ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 604 ความสำคัญของนักอัญเชิญอสูร (2)
ตอนที่604 ความสำคัญของนักอัญเชิญอสูร (2)
ตอนที่604 ความสำคัญของนักอัญเชิญอสูร (2)
หลิวซูหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะที่กำลังจะเอ่ยกล่าวอะไรสักอย่างออกมา จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครดึงชายเสื้อเอาไว้จากด้านหลัง เหลียวขวับมองกลับมาก็พบเป็นเสี่ยวฮั่ว หางตาอีกฝ่ายสาดใส่ทีหนึ่งพร้อมทั้งส่ายหัวอย่างแรง เชิงห้ามปรามมิให้กล่าวออกไป
หลิวซูกลืนคำพูดที่ต้องการจะเอ่ยกล่าวลงคอโดยไว เร่งเปลี่ยนหัวข้อทันที
“เช่นนั้นก็ช่างมัน! มันไม่สำคัญหรอกว่า คนพวกนั้นจะดูถูกดูแคลนอะไรเราบ้าง พรุ่งนี้ตอนออกทะเล ข้าจะให้เสี่ยวฮั่วใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยเร่งระดับความแข็งแกร่งในทักษะนักอัญเชิญอสูรของเจ้าให้ถึงขีดสุด! เอาให้ประจักษ์ชัดไปเลยว่า พวกมันดูถูกผิดคนแล้ว!”
“ดี! เช่นนั้นข้าขอตัวเข้านอนก่อน พวกเจ้าเองก็อย่านอนดึก พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า!”
เซียถงกลับเข้าห้องนอนด้านใน แลเห็นว่าเปลวเทียนในห้องของนางดับมอดสนิท หลิวซูก็หันหน้าจ้องตาเสี่ยวฮั่วไม่กะพริบ เอ่ยน้ำเสียงจริงจังกล่าวถามไปว่า
“ไฉนถึงไม่ให้ข้าถามนางใช้ชัด?”
เสี่ยวฮั่วกลอกตามองบนใส่มันไปทีหนึ่ง กล่าวว่า
“เจ้ายิ่งถามนางเช่นนั้น กลับไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นการโรยเกลือซ้ำบนแผล?”
“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร? รู้อะไรมากระมัง?”
เสี่ยวฮั่วได้ทียกสองมือขึ้นกอดอกทำทรงนิ่ง กล่าวน้ำเสียงองอาจสูงส่งราวกับพยายามจะสื่อว่า มันสมองของตนเหนือชั้นกว่าหลิวซู
“มิใช่ว่าหงอวี๋ถูกใจเจ้าจี้จี้นักหรอกรึ? ข้าก็เลยบังคับให้จี้จี้คอยติดตามหงอวี๋ไว้มิให้ห่าง รวมไปถึงในวันนี้ก็เช่นกัน ตอนที่หงอวี๋เข้าร่วมการประชุมของสภาสูง จี้จี้ก็เกาะไหล่นางตามเข้าไป พวกผู้อาวุโสคงคิดกันไปว่า มันคือสัตว์เลี้ยงของนาง แต่หารู้ไม่ว่า แท้ที่จริง จี้จี้เป็นสายลับที่ข้าส่งไป พอกลับมา จี้จี้ก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างวันให้ข้าฟังทั้งหมด!”
“โอ้!? ไม่ยักรู้เลยว่า เจ้าจะเล่ห์เยอะปานนี้! เช่นนั้นก็บอกข้ามที เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“แน่นอน! ก็ตอนแรกนั้น…”
หลังจากที่ดับไฟนอน เซียถงทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก เสมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เคยมีแทบไม่มี้เหลือ ตลอดคืนนั้นกลับไม่สามารถข่มตาหลับได้ลง เพราะภายในใจของนางมุ่งแต่คิดกังวลเกี่ยวกับข่าวคราวจากพ่อค้าชาวจวิ๋นเทียนที่เพิ่งกลับจากแดนไกลวันนี้ และนั่นเป็นข่าวของไป๋หลี่หาน!
เมื่อตอนเช้าตรู่ มีพ่อค้าคนหนึ่งนำข่าวที่พบเจอจากนอกเกาะกลับมารายงาน โดยกล่าวว่า ภายหลังจากที่ไป๋หลี่หานสามารถบุกุถล่มดินแดนอี้เฉืงจนราบเป็นหน้ากลองได้สำเร็จ เขาก็นำกองทัพที่เหลืออยู่เข้าปิดล้อมสกัดเส้นทางทรัพยากรสำคัญของเย่หลีเทียนและไป๋หลี่เย่เกือบทั้งหมด อีกทั้งยังสถาปนาจักรวรรดิแห่งใหม่ขึ้นมา กลายเป็นจักรวรรดิใหญ่แห่งที่หกในทวีปเทียนหลาง ทุกอย่างสำสำเร็จขึ้นได้ในหนึ่งปีภายใต้กลยุทธ์แผนการของเขาทั้งสิ้น แต่อย่างไร สิ่งนี้กลับทำให้คณะผู้อาวุโสในสภาสูงทุกคนต่างเกิดเป็นกังวลขึ้นมา พวกเขารู้สึกกังขาใจอย่างยิ่ง กลัวว่า การที่เซียถงเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่จะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์
มีผู้อาวุโสหลายคนที่หยิบยกถ้อยแถลงเกี่ยวกับความไม่น่าโปร่งใสของเซียถง เพราะตอนที่นางอาศัยอยู่ในจวนตระกูลเซี่ย ก็เกิดปัญหาขึ้นไม่เว้นวายจนท้ายที่สุดครอบครัวต้องชิบหายแตกแยก และเวลาต่อมา เมื่อนางอภิเษกสมรสกับราชาหมาป่าสวรรค์ ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในดินแดนอี้เฉิง ภายหลังไม่นาน ดินแดนอี้เฉิงก็ถูกล้างบางทำลายไม่เหลือซาก และตกกลายเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิต้าซิ่งในท้ายที่สุด จากเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงสามารถกล่าวได้ว่า หากนางไม่ใช่คนทรยศดั่งที่ถูกครหาจริงๆ นางก็คงเป็นตัวซวย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความโชคร้าย!
นอกจากนี้เอง ทั้งที่เซียถงเพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน แต่กลับมีตัวตนชื่อเสียงอันเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าประชาชนอย่างมากถึงมากเกินไป จึงนำมาซึ่งความอิจฉาริษยาของเหล่าผู้อาวุโสในสภาสูงที่มีจิตมุ่งร้ายใส่นาง และในที่สุดโอกาสก็มาถึง วันนี้มีข่าวเสียๆ หายๆ ที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของนาง พวกเขาจึงหยิบยกประเด็นเข้านี้เข้าโจมตีกดดันเซียถงอย่างหนักหน่วง
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำครหาว่าร้ายและการตั้งคำถามจากทุกคน เซียถงกลับปั้นหน้านิ่งไม่แยแสใดๆ นางถือคติเพียงสองข้อเท่านั้นสำหรับหลักการที่ใช้ในดำรงชีวิต หนึ่ง นางจะเลือกทำในสิ่งที่อยากทำเท่านั้น และสอง หากมีผู้ใดคิดสงสัย ก็แค่ปล่อยให้สงสัยต่อไป ซึ่งนางจะพิสูจน์ด้วยการกระทำเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว กับเพียงน้ำลายของคนไม่กี่คน กลับไม่สามารถทำให้นางสั่นสะท้านใดๆ ได้
แต่อย่างไร ชื่อจักรวรรดิแห่งหม่ของไป๋หลี่หาน ก็ทำให้นางอดรู้สึกประทับใจมิได้จริงๆ
“จักรวรรดิเซีย…”
เซี่ยถงเอ่ยทวนชื่อนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในใจ เวลาพ้นผ่านดูเหมือนว่าหัวใจดวงนี้จะไม่มีทีท่าสงบลงเลย เช่นนั้นจึงลุกขึ้นจากเตียงเดินแช่มไปทางหน้าต่าง เหม่อมองแสงจันทร์เจ้าที่ส่องสว่างเต็มดวงบนกลางหาว
ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปนับหลายแสนหมื่นลี้
ณ เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิเซีย ไป๋หลี่หานยืนสองมือไพล่หลังทอดสายตาผ่านบานหน้าต่างสู่ฟากฟ้าไกล จับจ้องจันทร์สีเงินเจิดจรัสเหนือรัตติกาลทั้งมวล
แสงจันทร์เงินไสวโปรยปราย ทอประกายส่องกระทบกับปอยผมสีขาวช่วงขมับข้างศีรษะของเขาอย่างพอดิบพอดี
โม่ซวนยื่นอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้นัก เหม่อมองแผ่นหลังกว้างที่แสนองอาจและแข็งแกร่งนี้…
“เจ้าอยากจะพูดอะไรงั้นรึ?”
สุ้มเสียงแผ่วอ่อนของไป๋หลี่หานเปล่งออกมา ถ้อยคำจาพัดผ่านชักนำไปตามสายลม เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังยังจับจ้องมาไม่คลี่คลาย จึงเอ่ยถามย้ำเป็นครั้งที่สองอีกว่า
“โม่ซวน เจ้าอยากจะพูดอะไรงั้นรึ?”
“เจ้าคงอยากถามว่า เหตุไฉนข้าถึงใช้ชื่อนี้กระมัง?”
โม่ซวนพยักหน้าตอบทันควัน ส่วนที่ว่า ‘เซีย’ คำนี้หมายถึงสิ่งใด เรื่องนี้เขาเองย่อมเข้าใจแจ่มแจ้ง! ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ไป๋หลี่หานพยายามอย่างหนักเพื่อสถาปนาจักรวรรดิเซียขึ้นมา ซึ่งในระหว่างนี้เอง ข้อเท็จจริงหลายสิ่งอย่างก็เริ่มโผล่ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ ทีละข้อสองข้อ ประการแรก เรื่องการบุกโจมตีดินแดนอี้เฉิง พร้อมด้วยข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดินีเหลิ่ง ที่ใครๆ ณ ตอนนั้นต่างกล่าวหาว่าเป็นความผิดของเซียถง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ทั้งหมดเป็นแผนการที่เย่หลีเทียนวางเอาไว้ เขาฉวยโอกาสตอนที่เซียถงและไป๋หลี่หานไม่ได้อยู่ บุกเข้าโจมตีและเป่าหูองค์จักรพรรดินีเหลิ่งใส่ร้ายเซียถงจนนางหลงเชื่อ และประการที่สอง ตอนที่เซียถงนำกองทัพสัตว์อสูรบ่อนทำลายกองทัพทหารตงหลี่จำนวนหนึ่งแสนนายของไป๋หลี่เย่ ตอนนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่า จู่ๆ เซี่ยเสวี่ยเหลียนจะปรากฏตัวขึ้นมา และยุแยงเสี้ยมให้เหล่าคณะขุนนางและทหารที่เหลือรอดของอี้เฉิงเกลียดชังเซียถงมากกว่าเดิม ส่วนโอสถเม็ดนั้นที่ใครต่างคิดว่าเป็นยาพิษ ความเป็นจริงก็ถูกแถลงไขตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า มันคือโอสถปราณสวรรค์ระดับเก้าชั้นสูงสุดอันแสนล้ำค่า!
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ความจริงที่เคยถูกเก็บซ่อนในเงามืดต่างก็เริ่มปรากฏออกมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้กลุ่มคนที่เคยเข้าใจเซียถงผิดไป รวมไปถึงเหล่าคณะขุนนางอี้เฉิงที่จงเกลียดจงชังนางนักถึงกับพูดไม่ออก
แต่อย่างไร ก็ยังมีขุนนางอีกบางส่วนมองว่า ถึงเซียถงไม่ใช่คนทรยศ แต่นางก็คือชนวนเหตุของเรื่องราวทั้งหมด!
ดังนั้น การที่ไป๋หลี่หานสถาปนาจักรวรรดิดินแดนใหม่ขึ้นมาภายใต้ชื่อนี้ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
เหล่าคณะขุนนางจำนวนหนึ่งลุกฮือขึ้นต่อต้านเรื่องนี้อย่างแข็งขัน แต่ไป๋หลี่หานก็ยังยืนหยัดต่อสู้บนเส้นทางในแบบของเขาต่อไป
ไป๋หลี่หานมิได้เอ่ยตอบใดๆ อีก แต่แววตาที่ดูอ่อนโยนลงคู่นั้น มันเปรียบเสมือนกับคำบอกใบ้ส่งมอบแก่โม่ซวน
“มีข่าวคราวเกี่ยวกับนางบ้างหรือไม่?”
“เราพบร่องรอยของนางแล้วขอรับ! เห็นว่าอยู่ที่ทวีปจวิ๋นเทียน!”
“จวิ๋นเทียน?”
ไป๋หลี่หานผงะตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยหัวเราะกล่าวต่อว่า
“นางไปเจอทวีปจวิ๋นเทียนได้ยังไง? แต่นั่นแหละ…เรื่องใดที่ยากจะเป็นไปได้ นางมักจะทำได้เสมอ! ในทวีปจวิ๋นเทียน ตัวตนของนักอัญเชิญอสูรถือได้ว่าเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนมากที่สุด นางอยู่ที่นั่นควรจะปลอดภัยกว่าที่นี่แล้ว…”
“นายท่าน แล้วไม่คิดจะพานายหญิงกลับมาเลยรึขอรับ?”
ไป๋หลี่หานนัยน์ตาสั่นไสวกลายมาเป็นเย็นชาอีกครั้งทันที น้ำเสียงแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นในบัดดล
“พวกต้าซิ่งกำลังวางแผนทำอะไรอยู่?”