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าชั้นกลาง ในด้านศาสตร์แห่งการหลอมกลั่นโอสถ ทะลวงขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิโอสถชั้นต้นแล้ว”
ทุกครั้งที่เซียถงเอ่ยปากกล่าวอะไรออกมา นางย่อมทราบว่าแต่ละคำพูดล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็เหมือนว่านางจะตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว สำหรับที่เลือกกล่าวให้จวิ๋นเส้าคนนี้ฟัง
เพราะต่อหน้ากับประโยคคำพูดเหล่านี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาได้ยิน ไม่ว่าใครต่างต้องตะลึงงันจนอ้าปากค้าง แต่ดูเหมือนว่าสำหรับชายคนนี้ก็ยังนิ่งสงบไม่ไหวติงใดๆ!
พึงทราบ รากฐานพลังลมปราณขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้านับว่าสูงที่สุดแล้วในทวีปเทียนหลางแห่งนี้ และที่ยิ่งน่าอัศจรรย์ไปกว่านั้นคือ นางยังพ่วงมาด้วยตำแหน่งจักรพรรดิโอสถในตำนาน! ซึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อกำเนิดทวีปเทียนหลานมา มีนักหลอมโอสถที่บรรลุถึงขอบเขตนี้จำนวนน้อยมากจนสามารถนับนิ้วได้! จะมีสักกี่คนที่สามารถขึ้นกลายมาเป็นจุดสูงสุดแห่งศาสตร์เส้นทางทั้งสองได้ในชั่วชีวิตเดียวกัน! แต่ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจของจวิ๋นเส้าได้เลย!
ได้เห็นปฏิกิริยาแสบเรียบเฉยเช่นนั้น เซียถงก็อดรู้สึกประทับใจมิได้ และเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงประโยคกหนึ่งที่เสี่ยวฮั่วเคยบอกกับนางว่า จวิ๋นเส้าผู้นี้เองก็เป็นนักอัญเชิญอสูรเช่นกัน ทั้งยังอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาก ดังนั้นแล้ว ยังมีอะไรที่น่าสนใจไปกว่า การที่นักอัญเชิญอสูรได้มาพบเจอกับนักอัญเชิญอสูรด้วยกันอีก?
นางกล่าวต่อไปว่า
“ซึ่งข้าเองก็เป็นนักอัญเชิญอสูรคนหนึ่งเช่นกัน เพียงว่าตัวข้ายังมีข้อบกพร่องอยู่หลายจุด”
ในที่สุดจวิ๋นเส้าก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ในเวลานั้น เขาเองก็มองผ่านอ่านระดับพลังนักอัญเชิญอสูรของเซียถงออกเช่นกัน ทั้งยังทราบอีกว่า เซียถงมีตราผนึกจักรพรรดิฟ้าอยู่ในครอบครอง เพียงว่า ทักษะการควบคุมของนางยังไม่สามารถขีดเค้นประสิทธิภาพของสัตว์วิญญาณใต้อาณัติได้ออกมาดีเท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้น อาศัยความแข็งแกร่งของตราผนึกจักรพรรดิฟ้าที่นางมี ย่อมให้ประสิทธิผลดีกว่านักอัญเชิญอสูรที่มีตราผนึกทั่วไปมาก
สังเกตเห็นได้ชัดมากว่า เขาในเวลานี้กำลังสงสัยเรื่องขีดจำกัดความสามารถในทักษะนักอัญเชิญอสูรของเซียถงมาก เพียงว่ายังไม่มีโอกาสเหมาะสมที่จะเอ่ยถามออกไป จนแล้วจนรอดเวลานี้ก็มาถึง
“ตอนนี้เจ้าเป็นนักอัญเชิญอสูรระดับอะไรแล้วรึ? หากจำไม่ผิดตอนแรกที่พวกเราพบกัน ท่านใกล้จะทะลวงกลายเป็นนักอัญเชิญอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วกระมัง? ตอนนี้มีพัฒนาการอย่างไรขึ้นบ้าง?”
อันที่จริงสองเรื่องแรกที่เซียถงนำเสนอกล่าวออกไป มันเป็นอะไรที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่าเรื่องนักอัญเชิญอสูรมากโข แต่ดูเหมือนว่า จวิ๋นเส้าคนนี้จะหาได้สนใจเรื่องเหล่านั้นของนางเลยจริงๆ แต่พอแง้มเรื่องนี้หยิบยกขึ้นมาไม่ทันไร ก็ทำให้อีกฝ่ายตาเป็นประกายได้แล้วจริงๆ ดูท่าจะสนใจในศาสตร์ด้านนี้เป็นพิเศษ
“ระดับศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง! อีกเพียงก้าวเดียวจะทะลวงขึ้นเป็นชั้นสูงแล้ว!”
นางกล่าวตอบไปแบบนั้น
เมื่อได้ยินคำตอบที่ว่าของนาง จวิ๋นเส้าก็ขมวดคิ้วแน่น กวาดสายตาสำรวจร่างของนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอยู่สองสามรอบ ก่อนที่จะร้องอุทานขึ้นลั่นด้วยความเหลือเชื่อว่า
“ไม่ เจ้าเป็นเพียงนักอัญเชิญอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง? แต่ไฉนวงแหวนผนึกของเจ้าถึงทรงพลังปานนี้กัน? นี่ยังไม่รวมเรื่องห้วงอสูรที่มีขนาดใหญ่ผิดวิสัยทั่วไปปานนี้!”
หากเปรียบเทียบกับในบรรดานักอัญเชิญอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางคนอื่นๆ ทั้งในด้านจำนวนความจุและพลังการผนึกสัตว์วิญญาณของนาง แค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ได้ว่ามันทรงพลังกว่าปกติทั่วไปมาก และยังมากเสียจนเทียบเท่าได้กับนักอัญเชิญอสูรระดับเทพอสูรแล้ว!
สายตาที่จวิ๋นเส้ามุ่งมองไปทางเซียถงล้วนเปี่ยมล้นความสงสัย
สำหรับนักอัญเชิญอสูรด้วยกันย่อมทราบดีว่า ยิ่งระดับชั้นสูงขึ้นเท่าไหร่ พลังการผนึกย่อมแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าของพวกนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็หาใช่สิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้เลยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม มิเพียงสามารถสัมผัสได้เท่านั้น แต่ยังรับรู้ได้ถึงขั้นที่ว่า ห้วงมิติอสูรของฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนสัตว์วิญญาณจุดอยูมากน้อยเท่าใด เพราะอย่างไร กลิ่นอายของสัตว์วิญญาณแต่ละชนิดล้วนแตกต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จึงมิได้เป็นการยากนักที่จะหยั่งรู้ถึงขอบเขตพลังของฝ่ายตรงข้ามโดยพอสังเขป แต่อย่างไร ทันทีที่เซียถงเข้ามาใกล้ กลับทำให้พลังวิญญาณของจวิ๋นเส้าสับสนปั่นป่วนไปหมด เลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่านราวกับกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเทพอสูรบรรพกาลผู้ทรงพลังไร้เทียมทาน
ได้ยินเช่นนั้น เซียถงพลันรู้เขินอายอย่างอดมิได้ อันที่จริงแล้ว เหตุที่นางมีขนาดของห้วงมิติอสูรที่กว้างใหญ่ไพศาลปานนี้ อนึ่งเป็นเพราะตราผนึกจักรพรรดิเทวะที่นางขโมยมาจากจางจู และอีกเหตุผลสำคัญคือ ด้วยพลังสายเลือดบรรพกาลของเทพอสูรกิเลนศักดิ์สิทธิ์อย่างเสี่ยวฮั่ว จึงทำให้สัตว์อสูรจำนวนมากมายยอมสยบอยู่ใต้อาณัติให้นางผนึก จึงส่งผลให้พลังความแข็งแกร่งดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกับระดับชั้นที่เป็นอยู่เท่าไหร่นัก
และบางทีสิ่งที่ทำให้จวิ๋นเส้ารู้สึกสะพึงขวัญปั่นป่วน อาจมิใช่เพราะพลังของนักอัญเชิญอสูรที่สูงส่งของนาง แต่อาจเป็นเจ้าสองตัวแสบที่กลิ้งๆนอนๆอยู่ในห้วงความคิดของนางอย่างเสี่ยวฮั่วกับหลิวซู!
เพราะอย่างไร ตนหนึ่งเป็นถึง เทพอสูรบรรพกาล กิเลนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอีกหนึ่งมีชนชั้นเป็นถึง จิตวิญญาณแห่งยุทธภัณฑ์ระดับบรรพกาลศักดิ์สิทธิ์!
แน่นอน เซียถงย่อมไม่อธิบายให้ฟังโดยธรรมชาติ ทำได้เพียงยิ้มรับและพยักตอบเบาๆ
จวิ๋นเส้าเองก็มิได้ซักไซ้ยิงคำถามออกไปจนเกินงาม พอคลายข้อสงสัยได้อยู่พอประมาณจึงเงียบไปพลางยกจอกชาขึ้นริมจิบเบาๆ ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยถามต่อว่า
“ในเมื่อท่านเองก็ไม่ต้องการเอ่ยถึงกาลอดีตที่ผ่ามนมา ข้าเองก็ไม่คิดเอ่ยถามไปมากกว่านี้เช่นกัน อย่างไรเสีย ไหนแล้วพวกเราสองคนก็ถูกลิขิตให้มาพานพบ อีกทั้งผู้คนทั่วทั้งทวีปเทียนหลางยังลุกฮือตามล่าท่าน เช่นนั้นแล้ว เคยมีความคิดที่จะจากทวีปแห่งนี้ออกไปหรือไม่?”
เซียถงที่กำลังยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มเช่นกันถึงกับชะงักนิ่งตกใจ!
นางหรือจะไม่เคยมีความคิดอพยพหนีจากทวีปเทียนหลางแห่งนี้ไป? มันติดอยู่กับเพียงว่า หากนางหนีออกไปตอนนี้ ทั้งท่านแม่และอิ๋งเอ๋อร์จะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? พวกนางทั้งคู่ไม่สามารถบำเพ็ญตบะฝึกปรือลมปราณได้ แล้วลำพังจะเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของนานาจักรวรรดิได้ยังไง!
นางจับจ้องจวิ๋นเส้าอยู่ครู่ใหญ่
จวิ๋นเส้าเองก็สบสายตามองสวนกลับไปเช่นกัน ซึ่งคราวนี้น้ำเสียงค่อนข้างจริงจังกว่าเดิมมาก เขากล่าวว่า
“เคยสงสัยหรือไม่ว่า เหตุไฉน พวกเราชาวจวิ๋นเทียนถึงไม่สนใจทั้งเรื่องระดับลมปราณหรือโอสถเลย? เจ้าบอกว่า ตอนนี้เจ้าคือจักรพรรดิโอสถ แต่พึงทราบ ที่จวิ๋นเทียนเองก็มีเซียนโอสถอยู่มากมาย! ถึงจะมิได้เก่งกาจถึงขั้นจักรพรรดิโอสถ แต่ด้วยจำนวนแล้ว รับประกันได้ว่ามีมากมายเสียยิ่งกว่าในทวีปเทียนหลางแห่งนี้! และสิ่งเดียวที่ยังขาดตกไปอยู่ก็คือ นักอัญเชิญอสูรชนชั้นสูง!”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาเก็บจอกน้ำชาออกไปจากมือของเซียถงโดยมีบอกกล่าวใดๆ
“ข้าอยากเชิญท่านไปที่ทวีปจวิ๋นเทียนด้วยกัน ซึ่งในที่แห่งนั้น ท่านจะสามารถสร้างโลกใบใหม่ได้ตามที่ต้องการ! หากสนใจก็มากับพวกเราเถอะ”