ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 603 ความสำคัญของนักอัญเชิญอสูร (1)
ตอนที่603 ความสำคัญของนักอัญเชิญอสูร (1)
ตอนที่603 ความสำคัญของนักอัญเชิญอสูร (1)
เซียถงไม่ค่อยเข้าใจที่จวิ๋นเส้าพูดมากนัก เพราะหลังจากที่ได้สัมผัสกับที่นี่ด้วยตาตัวเอง นางก็ค้นพบได้ว่า ในทวีปจวิ๋นเทียนแห่งนี้มีทั้งผู้บำเพ็ญตบะลมปราณที่ทรงพลังแข็งแกร่ง ทั้งยังนักหลอมโอสถที่มีมากมายจนแทบจะไม่มีบทบาทสำคัญอย่างในทวีปเทียนหลางเลย แต่เหตุไฉนจึงเป็นนักอัญเชิญอสูรที่ดูสำคัญนัก?
หน้าที่เพียงอย่างเดียวของนักอัญเชิญอสูรสำหรับในทวีปเทียนหลางคือ การอัญเชิญสัตว์อสูรเข้าเสริมทัพกำลังทหารเพื่อเพิ่มพลังรบให้สูงขึ้น และนั่นคือความจำเป็นเดียวที่พวกเขามี ดังนั้นบทบาทจึงค่อนข้างถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ แต่หากถามว่าสำคัญหรือไม่? แน่นอนว่าเป็นหนึ่งอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจักรวรรดิ ทว่าในท้ายที่สุดนี้ มิเพียงจะมีน้อยคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เป็นนักอัญเชิญอสูรได้ แต่ก็ยังมีสัตว์อสูรไม่กี่ประเภทที่เหมาะสมหรับการใช้ทำศึกออกรบจริง แม้ว่าพลังความแข็งแกร่งของพวกมันจะสูงส่งและน่าเกรงขามเพียงใด แต่ด้วยสัญชาตญาณความป่าเถื่อนดุร้ายของพวกมัน กลับเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมให้อยู่ใต้อาณัติตลอดการทำศึก!
และข้อเสียจุดใหญ่ที่สุดสำหรับการใช้งานฝูงสัตว์อสูรก็คือ เมื่อใดที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะทำสงครามกัน ฝูงสัตว์อสูรเข้าร่วมศึก หากฝ่ายตรงข้ามมีนักอัญเชิญอสูรที่มีพลังฝีมือแกร่งกว่าเมื่อใด ฝูงสัตว์อสูรทั้งหมดที่เคยอยู่ฝ่ายเราจะตกอยู่ในมือศัตรูในชั่วพริบตา
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สถานะของนักอัญเชิญอสูรอยู่คาบเกี่ยวระหว่างเป็นที่นิยมและรังเกียจ ทุกจักรวรรดิต่างอ้าแขนต้อนรับนักอัญเชิญอสูรที่มีความสามารถ ในขณะที่นักอัญเชิญอสูรที่มีฝีมือต่ำกว่าเกณฑ์ต่างไม่เป็นที่ต้องการและถูกด้อยค่าจนแทบไม่เหลือ
แต่สำหรับทวีปจวิ๋นเทียนแห่งนี้ หากจับประเด็นตามที่จวิ๋นเส้ากล่าวเล่ามา พวกเขามิได้ต้องการนักอัญเชิญอสูรไว้ใช้สำหรับการศึก แต่เพื่อใช้สำหรับการสร้างเกาะเทียม?
แม้ว่าเซียถงจะมีไหวพริบเฉลียวฉลาดปานใด แต่นางก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างเรื่องทั้งสองได้อยู่ดี
จวิ๋นเส้าระบายยิ้มอย่างมีชัย ทันใดนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและพอเคลื่อนสายตามองติดตามไป ก็พบว่าเป็นหมู่เกาะที่อยู่ชั้นนอกสุด เซียถงลองมุ่งสายตาเพ่งมองให้จงดี ทันใดนั้น นางก็เห็นสัตว์อสูรขนาดมหึมาตนหนึ่งโดดทะยานขึ้นจากผิวน้ำและดำดิ่งลง ทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเกาะที่คอยลากชูงอยู่ท้ายหลัง คลื่นน้ำที่กระเซ็นสาดประดุจพู่กันที่วาดตวัดเป็นเส้นโค้งสวยภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ก่อเกิดระลอกคลื่นสมุทรกระพือซ้อนสลักเป็นชั้นนับไม่ถ้วน!
มันคือวาฬหลังค่อม!
เซียถงพลันตกใจยิ่งยวด นางไม่คาดฝันมาก่อนว่า ตนเองจะได้เห็นสัตว์อสูรขนาดมหึมายักษ์ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ และนางยังสามารถมองผ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า วาฬหลังค่อมตนนี้มีระดับพลังจิตวิญญาณที่สูงส่งปาดใด
แต่ก็ยังมีบางสิ่งคล้ายอานติดอยู่บนหลังของมัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า มันถูกนักอัญเชิญอสูรผู้เก่งกาจสักคนหนึ่งกำราบได้แล้ว
เสี่ยวฮั่วตะลึงร้องลั่น เร่งสื่อจิตกล่าวกับเซียถงโดยทันที
“นายท่าน! นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! วาฬตนนั้นเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์!”
เซียถงเข้าใจได้ในทันที ผู้คนในทวีปจวิ๋นเทียนแห่งนี้ใช้สัตว์วิญญาณที่อัญเชิญกันมาเพื่อขนส่งหมู่เกาะต่างๆสำหรับการจัดเรียงให้เข้าที่ และเมื่อพินิจดูจากจำนวนเกาะที่อยู่ห้อมล้อมมากมายอยู่แห่งนี้ นางแทบไม่กล้าจินตนาการเลยว่า คนพวกนี้จะต้องมีสัตว์วิญญาณระดับสูงอยู่ในการควบคุมมหาศาลขนาดไหน! ยิ่งไปกว่านั้น การจะขัดเกลาให้อสูรศักดิ์สิทธิ์เชื่องสักตัว ต้องใช้พลังจิตวิญญาณและความสามารถที่เหนือชั้นเป็นอย่างยิ่ง!
จวิ๋นเส้ากล่าว
“ภายในที่แห่งนี้ มีเฉพาะนักอัญเชิญระดับสูงเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนหมู่มาก ไม่เพียงเพราะพวกเขาสามารถใช้สัตว์วิญญาณของตนสร้างเกาะขึ้นมาได้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ยังมีอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเกาะที่พวกเราไม่เคยรู้จัก เพราะทุกครั้งที่พวกเราพยายามเดินทางเข้าสำรวจ มักจะถูกคลื่นมหาสมุทรยักษ์ปริศนาเข้าโจมตีขัดขวาง ดังนั้นก็มีแต่นักอัญเชิญระดับสูงเท่านั้นที่ใช้สัตว์วิญญาณของพวกเขาต่อกรกับ‘สิ่งๆนั้น’ได้…”
เซียถงรู้สึกมึ่งกับวาจาคำกล่าวของเขาเป็นอย่างยิ่ง และในขณะเดียวกัน ก็อดชื่นชมมิได้เช่นกันต่อสติปัญญาความเฉลียวฉลาดของชาวจวิ๋นเทียน
“ตอนนี้ท่านคงจะพอเข้าใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองเราบ้างแล้ว ตอนนี้จึงต้องการสอบถามท่านจากใจจริง ต่อจากนี้ไป ท่านยังเต็มใจอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือเราชาวจวิ๋นเทียนหรือไม่?”
“แน่นอน! ข้ามีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธด้วยรึ!”
เซียถงตอบกลับด้วยวาจาน้ำเสียงหนักแน่น หลังจากมาถึงที่นี่ ก็ดูเหมือนว่าทวีปจวิ๋นเทียนจะน่าสนใจกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้มาก!
ภายหลังจากที่เซียถงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานอาศัยอยู่ในทวีปจวิ๋นเทียนแห่งนี้ นางก็เริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์ภายในของที่นี่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทวีปจวิ๋นเทียนเป็นดินแดนที่ผสมผสานกันระหว่างนวัตกรรมที่เจริญรุ่งเรือง และมรดกทางวัฒนธรรมที่คงรักษาไว้ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ระบอบการปกครองคือเน้นเสียงข้างมาก หรือหากเป็นโลกในชาติก่อนหน้าที่นางเคยอยู่ จะเรียกสิ่งนี้ว่า ประชาธิปไตย
ผู้คนที่อยู่อาศัยที่เกาะหลัก ณ ใจกลางทวีปจวิ๋นเทียนแห่งนี้ได้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้รับสืบทอดสายเลือดโดยตรงจากชาวซ่งโบราณ หรือก็คือประถมบรรพบุรุษแรกเริ่มที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล และที่แห่งนี้เองยังมีองค์กรพิเศษที่ไม่เคยมีให้เห็นที่ไหนในทวีปเทียนหลาง นั้นคือสิ่งที่เรียกว่า สภาสูง
เฉพาะตัวแทนที่ได้รับเลือกผ่านระบอบประชาธิปไตยจากเสียงของประชาชนเท่านั้น ถึงจะสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งสภาสูงได้ และผู้อาวุโสแต่ละคนล้วนแต่เป็นนักอัญเชิญอสูรระดับพระกาฬทั้งสิ้น!
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือจวิ๋นเส้า!
ตัดมาในปัจจุบัน ขณะเฝ้ามองอีกฝ่ายจิบชาพลางผิงไฟอย่างใจเย็น ตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งปีเต็มแล้ว เซียถงอดชื่นชมในความหน้าด้านหน้าทนของชายคนนี้มิได้เลยจริงๆ
ครั้งแรกที่ได้พบกับจวิ๋นเส้า เขาคือคุณชายผู้หล่อเหลาและงามสง่า ต่อมาได้เห็นเขาอีกครั้งก็ตอนที่อีกฝ่ายเดินทางพบปะประชาชนคนทั่วไป ปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับตนเองเป็นเก็หนุ่มข้างบ้านที่ทั้งใจดีและร่าเริงแจ่มใส
แต่หลังจากที่ได้ทำความรู้จักจนสนิทสนมกับเจ้าหมอนี่มากยิ่งขึ้น คล้ายว่าสันดานออก! กระทั่งเซียถงเองก็ยังคาดไม่ถึง เขาคนนี้จะเป็นพวกทะเล้นและกวนประสาทขนาดนี้ จากที่เคยปฏิบัติกับนางในฐานะแขกบ้านแขนเรือน ยามนี้เละเทะเป็นกันเองยิ่งกว่าเพื่อน! วันดีคืนดีจู่ๆก็วิ่งปรี่มาหาพร้อมกับสุราไหใหญ่ นั่งก๊งจนเมามายหัวราน้ำยันเช้าก็ยังมี!
แถมจากที่เขาเคยเรียกฮูหยินหลี่ด้วยถ่อยคำสุภาพว่า นายหญิงหลี่ ตอนนี้คล้ายถูกยะระดับความสนิทสนมให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น กลายมาเป็น ท่านป้าหลี่สุดสวย ไปแล้ว!
ซึ่งทุกครั้งที่ได้ยินจวิ๋นเส้าเรียกขานฮูหลินหลี่ว่า ท่านป้าหลีสุดสวย ก็เป็นหลิวซูที่มักจะรู้สึกขนลุกขนพองราวกับแมวโดนเหยียบหาง จนมีอยู่คราวหนึ่งเห็นทีจะทนไม่ไหว มันจึงกล่าวเหน็บแนมสวนตอบขึ้นว่า
“แหม เพิ่งเจอกันได้ไม่นานก็เรียกท่านป่าหลี่สุดสวยแล้ว เร็วๆนี้คงเปลี่ยไปใช้แม่ยายแล้วกระมัง?”
และก็แน่นอน หลังจากสิ้นเสียงจนประโยคเหล่านี้ หลิวซูก็โดนเซียถงกระทืบจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในตอนนั้นเซียถงโกรธหลิวซูชนิดที่ว่าไม่พูดไม่จาด้วยเลยเป็นเวลาครึ่งเดือนเต็ม
จวิ๋นเส้าโน้มตัวขึ้นหน้าเล็กน้อย ยื่นใบหน้าเข้าชิดใกล้อีกหน่อย แล้วกล่าวกับเซียถงว่า
“เรื่องในสภาสูงเมื่อตอนกลางวัน เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
เซียถงระบายยิ้มบางกล่าวตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
“ข้าน่ะไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว การที่พวกผู้อาวุโสจะเป็นกังวลเรื่องนี้ก็มิผิด เพราะสุดท้ายนี้ ข้ากับเขาต่างก็มีสายสัมพันธ์ที่ยากจะตัดกันออก”
“ก็ดีแล้วที่เจ้าคิดได้เช่นนั้น!”
จวิ๋นเส้าโน้มตัวถอยกลับมานั่งกับที่ดังเดิม เอ่ยปากขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอยู่หนึ่งส่วนว่า
“แต่ก็สายเกินไปหน่อยแล้ว จะอย่างไรพรุ่งนี้เจ้าก็ต้องออกทะเล เช่นนั้นไปพักผ่อนเอาแรงสักงีบเถอะ อ่อแล้วก็คุณชายหลัวกับคนที่เหลือได้เตรียมการทุกอย่างไร้พร้อมแล้ว พวกเราขึ้นเรือของเขาได้เลย”
“ตกลง!”
“เช่นนั้นข้าไปก่อน ฝากทักทายท่านป้าหลี่สุดสวยด้วย!”
จวิ๋นเส้าดื่มชาเสร็จาสรรพก็ลุกขึ้นโบกไม้โบกมือลา ขณะที่หันศีรษะเดินห่างจากไปได้สี่ห้าก้าว เขาก็ชำเลืองสายตามองย้อนสบหา เซียถงยืนส่งโบกมือตอบ ภายใต้แสงจันทร์เจ้าสว่างไสว ความงามของอิสตรีนางนี้กลับมิได้ถูกลดทอนลงเลยแม้สักส่วนเดียว
ลมสมุทรพัดโบก ชักนำกหระแสความเย็นแรกแย้มชุ่มช่ำ ปอยผมปลิดปลิวติดอยู่ข้างผิวแก้มสีเนียนขาวของเซียถง อึดใจนั้น จวิ๋นเส้าแทบอยากจะเอื้อมมือขึ้นปัดให้
เขาสูดหายใจเข้าแช่มลึก เก็บงำความรู้สึกดีๆที่มีต่อนางเอาไว้ก้นบึ้งหัวใจและหมุนตัวกลับเดินจากไปพลัน สังเกตเห็นท่าทียึกยักสับสนของอีกฝ่าย เซียถงก็ปั้นหน้างุนงงประหลาดใจ
นางยักไหล่ไปทีหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อนางเหลียวหลังหันกลับมาก็เห็นหลิวซูที่กำลังยืนกอดอกพึงบานประตูอยู่ คู่สายตามจ้องเขม็งมาทางนี้
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างวัน?”
เนื่องด้วยวันนี้หลิวซูโดนเสี่ยวฮั่วลากไปยังเกาะสมุนไพร เพื่อเสาะหาออกล่าวัตถุดิบโอสถที่ใช้สำหรับท่านแม่ของเซียถง จึงไม่มีใครอยู่ด้วยตอนที่นางเข้าประชุมหารือกับพวกผู้อาวุโสในสภาสูง แต่เห็นได้ชัดแจ้ง ตอนที่นางกลับมา คล้ายมีร่องร้อยอารมณ์แปรปรวนหลงเหลือติดค้าง
ซึ่งเป็นประจวบเหมาะเหลือเกินที่คืนนี้จวิ๋นเส้าเดินทางมาขอโทษนางเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติแล้ว หากอีกฝ่ายมาเวลานี้ก็มักจะช่วงนางร่ำสุราเพื่อผ่อนคลาย แตกต่างจากวันนี้ที่ดูจริงจังกว่าทั่วไป
เซียถงเองก็ไม่มีเจตนาจะปิดบังเช่นกัน นางเดินเข้ามนั่งในบ้านพลางซดชาที่เหลือ น้ำชาเย็นชืดหายร้อนหมดแล้ว ส่งผลให้มีรสชาติขมมากและยังเฟือนลิ้น
“เจ้าก็รู้ ทวีปจวิ๋นเทียนแห่งนี้คือโลกของนักอัญเชิญอสูรและผู้อาวุโสพวกนั้น โดยธรรมชาติผู้ที่อยู่แข็งแกร่งกว่าย่อมอยู่เหนือกว่า ไม่ใช่วันนี้ก็วันหน้า ยังไงข้าก็โดนบีบให้ออกไปอยู่ดี และที่สำคัญ ข้าไม่ใช่ชาวจวิ๋นเทียนโดยกำเนิด”